fbpx

รีวิว Leapmotor C10 เผยโฉมครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024

เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาแรงและติด Top การค้นหามากที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับเจ้า “Leapmotor C10” รถยนต์แบรนด์จีนที่อยู่ในเครือของ Stellantis ที่คนรักรถต้องรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น Jeep, Peugeot, Opel, RAM, Alpha Remeo และ Maserati ซึ่งในครั้งนี้ก็ถึงคิวของ Leapmotor C10 SUV 5 ที่นั่ง ที่จะมาบุกตลาดรถ EV ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยโฉมครั้งแรกในงาน Thailand International Motor Expo 2024 และงานนี้ก็ไม่ได้มีแค่การเผยโฉมพร้อมสเปกเท่านั้น แต่ยังประกาศราคาจำหน่าย โดยเริ่มต้นที่ 1,098,000 บาท (นำเข้า CBU)

Review Leapmotor C10 รถไฟฟ้า SUV 5 ที่นั่ง และสเปก

จุดเด่นของ Leapmotor C10 รถ SUV 5 ที่นั่ง

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Leapmotor C10 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถ SUV หรือรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างอรรถประโยชน์ โดยเฉพาะพื้นที่สัมภาระและความกว้างของห้องโดยสาร ที่น่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้รถหลายกลุ่ม มีจุดเด่นหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะฟังก์ชันการใช้งาน สเปกของตัวรถ และอุปกรณ์ภายในที่ครบครัน อาทิ ระบบการชาร์จแบบไร้สาย หรือ Wireless Charger หรือแม้แต่การควบคุมรถระยะไกลผ่านทางแอปฯ นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการ LEAP OS 4.0 ที่จะทำให้การใช้งานง่ายยิ่งขึ้น เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 2024 – 2025 ในกลุ่ม SUV ที่น่าสนใจ และน่าใช้งานอีกหนึ่งรุ่น

Review Leapmotor C10 and Specs

Highlight ของ Leapmotor C10 เข้าไทยครั้งแรกส่งท้ายปี!

  • การออกแบบระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งที่มีความลงตัว
  • ใช้ไฟหน้า LED แบบ “Angle – Wing” ที่มาพร้อมกับ DRL แบบ Sequential
  • มีระบบ Active Grille Shutter (AGS) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแอโรไดนามิกได้ดั
  • ล้ออัลลอยลาย Trident ที่ช่วยเพิ่มลวดลายให้ดูโดดเด่นมากขึ้น
  • ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8115 พร้อม Leap OS 4.0
Review Leapmotor C10 and Specs

มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,739 x 1,900 x 1,680
  • ระยะฐานล้อ 2,825 มม.
  • ระยะจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 190 มม.
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 435 – 900 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)
  • น้ำหนักตัวรถ 1,980 กก.
รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

อุปกรณ์และฟังก์ชันภายในตัวรถ

  • แผงหน้าปีดแบบบุนุ่ม หุ้มด้วยหนัง Soft Touch
  • มือจับแผงบุหลังคา พร้อมกับฟังก์ชันลดแรงสั่นสะเทือน
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน
  • เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมกับ Welcome Seat
  • เบาะนั่งคู่หน้า ที่มีระบบทำความร้อนและระบายอากาศในตัว
  • ไฟตกแต่งภายในกะพริบเป็นจังหวะ มีถึง 64 สี สร้างสีสันภายในห้องโดยสาร
  • จอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมระบบคำสั่งเสียง OTA
  • หน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมกล้อง 360 องศา
  • ใช้เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO – Tex Standard 100 ปลอดภัยต่อเด็กทารก
  • มีหลังคาก Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร
  • ระบบเสียงรอบทิศทาง พร้อมกับลำโพง 12 ตัว
  • ใช้กุญแจ NFC
รีวิว Leapmotor C10 ภายนอกพร้อมไฟ Light Bar

ระบบความปลอดภัยและ Safety

  • ไฟควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ฟังก์ชันไดนามิกเบรก (DBF) และระบบเบรกโอเวอร์ไรด์ (BOS)
  • ระบบช่วยควบคุมการทท่รงตัวขณะออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP)
  • ระบบป้องกันรถไหลอัตโนมัติ (AVH)
  • ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (MCB)
  • ถุงลมนิรภัย พร้อมม่านถุงลงนิรภัยแถว 1 และ 2 (ซ้ายและขวา)
  • ระบบล็อกป้องกันเด็กเปิดประตูแบบ 2 ชั้น
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อลืมปิดประตู
  • การปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน
  • ระบบการควบคุมให้รถอยู่ในเลน (LKA)
  • ระบบการควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISA)
  • การแจ้งเตือนเมื่อพบว่าคนขับเกิดภาวะง่วงซึม (DDAW)
  • ฯลฯ

สเปกและแบตเตอรี่ พร้อมการชาร์จไฟของตัวรถ

Leapmotor C10 ใช้ระบบการขับเคลื่อนล้อหลัง RWD มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor โดยมีพละกำลังที่สูงถึง 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า (PS) โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ยังพ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium – ion ที่ความจุ 69.9 kWh รองรับการชาร์ด้วยหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo ซึ่งหากชาร์จด้วย AC Charger (ไฟฟ้ากระแสสลับ) จะรองรับสูงสุดอยู่ที่ 6.6 kW แต่หากเป็นการชาร์จด้วย DC Charger สามารถรองรับการชาร์จได้ถึง 84 kW (ชาร์จจาก 30 – 80% ในเวลาเพียง 30 นาที) ซึ่งระยะทางวิ่งสูงสุดจะอยู่ที่ 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กม./ชม.

 รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

สีตัวถังและสีภายในห้องโดยสาร

สีตัวถัง

  • สีเขียว Glazed Green
  • สีดำ Metallic Black
  • สีขาว Pearly White
  • สีเทา Canopy Grey
  • สีเทา Tundra Grey

สีภายในห้องโดยสาร

  • สีน้ำตาล Criollo Brown
  • สีดำ Midnight Aurora
ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 ในไทย

ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 อยู่ที่ 1,098,000 บาท

สำหรับราคาจำหน่ายของ Leapmotor C10 69.9 kWh Rear – Wheel Drive มีราคาอยู่ที่ 1,098,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่นำเข้า CBU มาในไทย แต่ที่พิเศษมากกว่าคือ ลูกค้าที่สนใจออกรถในช่วงนี้ และเป็นลูกค้าที่จองรถ 200 ท่านแรก จะได้รับส่วนลดในแคมเปญพิเศษสูงสุดถึง 120,000 บาท

  • เบี้ยประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
  • Home Charger พร้อมบริการติดตั้งฟรี
  • บริการจดทะเบียนรถใหม่
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 5 ปี
  • แพ็กเกจบำรุงรักษาตัวรถนานสูงสุด 5 ปี
  • ฟรีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา
  • รับประกันคุณภาพรถ 5 ปี หรือ 100,000 กม.
  • รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กม.

จะเห็นได้เลยว่า Leapmotor C10 เป็นหนึ่งในรถ SUV 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว และมีความ Luxury สูงมาก ๆ ซึ่งหากเทียบกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่จำหน่ายในไทยอยู่ในตอนนี้ ก็จะอยู่ในไทป์เดียวกันกับ Deepal S07, BYD Sealion7, KIA EV5 และ AION V ที่มีขนาดตัวรถที่ใกล้เคียงกัน และหากเทียบกับราคาจำหน่าย พร้อมโปรโมชั่นในช่วงแคมเปญนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในรถยนต์ EV ที่น่าใช้งานในปี 2025 นี้อีกหนึ่งรุ่น

เพราะนอกจากจะมีสเปกดีมาก ๆ แล้ว เรื่องฟังก์ชันภายในก็ถือว่าครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและการใช้งานภายในรถ ก็มีหลายฟังก์ชันที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ, ระบบเบรก BOS ซึ่งเมื่อใช้งานควบคู่กับช่วงล่างด้านหน้าแบบ McPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi – Link ก็ยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย และหากคนรักรถ EV อยากยลโฉม Leapmotor C10 ที่เข้าไทยเป็นครั้งแรกเพื่อบุกตลาดรถ EV ปี 2025 นี้ ก็สามารถเข้าไปชมพร้อมรับสิทธิพิเศษได้ที่งาน Motor Expo 2024 ได้เลย!

