fbpx

7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 เปิดตัวใหม่ มาแรง ราคาสุดว้าว ส่องสเปกเลยก่อนซื้อ!

ในบรรดา รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ในไทย ที่เปิดจำหน่ายและทำการตลาดปีนี้ ต้องยอมรับเลยว่ามีหลายรุ่นที่มาแรงและน่าสนใจมาก ๆ เพราะหลายรุ่นก็ถือว่าน่าใช้ มีราคาที่จับต้องได้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อย่างกลุ่ม Neta V ที่ถูกใจคนยุคใหม่ หรือแม้แต่แบรนด์ดังอย่าง Tesla, GWM หรือแม้แต่ BYD ที่ก็ได้รับความนิยมในเมืองไทยไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้น เราจะมารีวิวให้ดูกัน รถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่มีจำหน่ายในปี 2024 นี้ มีรุ่นไหนบ้างที่น่าใช้ พร้อมอัปเดตสเปกรถ EV และราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ!

รีวิว 7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ในไทย พร้อมราคาจำหน่าย

สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ที่จำหน่ายในเมืองไทยในตอนนี้ ก็มีหลากหลายรุ่นที่น่าสนใจ ซึ่งในบางรุ่นก็เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายมาหมาด ๆ เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาอัปเดตกัน ว่าแต่ละแบรนด์มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ มีราคาเท่าไหร่บ้าง บอกเลยว่าแต่ละรุ่นนั้นจัดเต็มทั้งออปชั่น สเปก และราคาจำหน่ายจากโปรโมชั่นล่าสุดที่ถูกใจคอรถ EV แน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า MINI Cooper SE 2024

1. MINI Cooper SE 2024

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวมาหมาด ๆ ในตลาดรถ EV ของเมืองไทย ก็ต้องยกให้กับ MINI Cooper SE 2024 เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จากค่ายมินิ ที่มาพร้อมกับการตกแต่งภายในใหม่ มีระบบเชื่อมต่อดิจิตอล พร้อมกับการควบคุมการใช้งานที่ครบครัน ภายใต้การออกแบบที่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น MINI เช่นเดิม แต่ที่โดดเด่นกว่าคือ สมรรถนะการขับขี่แบบ Electrified Go-Kart ที่เป็นนิยามใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ถูกยกระดับให้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 3,858 x 1,756 x 1,460 มม.
  • ออกแบบสัญลักษณ์ไฟหน้า LED แบบใหม่ ที่แตกต่างกันถึง 3 แบบ
  • ไฟท้าย Union Jack หลอด LED เมื่อสัมผัสได้ถึงกุญแจรถ
  • เดินเข้าใกล้รถจะทำการปลดล็อกรถให้ทันที พร้อมไฟต้อนรับเจ้าของรถ
  • ไฟหน้าทรงกลมและไฟท้าย ที่มีลูกเล่นปรับได้ถึง 3 โหมด คือ Classic, Favoured และ JCW
  • ออกแบบจอกลางใหม่ OLED ความละเอียดสูงทรงกลม พร้อมเป็นศูนย์กลางระบบ Infotainment
  • แผงควบคุมดีไซน์ Toggle Bar ที่รวมทุกฟังก์ชันเอาไว้จุดเดียว
  • ชุดแต่ง Favoured Trim พร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ต Vascin สี Nightshade Blue
  • มีโหมดการใช้งาน MINI Experience ถึง 7 รูปแบบ

แบตเตอรี่

  • มอเตอร์พลังงานไฟฟ้า 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า
  • แบตเตอรี่ความจุ 54.2 kWh
  • ชาร์จ DC ได้สูงสุด 95 kW และ AC สูงสุด 11 kW
  • ขับขี่ได้สูงสุด 402 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย

  • MINI Cooper SE 2024 ราคา 1,699,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า NETA X 2024

2. NETA X 2024

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงปี 2024 ที่เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยไปหมาด ๆ ก็คือ Neta X ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า C-SUV ที่คุ้มค่ามาก ๆ มีขนาดเล็กกว่า Honda CR-V แต่ใหญ่กว่า BYD Atto 3 หรือ Aion Y Plus ซึ่งตัวรถจะโดดเด่นในเรื่องของระบบความปลอดภัย ที่มีกล้องรอบคัน พร้อมกับเซนเซอร์เตือนการชนแบบรอบคันเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ การเปลี่ยนคันเกียร์มาใช้คันเกียร์คอเหมือนกับ Neta V และ Neta S

