แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?

แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?

21 May 2025

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้รถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญอย่าง “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็ต้องมีความพร้อมในการใช้งานเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายปัจจัยเช่นกันที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาผู้ใช้รถมาดูกันว่า แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง แล้วอาการรถไฟฟ้าแบตเสื่อมสังเกตได้อย่างไร สรุปจบง่าย ๆ สำหรับผู้ใช้รถโดยเฉพาะ

ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

6 ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

ในบรรดาปัจจัยที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว ถือว่ามีหลายสาเหตุพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิในการทำงานของแบตเตอรี่รถ รอบการใช้งาน และที่ขาดไม่ได้คือ การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพ และ Charge Cycle โดยตรง

1. อุณหภูมิการใช้งาน

โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานได้ดีที่สุดในอุณหภูมิ 30 – 60 องศาเซลเซียส หากสูงมากกว่านี้ก็จะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ เช่น ชาร์จไฟในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือการจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เซลล์แบตเตอรี่เสียหายแล้ว ยังทำให้ความจุแบตลดลงด้วย

2. รอบการใช้งาน หรือรอบการชาร์จ

ซึ่งโดยปกติจะมีรอบการชาร์จรถ EV ตั้งแต่ 3,000 รอบขึ้นไป ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10 – 20 ปี นั่นหมายความว่า ยิ่งมีรอบการชาร์จมากเท่าไหร่ อายุการใช้งานก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ควรชาร์จไฟทุกวันหากไม่จำเป็น

3. การชาร์จไฟแบตรถยนต์ EV ด้วยระบบ DC Charging

สำหรับการชาร์จด้วยระบบ DC Charging หรือ Fast Charging บ่อยเกินไป ก็ส่งผลต่อการเสื่อมของตัวแบตได้ไวเช่นกัน เพราะการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไวนั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรเลือกชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC Charging เป็นหลักจะดีกว่า ส่วนการชาร์จด่วนสามารถชาร์จได้เมื่อมีระยะเวลาจำกัด

4. ปล่อยให้แบตเหลือ 0%

การใช้รถจนแบตเหลือน้อยมาก ๆ จนเกือบจะเป็น 0% อยู่บ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมสภาพได้ไว เพราะการปล่อยให้แบตเหลือน้อย ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักมากขึ้น ตัวแบตมีความร้อนสูง จึงทำให้อายุการใช้งานแบตน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. การชาร์จไฟบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น

โดยปกติแล้วควรจะรักษาระดับแบตเอาไว้ให้อยู่ที่ระดับ 25 – 75% นั่นหมายความว่า หากแบตเตอรี่ไม่ได้เหลือน้อยก็ยังไม่จำเป็นต้องชาร์จ และหากต้องจอดรถไว้นาน ๆ ก็ควรมีการกระตุ้นไฟเข้าแบตเตอรี่ด้วยการสตาร์ทรถทิ้งไว้บ้าง เพื่อป้องกันอาการ Over Discharge

6. พฤติกรรมการใช้รถ

โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่แบบกระชาก ออกตัวแรง เร่งแรง และเบรกแรงบ่อย ๆ รวมถึงการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้น เพราะตัวแบตมีความร้อนสะสม ทำให้เสื่อมสภาพได้ไว อายุการใช้งานก็น้อยลงตามไปด้วย

จะเห็นได้เลยว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ Charge Cycle หรือ Cycle Life ของแบตเตอรี่รถยนต์ EV โดยตรง ยังไม่นับรวมการจอดรถกลางแจ้ง หรือพฤติกรรมการขับขี่ ที่ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV มีอายุการใช้งานที่น้อยลง

การดูแลรักษาและยืดอายุการใช้งานแบตรถ EV)

วิธีเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเรื่อมเสื่อม

สำหรับการเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ EV เสื่อมหรือไม่ สามารถเช็กจากอาการรถไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ในระหว่างการขับขี่ หรือจากการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ดังนี้

  • ระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดน้อยลงอย่างชัดเจน อาทิ ปกติชาร์จไฟรถ EV ไว้ที่ระดับ 80 – 90% จะสามารถขับขี่ได้ในระยะทาง 400 กม. แต่หลัง ๆ เริ่มวิ่งได้ไม่เกิน 350 กม. ให้สันนิษฐานเอาไว้ได้เลยว่านี่คืออาการแบตรถ EV เริ่มเสื่อมแน่นอน
  • ระยะเวลาการชาร์จไฟนานมากขึ้น หรือเร็วกว่าปกติ ทั้งการชาร์จแบบ AC และ DC Charging ซึ่งปกติแล้วเราจะคาดเดาได้คร่าว ๆ อยู่แล้ว ว่ารถที่ขับใช้เวลาชาร์จมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ลองสังเกตเวลาในการชาร์จไฟดู ว่าเวลาคลาดเคลื่อนจากปกติหรือไม่
  • ชาร์จไฟแล้วแบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ซึ่งอาการนี้คือการบอกว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถจัดการกับความร้อนได้ดีเท่าที่ควร
  • ประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วลดน้อยลง แต่ต้องดูควบคู่ไปกับลมยางรถยนต์ไฟฟ้า และการบรรทุกในครั้งนั้น ๆ ด้วย หากลมยางปกติ และไม่ได้บรรทุกเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของอาการแบตรถ EV เสื่อม
  • ใช้งานแบบเดิมแต่เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการนี้จะค่อนข้างชัด เพราะหมายถึงแบตเตอรี่ไม่สามารถทำงานได้ดีเหมือนเคย
วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้ยาวนาน

วิธีการถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้นาน

1. ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟให้เต็ม 100% ทุกวัน  

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จเมื่อถึงระดับที่เหมาะสม และควรรักษาช่วงการชาร์จเฉลี่ยให้อยู่ที่ 20 – 80% ของความจุแบต ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมากกว่าการชาร์จให้เต็ม 100% ทุกครั้ง และหากแบตเตอรี่ไม่ได้ลดลงมากก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จเพิ่มเสมอไป (ในรถยนต์ EV บางรุ่น จะกำหนดเอาไว้เลยว่า ให้ชาร์จไฟที่ระดับ 80% เท่านั้น)

2. อย่าปล่อยให้แบตเหลือน้อย หรือเกือบ 0% บ่อย ๆ

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ที่ค่ายรถยนต์พัฒนาขึ้นมา หลักการในการยืดอายุการใช้งานที่ดีที่สุด คือ ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยมาก ๆ หรือว่าเปอร์เซ็นต์ต่ำเกือบ 0% บ่อยเกินไป เพราะทำให้แบตทำงานหนักมากขึ้นจนเกิดความร้อนสูง และส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเช่นกัน

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

โดยหลักการนี้ครอบคลุมทั้งการจอดและการชาร์จในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ระบบการจัดการความร้อนของแบตทำงานได้ปกติ ไม่มีการรบกวนจากภายนอกเกินไป และยังรวมไปถึงการชาร์จไฟในขณะที่มีอุณหภูมิสูง ที่ไปเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในชุดแบตเตอรี่

4. ชาร์จไฟด้วย DC Charging ให้น้อยลง

อย่างที่อธิบายไปในข้างต้นว่า การชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ DC Charging คือตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อม เพราะเป็นการอัดประจุเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้น หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น แนะนำให้ชาร์จไฟแบบ AC Charging เป็นหลัก เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมไว

5. ตรวจลมยางรถ EV เสมอ ดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี

อีกหนึ่งวิธีการยืดอายุแบตเตอรี่ที่ทำได้ง่าย ๆ คือ การตรวจสอบลมยางรถยนต์ไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ ไม่ให้ลมยางต่ำเกินไปจนทำให้แบตรถ EV ทำงานหนัก และในควรใช้รถให้ถูกวิธี ไม่ขับกระชากเกินไป และควรตรวจสภาพรถตามระยะการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของระบบต่าง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน 

สรุป

สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ แบตรถ EV ไม่ให้เสื่อมไว ก็ถือว่ามีหลายวิธีที่ผู้ใช้รถไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะทำให้แบตมีอายุการใช้งานนานมากขึ้นแล้ว ยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งระบบด้วยเช่นกัน และหากใครที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ก็ควรเลือกติดตั้ง Home Charger เอาไว้ที่บ้าน เพราะนอกจากจะชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นการชาร์จไฟด้วยระบบ AC ที่ไม่ทำให้แบตเสื่อมไว และที่สำคัญคือ ไม่ต้องเสียค่าบริการที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟอีกด้วย

กลับสู่หน้าบทความ

Article Related