ไฮไลท์เด็ดงาน Motor Expo 2024 งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 “The 41th Thailand International Motor Expo 2024” ในปลายปีนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่หลายคนต่างก็รอคอย โดยเฉพาะผู้ที่สนใจนวัตกรรมยานยนต์ หรือผู้ใช้รถที่มีแพลนอยากจะออกรถใหม่มาใช้งาน ซึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ของปีนี้ ก็มีไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การจัดแสดงโชว์นวัตกรรมยานยนต์ใหม่ ๆ การเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นดีดีเฉพาะลูกค้าที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 อีกเพียบ ลด แลก แจกแถม พร้อมโปรชมงานชิงรถ เรียกว่ามีแต่ไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าติดตามกันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น PlugHaus Thailand จะพาคุณมาดูกันว่า งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปีนี้ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำกิจกรรมดีดีที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ชมงาน…ชิงรถ

งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Thailand International Motor Expo 2024 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกงานหนึ่งของเมืองไทย โดยทุก ๆ ปี จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี โดยในปีนี้งาน Motor Expo 2024 ก็จัดขึ้นภายในแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต (INNOVATIVE SPIRIT…Futuristic Vehicles)” โดยการจัดงานในครั้งนี้ อยู่ภายใต้การดูแลและบริหารงานของ บริษัท สื่อสากล จำกัด โดยมีคุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ เป็นประธานการจัดงาน

คุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานการจัดงาน Motor Expo 2024

แบรนด์รถยนต์ที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้

ในงาน Motor Expo 2024 ปีนี้ ค่ายรถยนต์ที่เข้ามาร่วมจัดแสดงพร้อมเปิดตัวรถใหม่ ก็มีหลายแบรนด์เช่นกัน รวมกว่า 42 ค่าย จาก 9 ประเทศ ที่เข้ามาทำตลาดรถ EV ในเมืองไทย ได้แก่ Aion, Aion, Audi, Avatar, BMW, BYD, BYD Commercial, Deepal, Denza, Ford, Foton, Geely, Great Wall Motor, Honda, Hyundai, Isuzu, Jeep, Juneyao, Kia, King Long, Leapmotor, Lexus, Lotus, Maserati, Mazda, Mercedes-Benz, MG, MINI, Mitsubishi, Neta, Nissan, Omoda & Jaecoo, Peugeot, Pocco, Porsche, Riddara, Suzuki, Tesla, Toyota, Volvo, Wuling, Xpeng และ Zeekr และยังมีชุดแต่งจากผู้นำเข้าอิสระอย่าง M’Z Speed อีกด้วย

แบรนด์รถจักรยานยนต์ ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปลายปีนี้ ก็มีทั้งสิ้น 22 ค่าย จาก 9 ประเทศ ได้แก่ AJ EV, Alpha Volantis, BMW Motorrad, Deco, EM Motor, Felo, Hanway, Harley-Davidson, Honda, Kawasaki, Lambretta, NIU, Rapid, Royal Alloy, Royal Enfield, Solar, Strom, Suzuki, Triumph, Yamaha, Zeeho และ Zontes

แผนผังงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

รวมโปรโมชั่นงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

โปรโมชั่นชมงาน…ชิงรถ ลุ้นรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ภายในงาน

  • “ซื้อรถ…ชิงรถ” เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ มีสิทธิ์ชิงรถ The KIA EV5 รุ่น Light มูลค่า 1,299,000 บาท
  • “ซื้อบัตร…ชิงรถ” ผู้ที่ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถ Mazda CX-3 Base Plus มูลค่า 830,000 บาท
  • “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์รุ่นใดก็ได้ ก็มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์ Triumph รุ่น Scrambler 1200 X มูลค่า 599,000 บาท
  • “ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรางวัล” ลุ้นชิงรถยนต์ Suzuki รุ่น Swift GK มูลค่า 567,000 บาท

กิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชนภายในงาน

  • Skill Driving Experience Junior การอบรมปลูกฝังวินัยจราจรเด็ก
  • Skill Driving Experience กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่รถที่ถูกต้องแก่บุคคลทั่วไป
  • Spirit of the 4×4 Driving School กิจกรรมให้ความรู้ และทดลองขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
  • นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย พร้อมการอวดโฉมรถโบราณทรงคุณค่า นอกจากนี้ ยังได้เปิดโหวตรถประทับใจ ชิง People Choice Award
  • กิจกรรมจากมูลนิธิ “ลมหายใจไร้มลทิน” จัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และเยาวชน
  • Join Boat Platform จัดแสดงเรือ และกิจกรรมทางน้ำ
บรรยากาศงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สถานที่จัดงาน Motor Expo 2024 พร้อมการเดินทาง

สำหรับการจัดงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ www.motorexpo.co.th โดยจำหน่ายใบละ 100 บาท หรือสามารถซื้อบัตรที่หน้างานก็ได้เช่นกัน (รอบสื่อจัดงานพร้อมพิธีเปิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567)

  • วันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์ งานเริ่มเวลา 12.00 – 22.00 น.
  • วันเสาร์ – อาทิตย์ งานเริ่มเวลา 11.00 – 22.00 น.

นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน ยังสามารถรับบัตรฟรีในการเข้าชมงานมหกรรมยานยนต์ได้เช่นกัน อาทิ ลูกค้า AIS สามารถแลกพอยต์รับบัตรเข้าชมงาน Motor Expo 2024 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นซื้อ Motor Expo Exclusive Visitor มูลค่า 1,000 บาท รับข้อเสนอสุดพิเศษรวมกว่า 5,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น บัตร Ultimate 3 ใบ เข้าชมงานได้ทุกวัน, ช่องจอดรถ VIP 3 ชั่วโมง, พื้นที่รับรองพิเศษ, บริการนำชมรถภายในงาน และสิทธิพิเศษซื้อสินค้าที่ระลึกภายในงานลด 10% (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.motorexpo.co.th)

การเดินทางไปยังงาน Motor Expo 2024

1. เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS

  • สายสีเขียว ลงที่สถานีหมอชิต (ทางออก 4) แล้วขึ้นรถตู้สาย สวนจตุจักร – เมืองทองธานี
  • สายสีแดง ลงที่สถานีหลักสี่ แล้วต่อรถโดยสารสาย 52, 150 และ 356
  • สายสีชมพู ลงที่สถานีเมืองทองธานี แล้วใช้บริการรถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซค์

2. เดินทางด้วยรถตู้

  • สายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดจอดตรงข้าม รพ.ราชวิถี
  • สายจตุจักร จุดจอดรถที่ลานจอด BTS หมอชิต ทางออก 4 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 3
  • สายเดอะมอลล์งามวงศ์วาน จุดจอดที่แกรนด์พลาซ่า ตรงข้ามเดอะมอลงามวงศ์วาน
  • สายสนามหลวง ให้บริการเฉพาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.
  • สายสีลม ให้บริการเฉพดาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.

3. เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์)

  • เส้นวิภาวดี – รังสิต, แยกแจ้งวัฒนะ สาย 29, 52, 59, 95, 150, 504, 510 และ 538
  • เส้นห้าแยกปากเกร็ด สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359 และ 367
  • เส้นถนนแจ้งวัฒนะ สาย 52, 150 และ 356
  • เส้นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย 166

4. เดินทางด้วยรถ Shuttle Bus ฟรี

  • BTS หมอชิต ทางออก 2 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 4 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • BTS ศรีรัช ทางออก 1 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • MRT หัวลำโพง ทางออก 2 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • ศูนย์การค้า G12 ฝั่งร้าน AIS – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.