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,619 x 1,860 x 1,628 มม.
  • ระบบขับเคลื่อน FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า
  • มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ Comfort และ Smart
  • ภายในห้องโดยสารมีหน้าจอกลางขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ควบคุมการทำงานของตัวรถ
  • หน้าขอเรือนไมล์มีขนาด 8.9 นิ้ว
  • ใช้หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU พร้อมชิพ Qualcomm Snapdragon 8155

แบตเตอรี่

  • 1 มอเตอร์ 120 kW พละกำลังสูงสุด 161 แรงม้า
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 62 kWh
  • แรงดันไฟฟ้า 400 V ชาร์จ AC Type 2 6.6 kW
  • รองรับการชาร์จ DC CCS 2 รุ่น Comfort 65 kW และรุ่น Smart 100 kW
  • รุ่น Comfort ขับขี่ได้สูงสุด 401 กม. และรุ่น Smart 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • NETA X รุ่น Comfort ราคา 739,000 บาท
  • NETA X รุ่น Smart ราคา 799,000 บาท
BYD Dolphin 2024

3. BYD Dolphin 2024

ถ้าหากกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ติดอันดับมาแรง และมีการปรับราคาจนทำให้หลาย ๆ คนฮือฮากัน ก็ต้องยกให้กับ BYD Dolphin 2024 ที่นอกจากจะมีดีไซน์ที่ทันสมัย เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองแล้ว เรื่องแบตเตอรี่และระยะทางในการใช้งานก็ถือว่าครอบคลุม โดยเฉพาะสวิตช์หน้าจอแบบ Muti-function บนพวงมาลัย นอกจากนี้ ยังมีระบบ Auto Brake Hold ที่ช่วยให้การขับขี่ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีครบ เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (ADAS), ระบบควบคุมเสถียรภาพของตัวรถ (ESC) หรือแม้แต่ระบบการเตือนวัตถุผ่านขณะเปิดประตู (DOW)

แบตเตอรี่

รุ่น Standard Range

  • มอเตอร์แม่เล็กถาวร 1 ตัว กำลัง 70 kW
  • กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP
  • ความจุพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 44.9 kWh แรงดัน 400 V
  • ชาร์จ AC 7 kW และ DC 60 kW
  • วิ่งได้สูงสุด 410 กม. (มาตรฐาน NEDC)

รุ่น Extended Range

  • มอเตอร์แม่เล็กถาวร 1 ตัว กำลัง 150 kW
  • กำลังสูงสุด 201 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP
  • ความจุพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 60.48 kWh แรงดัน 400V
  • ชาร์จ AC 7 kW และชาร์จ DC 80 kW
  • วิ่งได้สูงสุด 490 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • BYD Dolphin รุ่น Standard Range ลดราคา 559,900 บาท (จาก 699,999 บาท)
  • BYD Dolphin รุ่น Extended Range ลดราคา 699,900 บาท (จาก 859,999 บาท)
ORA good Cat 2024

4. ORA Good Cat 2024

สำหรับเจ้าเหมียวที่แสนดีอย่าง ORA Good Cat ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าปี 2024 ที่มาแรงและน่าใช้งานมาก ๆ ในไทยอยู่เช่นเดิม ซึ่งในปีนี้ทาง GWM ก็ได้เดินสายการผลิต New GWM ORA Good Cat แบรนด์แรกในไทยตามนโยบาย ZEV 3.0 ของรัฐ พร้อมราคาเริ่มต้นที่น่าสนใจ เพียงแค่ 799,000 บาท เท่านั้น โดยจุดเด่นของรุ่นนี้นอกจากจะมี 3 รุ่นย่อยให้เลือกแล้ว สีภายนอกก็มีให้เลือกหลายเฉด พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่จัดเต็ม เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายสไตล์