หมายเหตุ : สำหรับบริการ Shuttle Bus ไป – กลับ งาน Motor Expo 2024 รอบเดินทางกลับรอบแรกเวลา 12.00 น. และรอบสุดท้ายคือเวลา 22.30 น. ทุกสาย

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารวมงาน Motor Expo 2024 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 สามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.motorexpo.co.th และหากไม่อยากพลาดข่าวสารเด็ด ๆ รวมถึง รีวิวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารวงการรถยนต์ EV จากทาง PlugHaus Thailand ที่พร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารเด็ด ๆ และรีวิวรถใหม่แบบจัดเต็มให้กับคนรักรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

ส่องรถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ พร้อมบุกตลาดรถ EV ในไทย ปี 2024 – 2025

จะสิ้นปี 2024 แล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงปลายปี 2024 และทำตลาดในช่วงปี 2025 นี้ ซึ่งบางรุ่นก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว ในขณะที่บางแบรนด์ก็เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย พร้อมทำตลาดอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้น ชาวอีวีก็ไม่ควรพลาด มาดูกันว่าในช่วงนี้ Timeline การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในไทย มีรุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม มีครบทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่และแบรนด์น้องใหม่ที่จะมาเข้าร่วมในศึกตลาดรถ EV แน่นอน

Update! รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ล่าสุดปี 2024 ในไทย

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BEV, HEV และ PHEV ที่กำลังจะเปิดตัวและทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2024 ไปจนถึงปี 2025 ในตอนนี้ก็มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งบางรุ่นก็มีแววว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2024 ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 – 10 ธันวาคม 2567 นี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมา Check List ดูกันว่า ตอนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม และกำลังจะมาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย บอกเลยว่าแต่ละรุ่นน่าใช้และสเปกจัดเต็มไม่แพ้กัน

รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ BYD Seal 2025

1. BYD Seal 2025

รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ และสดใหม่ก็ต้องยกให้กับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 อย่าง BYD Seal หรือ เจ้าแมวน้ำจากค่าย BYD ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองจีนไปแล้วในปีนี้ พร้อมการอัปเกรดครั้งใหญ่ ครบทั้งภายในและภายนอก และที่สำคัญคือ มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่น่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง โดยเฉพาะแชสซีใหม่ที่มาพร้อมกับระบบ Disus – C ที่เพิ่มความสามารถได้หลายอย่าง เช่น ความเสถียร ความสะดวกสบาย และระบบกันสะเทือน

จุดเด่นของ BYD Seal 2025

  • ขนาดตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 4,800 x 1,875 x 1,460 มม.
  • e-Platform 3.0 EVO อัปเกรดระบบไฟฟ้าจาก 400 เป็น 800 โวลต์ ชาร์จแบตได้ตั้งแต่ 10% – 80% โดยใช้เวลาเพียงแค่ 25 นาที
  • มีเทคโนโลยี LiDAR การตรวจจับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งกีดขวาง วัตถุ ฯลฯ ที่แม่นยำมากขึ้น
  • เป็นที่สุดของขุมพลัง EV โดยรุ่นท็อปมีกำลัง 390 กิโลวัตต์ 523 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD)
  • เปลี่ยนโลโก้ใหม่ จากคำว่า Build Your Dreams เหลือแค่ BYD เท่านั้น
  • มีแบตเตอรี่ 2 ขนาด คือ ขนาด 61.44 kWh วิ่งได้สูงสุด 510 กม. และขนาด 80.64 kWh วิ่งได้สูงสุด 650 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • 510 Standard Edition
  • 650 Long Range Edition
  • 650 Intelligent Driving Edition
  • 600 4WD Intelligent Driving Edition
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ JAECOO 6

2. JAECOO 6

ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับสายออฟโรดโดยเฉพาะ สำหรับเจ้า JAECOO 6 ที่มีการอัปเกรดขุมพลังให้แกร่งขึ้น โดยเฉพาะระบบการทำงานของ i-WD ที่กระจายแรงไปยัง 4 ล้อ ในโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงระบบ Ground Clearance ที่ช่วยทำให้ขับลุยน้ำได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งแบบ On-Road และ Off-Road โดยเฉพาะ

จุดเด่นของ JAECOO 6

  • เป็นตัวถังระบบ B-SUV ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% มีทั้งรุ่น 2WD และ 4WD
  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,406 x 1,910 x 1,715 มม.
  • ใช้ไฟหน้า LED ชนิด Matrix LED ปรับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ และไฟ DRL รูปแบบตัว i
  • โดดเด่นเรื่องระยะมุมเข้าและมุมจากตัวรถ ทำให้ขับขี่บนทางลาดชัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีกล่องเก็บสัมภาระด้านหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ได้ดี
  • มีฟังก์ชันนวดเพื่อผ่อนคลายสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า
  • ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP จาก CATL ความจุ 65.7 kWh ขับไกล 426 กม. และความจุ 69.8 kWh ขับได้ไกล 418 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
  • มีการขับขี่สูงสุด 9 โหมด โดยเฉพาะในโหมด All road ที่ให้รถจัดการตัวเองได้ทั้งหมด

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Long Range 2WD ราคา 1,099,000 บาท
  • Long Range 4WD ราคา 1,249,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ GAC AION V II

3. GAC AION V II

สำหรับ GAC AION V II เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกร ที่กำลังจะมาทำตลาดในไทยในปลายปีนี้ (คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้) โดยเป็นรถ SUV ที่มีสมรรถนะให้เลือกใช้ 2 ขุมพลัง คือรุ่นที่ให้กำลัง 201 แรงม้า และ 221 แรงม้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2567 ที่งาน Beijing Auto Show 2024 ที่ผ่านมา โดยมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 7 รุ่น โดยไฮไลต์หลัก ๆ ของตัวรถก็คือ การพัฒนาขึ้นมาใหม่บนแพลตฟอร์ม AEP Pure Electric Digital Platform ของทาง GAC เอง

จุดเด่นของ GAC AION V II

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,605 x 1,854 x 1,660 มม. และระยะฐานล้อ 2,775 มม.
  • มีการออกแบบใหม่ เรียกว่า Blade Shadow Potential Energy
  • ออกแบบโลโก้ใหม่ของ AION ด้วยรูปแบบตัวอักษร
  • ออกแบบคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ให้มีความคล้ายกับเกล็ดมังกร
  • มีการติดตั้งตู้แช่เย็นขนาด 6.6 ลิตร บริเวณคอนโซลกลาง ทำความร้อน ความเย็น และแช่แข็งได้
  • ระบบเครื่องเสียงมีลำโพง 9 ตำแหน่ง และซับวูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว
  • มีระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานบนระบบ AI รวมถึง iFlytek หรือเครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ
  • มีมอเตอร์ขนาด 150 kW และ 165 kW
  • มีซิลิกอนคาร์ไบด์ ที่ช่วยให้ชาร์จได้ไวขึ้น 60% ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้ 370 กม.

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • ที่เปิดตัวในจีนมีทั้งหมด 7 รุ่นย่อย ส่วนรุ่นที่จำหน่ายในไทยต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Wuling Binguo 2024

4. Wuling Binguo

หากใครเป็นสาวกรถไซซ์มินิ ก็ต้องไม่พลาดกับ Wuling Binguo 2024 รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปิดตัวมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม B-Segment ที่เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Timeless ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be The Icon” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิกและเรียบง่าย ตอบโจทย์การใช้งานภายในเมืองโดยเฉพาะ และที่สำคัญคือ มีการรับประกันมอเตอร์ แบตเตอรี่ และคอนโทรลเลอร์ตลอดอายุการใช้งาน หรือ Passive Lifetime Warranty

จุดเด่นของ Wuling Binguo

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 3,950 x 1,780 x 1,580 มม.
  • แถมฟรี Wallbox Home Charger 7 kW พร้อมบริการติดตั้ง
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
  • มีกล้องบันทึกข้อมูลการขับขี่ DVR 1080p Full HD
  • ใช้แบตเตอรี่ Lithium – ion (LFP) ขนาด 31.9 kWh
  • สามารถวิ่งได้ไกล 333 กม. ต่อการชาร์จ (มาตรฐาน NEDC)
  • รองรับหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo
  • มีรูปแบบการขับขี่ 4 โหมด คือ ECO+ / ECO / Normal / Sport
  • มีระบบสตาร์ทอัตโนมัติ พร้อมระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
  • ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว หรือ Drive Away Locking

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Wuling Binguo SR AC ราคา 419,000 บาท
  • Wuling Binguo SRD DC ราคา 449,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Tesla Model Y Juniper 2025

5. Tesla Model Y Juniper 2025

ในช่วงต้นปี 2025 ที่จะถึงนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมวางจำหน่ายก็คือ Tesla Model Y Juniper 2025 ที่มาพร้อมกับการปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด มีความโดดเด่นที่เป็นจุดขายอันดับแรก ๆ คือ การออกแบบไฟหน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก XPENG ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ซึ่งเบื้องต้น Tesla Model Y Juniper จะเริ่มผลิตที่โรงงาน Giga Shanghai ในปลายปี 2024 นี้ พร้อมส่งมอบรถในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดออกมาแบบ 100% มีเพียงข้อมูลแบบคร่าว ๆ ของตัวรถเท่านั้น เรียกว่า สาวกคนรักเทสล่าสต้องติดตามกันแบบวันต่อวัน สำหรับข่าวสารของรถรุ่นนี้กันเลยทีเดียว