จุดเด่น

  • มี 3 รุ่นย่อย คือ Pro, Ultra และ GT
  • รุ่น Pro และ Ultra มีสีภายนอกให้เลือก 5 เฉดสี ส่วนสีภายในมีให้เลือก 4 สี
  • รุ่น GT มีสีภายนอกให้เลือก 2 เฉดสี ส่วนสีภายในมีแค่ 1 สี
  • รุ่น Pro และ Ultra มีระบบการขับขี่ 5 แบบ คือ ปกติ, สปอร์ต, ประหยัด, ECO+ และ ออโต้
  • รุ่น GT มีให้เลือก 6 โหมด โดยเพิ่มโหมดการขับขี่ส่วนบุคคลเข้ามา (ปรับตามแบตที่คงเหลือ)
  • มีเทคโนโลยีการขับขี่และการอำนวยความสะดวกมากกว่า 31 รายการ
  • นำฟังก์ชัน V2L หรือระบบการจ่ายไฟจากตัวรถไปยังอุปกรณ์H3: แบตเตอรี่ ไฟฟ้าเข้ามาในรุ่น Ultra และ GT
  • ใช้มอเตอร์ Permanent Magnet Synchronous Motor
  • รุ่น Pro และ Ultra มีพละกำลังสูงสุดที่ 143 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • รุ่น GT มีพละกำลังสูงสุดที่ 171 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 460 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • ชาร์จ AC 9 ชั่วโมง ส่วน DC 0% – 80% ภายใน 54 นาที และ 30% – 80% ภายใน 38 นาที

ราคาจำหน่าย

  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Pro ราคา 799,000 บาท
  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Ultra ราคา 899,000 บาท
  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Pro ราคา 1.099,000 บาท
BYD ATTO 3 2024

BYD ATTO 3 2024

โดยเจ้า BYD ATTO 3 ก็นับว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ยังคงอยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่องในแวดวงของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยเป็นรถที่นำเข้าทั้งคันจากประเทศจีน ความโดดเด่นคือ ในปี 2024 นี้ มีการจัดโปรโมชั่นเมื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมแพ็กเกจ Rever Care เอาใจคนใช้รถ เช่น รับ Smart Home Charger ยี่ห้อ AUTEL พร้อมบริการติดตั้ง หรือการบำรุงรักษา ค่าแรง และค่าอะไหล่สูงสุด 8 ปี หรือที่ 160,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบใหม่ ๆ ที่ช่วยทำให้ตัวรถโดดเด่นมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้คือ Logo ด้านหลังเปลี่ยนจาก Build Your Dreams ให้กลายเป็น BYD

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,455 x 1,875 x 1,615 มม.
  • มี 3 รุ่นย่อย คือ Dynamic, Premium และ Extended
  • เปลี่ยนวัสดุตกแต่งหลังคา D-Pillar เป็นสีดำ
  • ทุกรุ่นมีหลังคากระจกพาโนรามิก เลื่อนเปิด – ปิด ด้วยไฟฟ้า
  • ตกแต่ง 2 คู่สี คือ น้ำเงิน – ดำ และน้ำเงิน – เทา
  • มีไฟ Ambient Light สำหรับสร้างบรรยากาศภายใน
  • หน้าจอการแสดงผลคนขับมีขนาด 5 นิ้ว
  • หน้าจอมัลติฟังก์ชันกลาง มีขนาด 15.6 นิ้ว (เพิ่มขึ้น)
  • เพิ่มแอปพลิเคชันคาราโอเกะ สามารถซื้อไมโครโฟนเพิ่มได้

แบตเตอรี่

  • รุ่น Dynamic และ Premium แบตเตอรี่ความจุ 50.2 kWh พละกำลัง 204 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 410 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • รุ่น Extended แบตเตอรี่ความจุ 60.4 kWh พละกำลัง 204 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • ทั้ง 3 รุ่น สามารถรองรับการชาร์จ AC ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ สูงสุด 7 kW
  • รุ่น Dynamic และ Premium ชาร์จ DC 70 kW ส่วนรุ่น Extended ชาร์จ DC สูงสุด 88 kW

ราคาจำหน่าย

  • BYD ATTO 3 รุ่น Dynamic ราคาใหม่ 799,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Premium ราคาใหม่ 859,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Extended MY24 ราคาใหม่ 959,000 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Standard MY23 ราคาใหม่ 799,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Extended MY23 ราคาใหม่ 859,900 บาท
Aion Y Plus 490 Elite - Premium 2024

6. Aion Y Plus 490 Elite – Premium 2024

รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับสายครอบครัวอีกหนึ่งคันก็ต้องยกให้กับ Aion Y Plus 490 Elite – Premium ที่มาพร้อมกับการใช้สอยภายในรถที่ครอบคลุมมาก ๆ โดย Aion คือแบรนด์ในเครือ GAC ยักษ์ใหญ่จากแดนมังกร ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยกันได้ไม่นาน แต่ก็สร้างความฮืออาได้ดี มีฟังก์ชันใหม่ ๆ ในรุ่น Premium ที่ถูกเพิ่มมาจากรุ่น 490 Elite ถึง 24 รายการ หนึ่งในนั้นคือระบบ Welcome Seat ปรับระดับอัตโนมัติเมื่อเปิดประตู รวมถึงระบบการขับขี่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,535 x 1,870 x 1,650 มม.
  • ตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 7 เฉดสี ส่วนสีภายในมีให้เลือก 5 เฉด
  • มี 2 รุ่น คือ Elite และ Premium
  • เบาะแถว 2 กว้าง เหยียดขาได้เต็มที่ เหมาะกับรถครอบครัว
  • เบาะหน้าสามารถถอดพนักพิงแล้วปรับพับให้เชื่อมกับเบาะหลังได้ (ได้ที่นอนขนาด 1.8 เมตร)
  • ระบบกล้องมองรอบคัน 540 องศา
  • มีระบบกรอง PM 2.5
  • ฝาครอบแบตเป็นเหล็ก แข็งแรง ทนทาน หมดปัญหาเรื่องหนูแทะแบตได้ดี

แบตเตอรี่

  • ใช้แบต Magazine Battery ที่มีความปลอดภัยสูง ขนาด 63.2 kWh
  • ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ความเร็วสูงสุดคือ 250 km/h
  • ระยะวิ่งได้ไกลสูงสุดคือ 490 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • Aion Y Plus 490 Elite 2024 ราคา 899,900 บาท
  • Aion Y Plus 490 Premium 2024 ราคา 995,900 บาท
Toyota bZ4X 2024

Toyota bZ4X

ปิดท้ายกันด้วยรถยนต์ไฟฟ้าจากพี่ใหญ่ในตลาดรถเมืองไทยอย่าง Toyota bZ4X ที่น่าจับตามองมาก ๆ ในตอนนี้ โดยเฉพาะการอัปเกรดให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ใช้พลังงานไฟฟ้าในตระกูล bZ (Beyond Zero) โดดเด่นทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน และที่น่าสนใจมากกว่าคือ ในรุ่นนี้เป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 100% ร่วมกันกับทาง Subaru ซึ่งเป็นตัวเต็งด้านการออกแบบรถอเนกประสงค์ ทำให้ตัว Toyota bZ4X มีขนาดที่เทียบเท่ากับรถ C-SUV แต่ห้องโดยสารได้พื้นที่เทียบเท่ากับ D-Segment เช่น Tesla Model Y รวมถึง Haval H6

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,690 x 1,860 x 1,650 มม.
  • สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี และภายในอีก 2 สี
  • ใช้ตัวถังหรือแพลตฟอร์ม e-TNGA ที่พัฒนามาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งแบตไว้ใต้ท้องรถ ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง
  • ใช้ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชั่น 3.0
  • ระบบเปิด – ปิด ฝาท้าย โดยไม่ต้องใช้มือ Kicks Sensor
  • ระบบบันทึกความจำ Memory Seat
  • ระบบบันทึกกระจกมองข้าง Memory Mirror
  • มีระบบ Auto Brake Hold พร้อมโหมดการขับขี่ X – Mode

แบตเตอรี่

  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 71.4 kWh แรงดัน 355 V
  • รองรับการชาร์จ AC ที่ 6.6 kW และ DC 150 kW
  • ใช้ช่องชาร์จ CCS Type 2
  • วิ่งได้ไกลสูงสุด 411 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย

  • Toyota bZ4X ราคา 1,836,000 บาท (รวมส่วนลดจากภาครัฐ)