จุดเด่นของ Tesla Model Y Juniper 2025

  • มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ ด้วยการนำแถบไฟ LED แบบใหม่มาใช้ คล้ายการออกแบบของ XPENG
  • ยังคงคอนเซ็ปต์การออกแบบที่โดดเด่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และออปชั่นที่ครบครันเช่นเดิม
  • อาจมีสีใหม่ คือ Ultra Red และ Stealth Gray เพิ่มมาจากสีเดิมที่มีอยู่ในตอนนี้
  • คาดว่ามีการออกแบบแผงหน้าปัดใหม่ พร้อมระบบ Infotainment แบบจอสัมผัสหมุนได้
  • ภายในมีความคล้ายกับ Tesla Model 3 แต่แผงหน้าปัดมีการปรับปรุงให้เข้ากับห้องโดยสาร
  • คาดว่ามีการพัฒนาแบตเตอรี่ชุดใหม่ ที่อาจวิ่งได้ไกลถึง 400 ไมล์ มีความจุแบต 62.5 kWh

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • มีการเปิดเผยว่าจะมีการอัปเกรดรถรุ่นใหม่ พร้อมพัฒนารถที่มีราคาจับต้องได้

ติดตามทุกข่าวสารสดใหม่ ในแวดวงรถยนต์ EV ที่ PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่า ในบรรดารถยนต์ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่จะเตรียมมาทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 ไปจนถึงต้นปี 2025 นี้ ก็มีหลายรุ่นที่น่าสนใจ และมีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าใช้งาน ทั้งรถที่ออกแบบมาเพื่อสายออฟโรด หรือรถอีวีที่ออกแบบมาเพื่อคนใช้รถในเมืองโดยเฉพาะ นอกจากนี้ แบรนด์ชั้นนำอย่าง Tesla เอง ก็พร้อมที่จะตีตลาดพร้อมพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ให้มีราคาที่เอื้อมถึงได้

บอกเลยว่า กระแสรถยนต์ EV ในตอนนี้ ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันมาก ๆ และหากคุณไม่อยากพลาดข่าวสารวงการรถยนต์ไฟฟ้า หรือเทรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ก็อย่าลืมมาติดตามกับทาง PlugHaus Thailand ตัวจริงเรื่อง Home Charger บอกเลยว่า นอกจากเราจะมีข่าวสารวงการรถยนต์ EV อัปเดตกันแบบเรียลไทม์แล้ว เรายังมีสาระความรู้ที่น่าสนใจให้คุณได้ติดตามอีกเพียบ!

วิธีเลือก “ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า” ให้คุ้มครองรถ – แบต ฉบับชาวแก๊ง EV

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ากังวลมากที่สุดในการใช้รถยนต์ EV นั้น ก็คือเรื่องของ “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” เพราะต้องเลือกประกันที่สามารถคุ้มครองได้ทั้งแบตและตัวรถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอย่างมากมาย เช่น การลดความคุ้มครองแบตเตอรี่ หรือหากต้องซื้อประกันที่คุ้มครองได้ทั้งหมด ก็ต้องดูค่าเบี้ย ความคุ้มครอง และราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าให้ดี ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายหรือไม่ คุ้มครองกรณีไหนบ้าง เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น พร้อมวิธีเลือกประกันให้ถูกใจคนใช้รถ

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คือ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่สามารถคุ้มครองการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยตัวประกันจะมีความคล้ายและใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่จะมีความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ตามเบี้ยประกันภัย แต่ความแตกต่างของประกันรถยนต์ EV คือ สามารถคุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์และระบบไฟฟ้าร่วมด้วย ทั้งยังรวมถึงการคุ้มครองหัวชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน โดยประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการพิจารณาเงื่อนไขต่างจากรถยนต์ทั่วไป แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงคุ้มครองทุกภัย (All Risk) อาทิ น้ำท่วม ไฟไหม้ รถหาย ยกเว้นกรณีที่เกิดสงครามและการจลาจล

เกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV คปภ. ปี 2567

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ BEV ฉบับใหม่ ปี 2567

ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้เลยว่า ประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้านั้น เป็นที่ถกเถียงและมีให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle-BEV) ตามที่ คปภ. ประกาศล่าสุด ก็ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ให้ใช้เกณฑ์ดังกล่าวเป็นมาตรฐานเดียวกันนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นมา (เกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น ไม่รวมรถที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป)

  • หากได้รับความเสียหายและต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด ชดเชยสินไหมตามอายุการใช้งาน โดยลดอัตราการชดใช้ตามความเสื่อมของแบตเตอรี่ปีละ 10% ต่ำสุด 50%
  • คุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ทั่วไป แต่จะไม่คุ้มครองความเสียภายจากปัจจัยภายนอก (Cyber Breach) ที่ทำให้ระบบปฏิบัติการเสียหาย (Software)
  • ไม่คุ้มครองเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากเครื่องชาร์จที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตโดยตรง (สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้)
  • สามารถทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่ใน 2 ปี เพื่อความยืดหยุ่นต่อบริษัทประกันภัย
  • บังคับให้ระบุชื่อผู้ขับขี่สูงสุดได้ถึง 5 คน หากเกิดอุบัติเหตุแล้วชื่อผู้ขับขี่ไม่ตรงกับกรมธรรม์ จะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า Excess สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท
  • ผู้ขับขี่ที่มีประวัติดีสามารถรับส่วนลดค่าเบี้ยได้สูงสุด 40% (โดยใช้เกณฑ์ประวัติผู้ขับขี่แย่ที่สุดเป็นตัวคำนวณ)

ในการเคลมแบตเตอรี่จากบริษัทประกันภัย ทาง คปภ. ได้กำหนดเอาไว้ด้วยว่า หากได้รับความเสียหายบางส่วน อาจตกลงกันว่าจะมีการซ่อมหรือว่าเปลี่ยนรถที่มีสภาพเดียวกันทดแทนได้ และหากมีการเปลี่ยนแบตตามอัตราที่กำหนดไว้ในเกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จะถือว่าซากแบตเตอรี่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เอาประกันภัยและบริษัท โดยจะยึดตามสัดส่วนหรืออัตราการชดใช้ค่าสินใหม่ทดแทนในตัวแบตเตอรี่

วิธีเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

เลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหน ให้คุ้มครองได้ทั้งแบตและรถ?

การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้รถยนต์อีวีทุกชนิด หลักการสำคัญคือการพิจารณาค่าเบี้ยประกัน ว่ามีความคุ้มค่าต่อการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน เพราะค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้า ถือว่ามีราคาสูงมากกว่าเบี้ยประกันรถยนต์ทั่วไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV และมาตรฐานต่าง ๆ ยังอยู่ในช่วงที่ต้องนำองค์ประกอบหลายส่วนมาพิจารณาประกอบกัน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากราคาค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่สูงเกือบจะ 70% – 80% ของมูลค่ารถ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประกันรถยนต์ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป

1. เลือกจากความคุ้มครองของประกันภัย

จากเกณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV ของทาง คปภ. ที่กำหนดออกมานั้น จะสังเกตได้ว่า ครอบคลุมเฉพาะรถที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น จะไม่ครอบคลุมรถยนต์ที่พัฒนาหรือดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป เพราะฉะนั้น การพิจารณาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV ต้องพิจารณาวงเงินและความคุ้มครองในส่วนของตัวแบตเตอรี่ร่วมด้วย เพราะกรมธรรม์ฉบับใหม่ไม่ได้คุ้มครองทุกภัย (All Risk) ดังนั้น ต้องดูรายละเอียดความคุ้มครองให้ครอบคลุม ว่าไม่ครอบคลุมในกรณีไหนบ้าง ควรจะซื้อความคุ้มครองเพิ่มหรือไม่

2. เลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากกรมธรรม์

หากคุณใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วต้องการติดตั้ง EV Charger ที่ไม่ได้มาพร้อมกับตัวรถที่ซื้อ แนะนำว่าควรซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากทางบริษัทประกันภัย เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้นในการใช้รถ เพราะตามเกณฑ์ความคุ้มครองของประกันแล้ว จะไม่คุ้มครองความเสียหายจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตรถ เช่น ติดตั้งไปแล้วระบบของหัวชาร์จส่งผลต่อระบบปฏิบัติการ จนทำให้แบตเตอรี่มีปัญหา กรณีนี้ก็อาจจะเคลมประกันไม่ได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เมื่อมีการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน แล้วไม่ต้องการซื้อความคุ้มครองประกันรถยนต์ EV เพิ่มเติม ก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องชาร์จที่ติดตั้งนั้นมีมาตรฐาน ผ่านเกณฑ์ของทาง PEA และ MEA รวมถึงมาตรฐานอื่น ๆ เช่น มีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น รวมถึงการประกันวินาศภัยร่วมด้วย ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณของเงินในกระเป๋าด้วย ว่าสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ไหม แล้วบริษัทที่รับติดตั้ง Home Charger มีความน่าเชื่อถือหรือไม่

3. ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าชั้น 1 ไว้อุ่นใจกว่า

จริงอยู่ที่ว่าประกันรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายแบบให้เลือก แต่อย่าลืมว่าตัวรถยนต์ไฟฟ้ามีการทำงานที่ต่างจากรถยนต์สันดาป ดังนั้น เพื่อให้ผู้ใช้รถสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ แนะนำว่าให้เลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 จะดีที่สุด เพราะมีความครอบคลุมมากกว่า รองรับความเสี่ยงได้หลายปัจจัย รวมถึงการเกิดเหตุทั้งแบบที่มีคู่กรณีและแบบไม่มีคู่กรณี นอกจากนี้ บางบริษัทประกันภัยยังมีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ให้กับผู้ใช้รถที่เลือกซื้อประกันชั้น 1 อีกด้วย

และข้อดีของการใช้ประกันชั้น 1 ที่เห็นได้ชัด สำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ การใช้บริการที่ศูนย์ซ่อมบริการ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายังถือว่าใหม่ในตลาดรถเมืองไทย ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด เข้าใจปัญหาและระบบของตัวรถได้จริง ก็คือศูนย์บริการหรือค่ายรถโดยตรง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วประกันชั้น 1 จะสามารถใช้บริการซ่อมห้างได้ ทำให้เวลาเคลมประกันหรือการสั่งอะไหล่มีความง่ายมากกว่าอู่ข้างนอก ทั้งยังประหยัดเวลาในการรอมากกว่าเช่นกัน

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร้กังวล ด้วย Home Charger จาก PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่าการเลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ในปัจจุบันมีเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จากทาง คปภ. เข้ามามีบทบาทร่วมด้วย จึงทำให้ผู้ใช้รถต้องพิจารณาการเลือกประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น ทั้งเรื่องความคุ้มครองตัวรถและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการติดตั้ง Home Charger ไว้สำหรับใช้งานที่บ้าน ที่อาจจะมีความกังวลว่าประกันจะคุ้มครองหรือไม่หากเกิดปัญหาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่อยากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านดีดีสักเครื่อง มีมาตรฐาน MEA และ PEA ก็สามารถเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง PlugHaus Thailand ได้เช่นกัน โดยในปัจจุบันเรามี Home Charger ให้เลือกหลากหลายรุ่น อาทิ Wallbox Pulsar Max, Wallbox Pulsar Plus, Wallbox Pulsar Pro, En+ Caro Series และ Teison Smart mini ซึ่งแต่ละรุ่นก็ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ที่สำคัญคือ มีฟังก์ชันและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้คือ เมื่อติดตั้ง EV Charger หรือ Home Charger ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็ได้กับทาง PlugHaus คุณจะได้รับประกันวินาศภัยให้อีก 30 ล้านบาท

รีวิว 3 เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ ถูกใจสาย Go Green

การเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ไว้ใช้งานภายในบ้านหรือที่พักอาศัยนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะนอกจากจะช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ในการไปชาร์จไฟตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกด้วย และทาง PlugHaus Thailand ก็ไม่พลาด ที่จะมาแนะนำ Home Charger หรือเครื่องชาร์จรถ EV ดีดี ที่ใช้งานแล้วปลอดภัย คุ้มค่า ที่สำคัญ ราคาจับต้องได้ มีมาตรฐานที่ผ่านการรับรองแบบครบครันทุกรุ่นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

1. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

หากใครที่กำลังมองหา เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ที่น่าใช้งานและมีดีไซน์สุดมินิมอล ก็ต้องยกให้กับ Wallbox Pulsar Max ที่รองรับการใช้งานทั้งรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ Plug-in Hybrid มาพร้อมกับการควบคุมการใช้งานผ่านทางแอปฯ พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมาย เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ง่าย และตอบโจทย์กับบ้านยุคใหม่ เรียกว่า เป็นหนึ่งใน Home Charger ที่ขื้น Best Seller ที่ขายดีและได้รับความนิยมกว่า 100 ประเทศทั่วโลกกันเลยทีเดียว

รีวิว Wallbox Pulsar Max

  • เป็น EV Charger ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม และมีขนาดกะทัดรัด
  • มีมาตรฐาน ปลอดภัย ผลิตจากประเทศสเปน
  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 198 x 201 x 99 มิลลิเมตร
  • สามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 7.4 – 22 kW (รองรับทั้งไฟ 1 เฟส และ 3 เฟส)
  • รองรับการใช้งานและควบคุมการชาร์จไฟผ่านแอปฯ my Wallbox
  • ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2
  • สายชาร์จมีความยาว 5 ถึง 7 เมตร
  • มาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP55 / IK10
  • มี 2 สีให้เลือก คือ ขาว และดำ
  • มีเทคโนโลยี Power Boost และ Dynamic Power Sharing
  • มี Eco Smart สามารถใช้กับโซลาร์เซลล์ได้
  • หน้าจอระบบสัมผัส สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth, Wi-Fi (2.4GHz และ 5GHz)

ราคาจำหน่าย พร้อมติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • รุ่นขนาด 7.4 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 54,900 บาท
  • รุ่นขนาด 22 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 68,900 บาท
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus

2. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus เป็นรุ่นที่มีจุดเด่นคือ สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งรถไฟฟ้าประเภท PHEV และ รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ใช้แบตเตอรี่แบบ 100% หรือก็คือ BEV โดยตัวเครื่องมีเทคโนโลยีที่ค่อนข้างหลากหลาย เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ก็มีการใส่เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ Home Charger ในรุ่น Pulsar Plus มีประสิทธิภาพการชาร์จถึง 22 kW รองรับทั้งหัวชาร์จ Type 1 และ Type 2

รีวิว Wallbox Pulsar Plus

  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 116 x 163 x 82 มิลลิเมตร
  • มี 2 สีให้เลือก คือ ขาว และดำ
  • มี 2 ขนาดให้เลือก คือ 7.4 kW และ 22 kW
  • กระแสไฟตั้งแต่ 6 A ถึง Rate Current
  • มีมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP54 / IK10
  • มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสไฟตกค้างหรือไฟรั่ว
  • รองรับการใช้งานผ่านทางแอปฯ myWallbox
  • เชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth
  • ตั้งเวลาในการชาร์จได้ง่าย ๆ ที่เครื่องชาร์จ
  • มีระบบการคำนวณค่าไฟภายในตัว
  • สามารถดูสถิติการชาร์จไฟได้
  • มีสถานะไฟ LED เพื่อแสดงสถานะเครื่องชาร์จ
  • ใช้รูปแบบการชาร์จไฟแบบ Mode 3 (การชาร์จไฟกระแสสลับ)

ราคาจำหน่าย พร้อมติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • รุ่นขนาด 7.4 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 49,000 บาท
  • รุ่นขนาด 22 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 63,900 บาท
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series

3. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series

อีกหนึ่งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้งานมาก ๆ ก็คือ EN+ Caro Series ที่มาพร้อมกับดีไซน์สุดหรูหรา การันตีด้วยรางวัล Red Dot Design Award 2023 พร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่พร้อมให้ความสะดวกสบายต่อผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดีที่สุด ที่สำคัญคือ มีราคาเริ่มต้นการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านในราคาประหยัด ที่สำคัญคือ มีระบบการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

รีวิว EN+ Caro Series

  • มีระบบควบคุมพลังงาน Dynamic Load Management ชาร์จไฟได้อย่างปลอดภัย ไม่เกินพิกัด
  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 344 x 192 x 100 มิลลิเมตร
  • ใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Type 2
  • มีการเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, 4G และ Ethernet
  • มีมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP55 / IK8
  • มีกำลังไฟ 7 – 11 kW
  • รองรับการใช้ไฟสำหรับ 1 เฟส
  • ความยาวสาย 7 เมตร
  • มี 2 สีให้เลือก คือ สีขาว และสีดำ
  • รองรับการใช้งานร่วมกับโซลาร์เซลล์ ด้วย PV Charging
  • PV Charging

ราคาจำหน่าย พร้อมราคาติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • ราคาเครื่อง 7kW พร้อมบริการติดตั้ง เพียง 29,900 บาท
ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เลือก PlugHaus

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น PHEV หรือ BEV ที่กำลังมองหา “เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” ที่มีมาตรฐาน พร้อมบริการติดตั้งให้ถึงหน้าบ้านจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพียงเลือกติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน หรือ Home Charger กับทาง PlugHaus วันนี้ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ติดตั้งภายในบ้าน หรือการให้คำแนะนำในด้านระบบไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อการติดตั้งเครื่องชาร์จรถ EV

นอกจากนี้ เรายังมีบริการและจัดจำหน่ายที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Wallbox Pulsar Max, Wallbox Pulsar Plus และ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Series ที่เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีราคาย่อมเยา แต่มีคุณภาพและมีเทคโนโลยีที่อัดแน่น ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ด้วยดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใคร เพราะฉะนั้น ลงทะเบียนและรับข้อมูลของ Home Charger วันนี้ได้เลยที่ PlugHaus Thailand

แชร์ทริก(ไม่)ลับ เคล็ดลับการบำรุงรักษา EV Charger ให้ใช้งานได้ยาวนาน ไม่พังง่าย

การใช้งาน EV Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตาม สิ่งที่คนใช้รถต้องไม่มองข้ามก็คือ การดูแลและบำรุงรักษาเครื่องชาร์จรถ EV ให้ใช้งานได้ยาวนาน เพราะนอกจากจะช่วยให้มีอายุการใช้งานได้นานแล้ว ยังช่วยเรื่องความปลอดภัยได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะหากเราตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องชาร์จอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เห็นว่า เครื่องชาร์จรถไฟฟ้ามีความพร้อมในการใช้งานหรือไม่ มีส่วนที่ชำรุดเสียหาย หรือว่าเครื่องไม่พร้อมใช้งานเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ไหม เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาดูกันว่า การดูแลรักษาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน หรือ Home Charger นั้น มีอะไรบ้าง

วิธีการดูแลรักษาเครื่องชาร์จรถ EV Charger

How-To การดูแลรักษาเครื่องชาร์จรถ EV แบบง่าย ๆ

การดูแลและบำรุงรักษาเครื่องชาร์จรถ EV Charger นั้น นอกจากการดูแลความเรียบร้อยของตัวเครื่องและสายไฟแล้ว ยังมีจุดสังเกตอีกหลายจุดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เพราะฉะนั้น มาดูกันว่าการวิธีการดูแลรักษาเครื่องชาร์จ EV ให้ใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัยนั้น มีอะไรบ้างที่คนใช้รถอีวีสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

1. ความเรียบร้อยของเครื่องชาร์จรถ EV

การดูแลรักษาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ง่ายที่สุดในทุก ๆ วัน ก็คือการตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องชาร์จ สายไฟ หัวชาร์จรถ EV และขั้วต่อ เพื่อดูว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมใช้งานแค่ไหน มีความเสียหายทางกายภาพเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งการตรวจเช็กเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นประจำ จะทำให้เราเห็นความสึกหรอได้ไว หากมีปัญหาหรือว่าความผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวอุปกรณ์ ก็จะสามารถแก้ไขได้ไวกว่าและปัญหาไม่ลุกลาม

2. การทำความสะอาด Home Charger

การรักษาความสะอาดของเครื่องชาร์จก็ถือว่าสำคัญและไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะนอกจากจะทำให้เครื่องชาร์จไม่เก่าไวแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วย เช่น การเช็ดฝุ่นหรือว่าทำความสะอาดบริเวณพื้นผิวที่ชาร์จเป็นประจำ ก็จะช่วยทำให้การกระจายความร้อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำความสะอวดเครื่องชาร์จนั้น ตามคู่มือของ EV Charger จะมีการระบุขั้นตอนเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำความสะอาดเองได้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วสามารถทำความสะอาดเองได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ปิดเครื่องชาร์จก่อนเสมอ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากกระแสไฟฟ้า
  • ถอดปลั๊กเครื่องชาร์จออกจากแหล่งจ่ายไฟ เพื่อไม่ให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในขณะทำความสะอาด
  • กำจัดเศษฝุ่นและคราบต่าง ๆ เช่น คราบน้ำ ด้วยการใช้แปรงขนนุ่มหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ เพื่อลดการขีดข่วนบนพื้นผิว
  • ใช้นำยาทำความสะอาดเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะต้องเป็นน้ำยาที่อ่อนโยนและไม่ทำร้ายพื้นผิว
  • การเช็ดทำความสะอาดนอกจากบริเวณเครื่องชาร์จแล้ว อย่าลืมเช็ดสายไฟและขั้วต่อทุกครั้ง
  • การล้างเครื่องชาร์จด้วยน้ำ ควรล้างด้วยการใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ ห้ามฉีดน้ำจากสายยางหรือเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงอย่างเด็ดขาด
  • เช็ดเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แห้ง และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแห้งสนิทแล้วก่อนเสียบปลั๊กกลับเข้าไปใหม่เพื่อใช้งาน

3. การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบของเครื่องชาร์จ

การใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ รุ่น ก็จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็อาจจะต้องหมั่นอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นระยะ ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องเช็กจากรุ่นเครื่องชาร์จที่ใช้ รวมถึงตัวระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยจะต้องสังเกตทั้งตัวระบบ และไฟแสดงสถานะเครื่องชาร์จไปพร้อม ๆ กัน หากพบปัญหาอาจจะลองรีเซ็ตดูก่อนสักครั้งหนึ่ง หากพบว่าปัญหาเครื่องชาร์จนั้นยังไม่หายไป แนะนำว่าให้ติดต่อผู้ใช้บริการที่ได้เข้ามาติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เพื่อหาทางออกและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

4. การตรวจสอบความปลอดภัยด้านไฟฟ้า

การหมั่นสังเกตความปลอดภัยและการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า รวมถึงสายไฟที่ใช้เป็นระยะ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับคนใช้รถยนต์ EV เช่นกัน เพราะทุกครั้งที่จะใช้งานเครื่องชาร์จ จะต้องมั่นใจว่าอยู่ในสภาพดีและพร้อมในการใช้งาน เป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งการตรวจเช็กในส่วนนี้ก็ต้องสัมพันธ์กับการติดตั้งเครื่องชาร์จด้วยเช่นกัน เพราะการติดตั้งเครื่องชาร์จก็ต้องมีสายดินด้วย เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเอง

5. การบำรุงรักษาเครื่องชาร์จอย่างสม่ำเสมอ

บางครั้งการดูแลรักษาให้ EV Charger ใช้งานได้อย่างยาวนานและมีประสิทธิภาพ ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้มาตรวจเช็กให้เช่นกัน อาทิ อุปกรณ์ภายใน และหากพบความผิดปกติหรือเห็นว่าเครื่องชาร์จมีปัญหา แนะนำให้ติดต่อกับทีมงานที่มาติดตั้งให้ เพื่อตรวจสอบดูว่าปัญหาที่พบนั้นเกิดจากอะไร มีอุปกรณ์ชำรุดหรือเสียหายภายในหรือไม่
ดังนั้น เมื่อทำการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านไปแล้ว ก็อย่าลืมหมั่นตรวจเช็กความเรียบร้อยทุกครั้ง เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นและยังอยู่ในระยะเวลาการรับประกันหลังการติดตั้ง ก็จะได้ให้ทีมงานเข้ามาตรวจเช็กและแก้ไขให้ได้ อย่างไรก็ตาม การบำรุงรักษาผู้ผลิตหรือว่าผู้ให้บริการโดยส่วนมาก จะมีการตรวจสอบอุปกรณ์เป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อย่าลืมใช้บริการและให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบอุปกรณ์ตามกำหนด (อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง)

วิธีการบำรุงรักษาและตรวจสอบอุปกรณ์ภายในของ EV Charger

มั่นใจได้มากกว่า ด้วยการรับประกันงานติดตั้ง 2 ปี ที่ PlugHaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือว่ารถยนต์ EV ที่กำลังมองหาผู้ให้บริการด้านการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน และการรับประกันหลังงานติดตั้งที่ครบวงจร เพียงเลือกใช้บริการกับทาง PlugHaus Thailand วันนี้ ทางเรามีบริการการรับประกันให้นานถึง 2 ปี และยังมีประกันงานวินาศภัยอีก 30 ล้านบาท ไม่รวมสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบางรุ่น ที่สำคัญ มีงบเริ่มต้นเพียงแค่ 13,900 บาท ก็สามารถติดตั้ง Home Charger ที่บ้านได้แล้ว!