สำหรับ 7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ที่วางจำหน่ายและทำการตลาดในเมืองไทยนั้น แต่ละรุ่นก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งรุ่นที่เปิดตัวมาใหม่ และรุ่นที่ลดราคากันอย่างดุเดือด ซึ่งก็เป็นผลมาจากการแข่งขันในตลาดที่สูง บวกกับการเตรียมตัวเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของทางแบรนด์ และไม่ว่าคุณจะใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนก็ตาม ก็สามารถเลือกติดตั้ง “เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับทาง PlugHaus Thailand ได้เลย การันตีความคุ้มค่า พร้อมมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนติดตั้ง Home Charger สำหรับชาร์จรถ EV ที่บ้าน

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน หรือการติดตั้ง Home Charger ที่สามารถรองรับการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าทุก ๆ ประเภทนั้น สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ไม่แพ้การเลือกยี่ห้อหรือเครื่องชาร์จรถ EV ก็คือการเตรียมความพร้อมก่อนการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟ ทั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้าน รวมถึงการใช้มิเตอร์ที่เหมาะสม ซึ่งทาง PlugHaus Thailand จะมาสรุปให้คุณดูกัน ว่าก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน มีอะไรบ้างที่ควรเตรียมให้พร้อม

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เพื่อติดตั้ง Home Charger

ก่อนที่จะติดตั้ง Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ ทำความเข้าใจกับระบบไฟฟ้าภายในบ้าน ว่าระบบไฟที่ใช้อยู่สามารถรองรับการใช้งานเครื่องชาร์จรถ EV หรือไม่ หากไม่รองรับต้องดำเนินการอย่างไรเพิ่มเติมบ้าง เพื่อให้ระบบไฟฟ้าไม่มีปัญหา และมีความปลอดภัยในการใช้งาน EV Charger

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เพื่อติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน

1. ตรวจสอบประเภทหัวปลั๊กของรถ EV

ขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก ๆ ของการติดตั้ง Home Charger คือ ต้องรู้ก่อนว่าหัวปลั๊กของรถยนต์ที่ใช้เป็นแบบไหน เพื่อให้รู้ว่าต้องเลือกเครื่องชาร์จแบบไหน กำลังไฟเท่าไหร่ ระบบไฟฟ้าในบ้านต้องเป็นยังไง ซึ่งหัวปลั๊กของรถ EV ในปัจจุบันนี้ จะมีหัวชาร์จที่ใช้ทั้งหมด 2 รูปแบบหลัก ๆ ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟที่บ้าน ด้วยระบบ AC Charger (ไฟฟ้ากระแสสลับ) ได้แก่

  • Type 1 ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่นและอเมริกา มีหัวต่อแบบ 5 Pin เป็นการชาร์จไฟ 1 เฟส รองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดอยู่ที่ 32A หรือ 7.2 kWh เช่น Nissan Leaf และ Tesla
  • Type 2 ส่วนมากเป็นรถยุโรป มีหัวต่อแบบ 7 Pin จ่ายไฟอยู่ที่ 3.7 kWh แต่บางแบรนด์สามารถจ่ายได้มากถึง 11 – 22 kWh เช่น BYD, GMW, Mercedes-Benz, BMW, Volvo, Porsche และ Tesla

โดยส่วนมากแล้วหัวชาร์จที่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยใช้ในปัจจุบัน จะเป็นแบบ Type 2 เพราะฉะนั้น การเลือกติดตั้ง EV Charger ก็สามารถเลือกรุ่นที่เป็นหัวชาร์จ Type 2 ได้เลย สำหรับรถ EV รุ่นใหม่ ๆ ที่จำหน่ายในเมืองไทย เช่น Tesla Model Y 2023 ที่ใช้หัวชาร์จ AC Type 2 แต่หากเป็นการชาร์จแบบ DC Charger (ไฟฟ้ากระแสตรง) จะใช้หัวชาร์จแบบ CSS2

ความแตกต่างของหัวชาร์จ EV Type 1 และ Type 2

2. พิจารณาความสามารถการรับไฟของ On Board Charger

ก่อนจะติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ก็ต้องดูก่อนว่า On Board Charger หรือเครื่องชาร์จที่มากับตัวรถนั้น สามารถรับไฟได้ขนาดไหนบ้าง เพื่อเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟใกล้เคียงกัน โดยกำลังไฟจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • 6kW เช่น MG ZS, Ora Good Cat และ BYD ATTO 3
  • 11kW เช่น Volvo XC40, Tesla Model 3, BMW iX3 และ Mini Cooper SE 2024
  • 22kW เช่น Porsche Taycan และ Audi e-tron GT