EV Charger คืออะไร มีกี่แบบ แล้วมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านดียังไง?

จากการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในเมืองไทย ก็ต้องยอมรับเลยว่าเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้านั้นมาแรงอย่างต่อเนื่อง การขยายพื้นที่ให้บริการ EV Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ก็ย่อมเพิ่มจำนวนที่มากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้งานในทุก ๆ พื้นที่เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาทำความรู้จักกับ EV Charger Station กันให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีกี่แบบ แล้วแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ทำความรู้จักกับ EV Charger คืออะไร แล้วมีกี่แบบ

EV Charger คืออะไร?

EV Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า คือ อุปกรณ์หรือระบบที่ใช้สำหรับชาร์จไฟเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ทุกชนิด เพื่อให้มีพลังงานพร้อมใช้ภายในระบบ โดยตัวระบบของ EV Charger Station หรือก็คือระบบการชาร์จไฟของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การชาร์จแบบปกติ หรือที่เรียกกันว่า AC Charger และ การชาร์จแบบเร็ว หรือก็คือ DC Charger โดยการชาร์จแต่ละแบบก็จะมีความต่างกัน ทั้งเรื่องของกระแสไฟฟ้าและความเร็วของการชาร์จในแต่ละครั้ง

EV Charger มีกี่แบบ?

อย่างที่เราอธิบายไปในข้างต้นว่า ระบบการชาร์จไฟของ EV Charger นั้น จะมีทั้งหมด 2 ประเภท คือ AC Charger และ DC Charger เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาดูความแตกต่างของการชาร์จทั้งสองชนิดนี้กัน ว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์ EV สามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถที่ใช้

1. การชาร์จแบบปกติ หรือ AC Charger

การชาร์จไฟแบบปกติ Normal Charge หรือที่เรียกกันว่าการชาร์จแบบ AC Charger นั้น คือการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสสลับจากตัว Wallbox ผ่านตัว On Board Charger ที่มีภายในตัวรถ หลังจากนั้นจะทำการแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรงเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ สำหรับการชาร์จแบบปกติหรือ AC Charger นี้ จะมีหัวชาร์จทั้งแบบ Type 1 และ Type 2 ซึ่งในประเทศไทยจะเป็นหัวชาร์จแบบ Type 2 มากกว่า โดยหัวชาร์จชนิดนี้สามารถจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 22 kW สำหรับไฟฟ้า 3 Phase และเป็นหัวต่อแบบ 7 Pin เรียกว่าเป็นหัวชาร์จที่เป็นมาตรฐานหัวชาร์จในไทยก็ว่าได้

2. การชาร์จแบบเร็ว หรือ DC Charger

การชาร์จไฟแบบเร็ว Quick Charge หรือ DC Charger นี้ เป็นการชาร์จไฟที่นิยมใช้กับตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Charger Station ตามสถานีให้บริการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า โดยการชาร์จในรูปแบบนี้ ถูกพัฒนามาจากการชาร์จแบบ AC แต่จะใช้วิธีการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรงเข้าสู่แบตเตอรี่ โดยไม่ผ่าน On Board Charger จึงทำให้กระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ได้ไวกว่า เรียกว่า สามารถชาร์จไฟจาก 10% ไปถึง 80% ได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับความจุแบตของรถ)

โดยการชาร์จในรูปแบบนี้ จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา เช่น ชาร์จไฟเมื่อต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด แต่จะไม่เหมาะสำหรับการชาร์จเป็นประจำทุกวัน เพราะว่าการชาร์จแบบนี้จะส่งผลต่อตัวแบต ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้ไว โดยปัจจุบันหัวชาร์จที่ใช้กับเครื่องชาร์จแบบ DC Charger นั้น มีทั้งแบบ CHAdeMO และ CCS (มี Type 1 และ Type 2) โดยในไทยจะนิยมใช้เป็น CCS Type 2 (CCS Combo 2)

“การชาร์จไฟด้วยเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า DC Charger ถึงแม้ว่าจะสะดวกและรวดเร็วกว่า แต่อัตราค่าบริการก็ถือว่าสูงกว่าการชาร์จแบบ AC Charger พอสมควร ซึ่งการชาร์จแบบเร็วจะนิยมใช้กับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามจุดให้บริการต่าง ๆ ส่วนการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน จะติดตั้งแบบ AC Charger”

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน

ใช้รถ EV ควรมีเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านหรือไม่?

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น BEV หรือแม้แต่ PHEV ที่ต้องชาร์จไฟเพื่อเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่สำหรับใช้งานนั้น การมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger เอาไว้ที่บ้าน ก็ถือว่าตอบโจทย์และช่วยทำให้การใช้รถสะดวกมากขึ้น เพราะสามารถชาร์จไฟได้ที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปชาร์จไฟตามสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทุกครั้ง เพราะการชาร์จไฟที่บ้านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า เมื่อชาร์จไฟในเวลา Off-Peak โดยเฉพาะบ้านที่ใช้มิเตอร์ไฟฟ้า TOU

ข้อดีของการมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน

  • สามารถชาร์จไฟในเวลาไหนก็ได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องไปต่อคิวหรือจองเพื่อใช้บริการสถานีชาร์จ
  • เลือกเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าได้ตามที่ต้องการ ทั้งการติดตั้ง EV Charger ของค่ายรถยนต์ หรือการเลือกซื้อเครื่องชาร์จจากผู้จัดจำหน่ายโดยตรง
  • ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ใช้ระบบไฟฟ้าแบบ 1 Phase หรือ 3 Phase ก็สามารถติดตั้ง EV Charger ได้ โดยที่ไม่ให้กระทบกับการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
  • สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น เมื่อเลือกใช้มิเตอร์ไฟฟ้าแบบ TOU โดยเฉพาะครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าในเวลา Off-Peak เป็นหลัก
  • ติดตามสถานะของการชาร์จไฟ และคำนวณการใช้ค่าไฟได้ในแต่ละเดือนผ่านทางแอปพลิเคชัน
การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ที่บ้าน

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เลือกแบบไหนดี?

การติดตั้ง EV Charger ที่บ้านนั้น เริ่มต้นต้องดูจาก “Phase” ของมิเตอร์ไฟฟ้าว่าเป็นแบบไหน ซึ่งส่วนมากแล้วบ้านทั่วไปจะใช้ Single-Phase 15(45)A ซึ่งถือว่ายังไม่พอในการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า เพราะโดยทั่วไปแล้วเครื่องชาร์จจะใช้กำลังไฟที่สูงถึง 32A ดังนั้น หากติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแล้วใช้ไฟไปพร้อม ๆ กัน ก็อาจจะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการได้ ทำให้เกิดปัญหาฟ้าเกินและทำให้ไฟดับได้

ดังนั้น การติดตั้ง EV Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน จะต้องทำให้ระบบไฟฟ้าสามารถรองรับการโหลดรวมของบ้านได้ เช่น เปลี่ยนมิเตอร์เป็นขนาด Single-Phase 30(100)A หรือ 3-Phase 15(45)A ซึ่งเป็นขนาดมิเตอร์ที่ทางการไฟฟ้าฯ แนะนำ ดังนั้น หากบ้านของคุณยังเป็นมิเตอร์แบบ Single-Phase 5(15)A หรือ Single-Phase 15(45)A จะต้องแจ้งเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าก่อนที่จะติดตั้ง EV Charger

เอกสารที่ใช้เพื่อขอเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้ากับ PEA และ MEA