3. ตรวจเช็กของขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน

วิธีการสังเกตว่าขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้อยู่เป็นแบบไหน ให้ดูข้อความตรงมิเตอร์ที่เขียนว่า “Phase” หรือ “Type” ซึ่งบ้านที่สร้างมานานแล้วมักจะเป็นบ้านที่ใช้ไฟแบบ Single-Phase 5(15)A หรือ Single-Phase 15(45)A แต่ตามมาตรฐานการติดตั้งเครี่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน การไฟฟ้าจะแนะนำให้ใช้มิเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาด Single-Phase 30(100)A หรือ 3-Phase 15(45)A

เพราะฉะนั้น หากลองตรวจเช็กดูแล้วว่ามิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านไม่รองรับหรือมีกำลังไฟไม่เพียงพอ ก็ต้องทำการแจ้งขอเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ที่การไฟฟ้าก่อน หรือบางกรณีอาจจะขอติดตั้งมิเตอร์ TOU ไปด้วยเลยก็ได้ สำหรับเอกสารที่ใช้ในการขอเปลี่ยนมิเตอร์นั้น ประกอบไปด้วย

  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้า
  • บิลค่าไฟฟ้า (3 – 4 เดือนย้อนหลัง)
  • ข้อมูลหรือสเปกรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ (สำหรับประเมินกำลังไฟที่เพียงพอ)
  • ใบมอบอำนาจ หรือสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบ (กรณีดำเนินการแทนเจ้าบ้าน)

4. ตรวจเช็กขนาดสายไฟเมน

นอกเหนือจากการเช็กมิเตอร์ไฟฟ้าว่าพร้อมต่อการติดตั้ง EV Charger หรือไม่แล้ว ก็ต้องเช็กขนาดสายไฟเมนหรือขนาดสายไฟที่เชื่อมมายังตู้ควบคุมด้วย ซึ่งขนาดที่ควรใช้คือขนาด 25 ตร.มม. และสำหรับตู้ Main Circuit Breaker หรือตู้เมนเบรกเกอร์ ก็ควรใช้ตู้ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 100 A เช่นกัน

5. ตรวจเช็กเครื่องตัดไฟรั่ว

แน่นอนว่าการใช้ไฟฟ้านั้นยังมีข้อควรระวังหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือการเกิดเหตุการณ์ณืที่ไม่คาดฝัน อาทิ ฟ้าผ่า ที่อาจส่งผลให้เกิดไฟดูดได้ ดังนั้น อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รวมถึง Home Charger ก็คือ การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD) ซึ่งมาตรฐานทั่วไปคือต้องมีพิกัดกระแสไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 30 mA และสามารถตัดไฟได้ภายในเวลา 0.04 วินาที เมื่อมีไฟรั่ว 5 เท่าของพิกัด

ส่วนการเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หากรุ่นที่เลือกติดตั้งมีระบบตัดไฟอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง RCD เพิ่มก็ได้เช่นกัน ส่วนเต้ารับควรใช้แบบ 3 รู และมีหลักดินแยก ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ทางผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า จะเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำแนะนำก่อนติดตั้งเสมอ

6. เลือกจุดสำหรับติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน

การเลือกพื้นที่สำหรับติดตั้ง Home Charger ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ๆ ก็ตาม จุดที่ติดตั้งเครื่องชาร์จไปจนถึงจุดเสียบหัวชาร์จเข้ากับตัวรถ ควรมีระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร เพราะปกติแล้วสายชาร์จจะมีความยาวสายอยู่ที่ 5 – 7 เมตรเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และการเดินสายไฟก็ไม่ควรไกลจากตู้ควบคุมไฟฟ้าด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญคือ ไม่ว่าเครื่องชาร์จจะมีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นละอองที่ IP เท่าไหร่ก็ตาม ก็ควรติดตั้งเครื่องชาร์จในพื้นที่ร่มและอยู่ใต้หลังคา เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและความปลอดภัยของผู้ใช้รถ แต่หากต้องการติดตั้ง EV Charger ที่คอนโด จะต้องทำการติดต่อที่นิติบุคคลก่อน ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน เลือก PlugHaus Thailand

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ EV ที่ต้องการติดตั้ง Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน แล้วยังไม่รู้ว่าจะเลือกติดตั้งกับผู้ให้บริการที่ไหนดี สามารถเลือกติดตั้งกับทาง PlugHaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์ และวิศวกรที่ผ่านการรับรอง ด้วยมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA ที่พร้อมจะให้ข้อมูลด้านการชาร์จที่ครอบคลุม พร้อมกับตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ติดตั้งให้อย่างละเอียด เพื่อสร้างประสบการณ์และการใช้งาน เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้รถทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบ 1 เฟส หรือ 3 เฟส ก็สามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เซฟค่าไฟฉบับกูรู​ ด้วย “มิเตอร์ไฟฟ้า TOU”​ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้จัก

ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลาย ๆ บ้าน คนเผชิญกับปัญหาค่าไฟแพงขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งถ้าใครเป็นคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยแล้ว ก็คงจะอยากเซฟค่าไฟให้มากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ “มิเตอร์ TOU” ซึ่งเป็นมิเตอร์ไฟฟ้าทางเลือกที่หลาย ๆ คนสนใจ เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาทำความรู้จักกับมิเตอร์ไฟฟ้า TOU ให้มากขึ้น ว่าคืออะไร แล้วคุ้มไหมถ้าจะติดตั้งมิเตอร์ชนิดนี้แทนมิเตอร์ปกติที่ใช้อยู่

การใช้มิเตอร์ TOU สำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า

มิเตอร์ TOU คืออะไร?

มิเตอร์ TOU (Time Of Use Tariff หรือ Time Of Use Rate) คือ มิเตอร์ไฟฟ้าในรูปแบบดิจิทัล ที่จะใช้วิธีการคิดค่าไฟตามช่วงเวลาในการใช้งาน ต่างจากมิเตอร์ไฟฟ้าแบบปกติที่จะคิดค่าไฟตามหน่วยการใช้งาน โดยการคิดอัตราค่าไฟฟ้าของการใช้มิเตอร์ไฟฟ้า TOU จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ On-Peak และ Off-Peak ซึ่งทั้งสองเวลาจะมีการคิดค่าบริการที่ต่างกันตามการกำหนดอัตราค่าไฟของ MEA และ PEA

การคิดอัตราค่าไฟฟ้า ของมิเตอร์ TOU

สำหรับอัตราค่าไฟฟ้าของมิเตอร์ TOU นั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงราคา คือ ช่วงเวลา On-Peak และ Off-Peak ซึ่งเวลาในการคิดค่าไฟ จะมีราคาต่อหน่วยที่ต่างกัน ดังนี้

อัตราค่าไฟฟ้ามิเตอร์ TOU ปี 2567
  • ช่วงเวลา On-Peak หรือ Peak จะมีค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.1135 (แรงดัน 22 – 33 kV) และราคา 5.7982 บาท/kWh (แรงดันต่ำกว่า 22 kV)
  • เวลา Off-Peak มีราคาค่าไฟอยู่ที่ 2.6037 (แรงดัน 22 – 33 kV) และราคา 2.6369 บาท/kWh (แรงดันต่ำกว่า 22 kV)

โดยราคาค่าไฟต่อหน่วย หรือต่อ kWh นั้น จะเป็นราคาที่ยังไม่รวมกับค่า FT และค่าบริการรายเดือน ทั้งนี้ จากกระแสข่าวการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ก็อาจจะส่งผลให้ค่าไฟต่อหน่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่า FT ได้เช่นกัน (ตั้งแต่งวดวันที่ ก.ย. – ธ.ค.) ซึ่งปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับการใช้มิเตอร์ TOU สำหรับบ้านและกิจการขนาดเล็กจะมีราคาที่เท่ากัน แต่หากเป็นกิจการขนาดกลางไปจนถึงกิจการขนาดใหญ่จะมีราคาค่าไฟฟ้าที่ถูกลงมา

การประหยัดค่าไฟสำหรับคนใช้รถ EV ด้วยมิเตอร์ TOU

มิเตอร์ไฟฟ้า TOU เหมาะกับใครบ้าง เปลี่ยนแล้วคุ้มไหม?

จะเห็นได้เลยว่า จากการคิดอัตราค่าไฟฟ้าของการใช้มิเตอร์ TOU ที่จะยึดตามเวลา On-Peak และ Off-Peak นั้น ส่งผลให้ค่าไฟเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่การจะเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ไฟฟ้าชนิดนี้ จะเหมาะกับคนบางกลุ่มเท่านั้น นั่นก็คือ กลุ่มคนที่ต้องเดินทางออกไปทำงานในเวลากลางวัน แล้วกลับมาใช้ชีวิตในบ้านตอนกลางคืนเป็นหลัก เช่น หากใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ก็สามารถชาร์จไฟในเวลากลางคืน เพื่อนำรถไปใช้ในเวลากลางวัน เป็นต้น

แต่หากใครที่ทำงานอยู่ที่บ้าน เช่น Work From Home ทำธุรกิจที่บ้าน หรือมีสมาชิกในบ้านอาศัยอยู่ในเวลากลางวันหลายคนก็อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก เพราะสุดท้ายแล้วในช่วงเวลากลางวันก็ยังคงมีอัตราการใช้ไฟฟ้าไม่ต่างจากเวลากลางคืนอยู่ดี เพราะฉะนั้น ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ TOU ก็ควรสำรวจก่อนว่าพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของสมาชิกในบ้านเป็นอย่างไร ส่วนมากแล้วจะใช้ไฟในเวลาไหนมากที่สุด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและสามารถประหยัดค่าไฟได้จริง

เปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า เป็นมิเตอร์ TOU ต้องทำยังไง?

การติดตั้งมิเตอร์ TOU ที่บ้านนั้น สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ ยื่นเรื่องผ่านทางออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง หากอยู่ในเขตการไฟฟ้านครหลวงสามารถยื่นเรื่องได้ที่เว็บไซต์ https://eservice.mea.or.th/ หรือที่เบอร์โทรศัพท์ 1130 แต่หากอยู่ในเขตความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะต้องยื่นเรื่องผ่านทางเว็บไซต์ https://eservice.pea.or.th/ หรือติดต่อคอลเซ็นเตอร์ที่เบอร์โทรศัพท์ 1129 และอีกช่องทางหนึ่งก็คือ ดำเนินการขอใช้มิเตอร์ไฟฟ้า TOU ที่การไฟฟ้าใกล้บ้าน

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการขอเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า TOU
  • หากไม่ใช่เจ้าบ้านต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น สัญญาซื้อขาย หรือใบมอบอำนาจ
  • บิลค่าไฟฟ้า
  • ใบคำขอใช้ไฟฟ้า (ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของ PEA หรือ MEA)

ราคาและค่าติดตั้ง สำหรับมิเตอร์ไฟฟ้า TOU

สำหรับค่าบริการการติดตั้งเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ไฟฟ้า TOU จะมีราคาค่าเปลี่ยนมิเตอร์อยู่ที่ 700 บาท และค่ามิเตอร์ 6,000 บาท โดยอัตราค่าธรรมเนียมในการขอใช้ไฟฟ้าและค่าบริการต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะบ้านที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส ที่อาจจะมีราคาที่ต่างกันอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ไฟฟ้า TOU สามารถสอบถามอัตราค่าบริการได้ที่การไฟฟ้าในพื้นที่ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรจะหันมาใช้มิเตอร์ TOU ดีหรือไม่

ติดตั้ง Home EV Charger เลือก PlugHaus Thailand

ติดตั้ง Home EV Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

นอกเหนือจากการเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์ TOU ที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถ EV ประหยัดไฟได้มากขึ้นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเลือกใช้ Home Charger ที่มีมาตรฐาน และเป็นมิตรกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยทาง PlugHaus Thailand นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่มีมาตรฐานและผ่านการรับรองทั้งจาก PEA และ MEA โดยทีมงานที่มากประสบการณ์ โดยเฉพาะวิศวกรไฟฟ้าที่ได้ใบรับรอง ที่สามารถให้ข้อมูลพร้อมตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟฟ้าได้อย่างตรงจุด ที่สำคัญคือ เรามีเครื่องชาร์จให้เลือกหลายรุ่นในงบที่คุณเลือกได้ และเป็นมิตรต่อสุขภาพแบตเตอรี่ในระยะยาว