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ต้องการขอเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า
  • เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์การครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้า หากไม่ใช่เจ้าของบ้านต้องมีหนังสือยินยอม
  • ใบเสร็จหรือบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง (ประมาณ 3 – 4 เดือน)
  • ข้อมูลของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ประเมินว่ามิเตอร์ที่ต้องการเปลี่ยนเพียงพอหรือไม่
  • ใบมอบอำนาจหรือสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบ หากดำเนินการแทนเจ้าของบ้าน
  • แผนผังโดยสังเขปแสดงที่ตั้งของสถานที่ของใช้ไฟฟ้า

ระยะเวลาการดำเนินงานของการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า

  • มิเตอร์ขนาด 5(15)A – 15(45)A ใช้เวลาภายใน 4 วันทำการ
  • มิเตอร์ขนาด 30(100)A – 50(150)A ใช้เวลาภายใน 8 วันทำการ
  • มิเตอร์ขนาด 200A – 400A ใช้เวลาภายใน 18 วันทำการ

หมายเหตุ : ระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่รวมเวลาในการเดินทาง และเวลาในการรอคอยนัดหมาย

ติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน เลือก PlugHaus Thailand

ติดตั้ง EV Charger ที่บ้านแบบง่าย ๆ กับ PlugHaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือผู้ใช้รถ EV ที่กำลังมองหา Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ที่มีมาตรฐานจาก MEA และ PEA พร้อมทีมงานที่มากประสบการณ์ คอยดูแลการติดตั้งในทุกขั้นตอน เพียงเลือกใช้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง PlugHaus Thailand วันนี้ รับสิทธิพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นมากมาย ไม่ว่าจะเลือกติดตั้ง EV Charger ที่บ้านแบรนด์ใดก็ตาม ทางเราก็จะมีประกันคุณภาพพร้อมการบริการหลังการขายแบบครบวงจร ที่สำคัญคือ รับประกันงานหลังติดตั้งนาน 2 ปี และประกันงานวินาศภัยสูงสุด 30 ล้านบาท

รีวิว Wallbox Pulsar Plus เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งใน เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ได้รับความนิยมอีกหนึ่งรุ่นในตอนนี้ ส่งตรงจากสเปน ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย มีขนาดเครื่องที่กะทัดรัด สามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ที่จำกัด ที่สำคัญคือ มีหลายขนาดให้เลือก ทำให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สามารถเลือกขนาดที่เหมาะสมกับรถที่ใช้ได้ เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาดูกันว่า จุดเด่นของ Wallbox Pulsar Plus EV Charger รุ่นนี้มีอะไรบ้าง แล้วฟังก์ชันเด่น ๆ ที่มีมาให้นั้นคุ้มค่ามากแค่ไหน หากจะนำมาติดตั้งเพื่อใช้งานที่บ้าน

รีวิว Wallbox Pulsar Plus เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน

ทำความรู้จัก เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus

สำหรับเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus นั้น เป็นเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภท PHEV และ EV โดยตัวเครื่องออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด ทันสมัย และมีเทคโนโลยีที่หลากหลาย ที่ถือว่าทันสมัยและเหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ก็มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยตัวเครื่องออกแบบมาให้สามารถมีประสิทธิภาพการชาร์จได้ถึง 22 kW เหมาะสำหรับการติดตั้งไว้ที่บ้านหรือที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจเข้ามา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ Wallbox Pulsar Plus EV Charger ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของเครื่องชาร์จ Wallbox Pulsar Plus

  • มีขนาดที่เล็กและกะทัดรัด ด้วยดีไซน์ทันสมัย เข้าได้กับบ้านทุกสไตล์
  • ใช้กับรถยนต์ EV และ PHEV ได้ทุกแบรนด์ ที่รองรับหัวชาร์จ Type 1 และ Type 2
  • มีขนาดสายชาร์จอยู่ที่ 5 x 10 ตารางมิลลิเมตร
  • กระแสไฟตั้งแต่ 6 A ถึง Rate Current
  • มาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP54 / IK10
  • มีเซ็นเซอร์ตรวจจับบกระแสไฟตกค้างหรือไฟรั่ว ประเภท DC 6mA
  • รองรับการเชื่อมต่อและควบคุมการชาร์จผ่านทางแอปพลิเคชัน myWallbox
  • กดชาร์จและหยุดชาร์จได้ผ่านทาง Wallbox Pulsar Plus App
  • สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth
  • สามารถตั้งเวลาการชาร์จ วันที่ในการชาร์จได้ภายในเครื่อง
  • มีระบบช่วยคำนวณค่าไฟ พร้อมการแจ้งเตือนแบบ Real Time
  • สามารถดูสถิติการชาร์จไฟได้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบอัตราการใช้ไฟ
  • มีไฟ LED แสดงสถานะเครื่องชาร์จ
  • ประเภทของเครื่องชาร์เป็นแบบ Mode 3 (การชาร์จไฟกระแสสลับ)
Review Wallbox Pulsar Plus ขนาด 7.4 kW และ 22 kW

Review Wallbox Pulsar Plus ขนาด 7.4 kW

สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus รุ่น 7.4 kW นั้น เป็นรุ่นเริ่มต้นที่ถือว่ามีความครอบคลุมในการใช้งานพอสมควร โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น (ไม่รวมสายชาร์จ) โดยตัวสายชาร์จนั้นมีความยาวอยู่ที่ 5 เมตร หัวชาร์จใช้ได้ทั้งประเภท Type 1 และ Type 2

คุณสมบัติเพิ่มเติม

  • มี 2 สีให้เลือก คือ ขาว และดำ
  • Power Charging
  • ขนาด 116 x 163 x 82 มิลลิเมตร
  • รองรับการชาร์จไฟสูงสุด 7.4 kW (1 Phase)
  • แรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 220 – 240 V
  • ปรับกระแสการชาร์จและตั้งเวลาได้
  • รองรับการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เมื่อติดตั้ง Solar Charging Enabled

ราคาจำหน่าย รุ่นสายยาว 5 เมตร

  • ราคาเครื่องชาร์จ 37,000 บาท
  • ราคาเครื่องชาร์จ พร้อมค่าติดตั้ง 49,000 บาท

ราคาจำหน่าย รุ่นสายยาว 7 เมตร

  • ราคาเครื่องชาร์จ 42,900 บาท
  • ราคาเครื่องชาร์จ พร้อมค่าติดตั้ง 54,900 บาท
Review Wallbox Pulsar Plus ขนาด 7.4 kW และ 22 kW

Review Wallbox Pulsar Plus ขนาด 22 kW

สำหรับเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus ขนาด 22 kW ก็มีขนาดสเปกหรือเทคโนโลยีที่เทียบเท่ากับรุ่นขนาด 7.4 kW แต่เพียงแค่มีกำลังไฟที่มากกว่าเท่านั้น โดยตัวเครื่องก็ยังคงเป็นประเภท Mode 3 อยู่เช่นเดิม แต่มีความพิเศษเข้ามาคือ ในรุ่นขนาด 22 kW นี้ สามารถใช้กับไฟฟ้า 3 Phase ได้ ซึ่งเหมาะกับบ้านที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง

คุณสมบัติเพิ่มเติม

  • Power Charging
  • ขนาด 166 x 163 x 82 มิลลิเมตร
  • รองรับการชาร์จไฟสูงสุด 22 kW หรือระบบไฟ 3 Phase
  • แรงดันไฟฟ้าพิกัด 400 V (11 kW – 22 kW)
  • กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จคือ 32 A (22 kW – 3 Phase)

ราคาจำหน่าย รุ่นสายยาว 5 เมตร

  • ราคาเครื่องชาร์จ 48,900 บาท
  • ราคาเครื่องชาร์จ พร้อมค่าติดตั้ง 63,900 บาท

ราคาจำหน่าย รุ่นสายยาว 7 เมตร

  • ราคาเครื่องชาร์จ 53,900 บาท
  • ราคาเครื่องชาร์จ พร้อมค่าติดตั้ง 68,900 บาท
วิธีการใช้งาน เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus

Tips การใช้งานของเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus

การใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ยี่ห้อ Wallbox รุ่น Pulsar Plus หลักการในการใช้งานแบบเบื้องต้น จะต้องดูจากสีแสดงสถานะจากไฟ LED ที่อยู่บนตัวเครื่องโดยตรง และก่อนชาร์จจะต้องดูว่าเครื่องชาร์จพร้อมใช้งานหรือไม่

  • ไฟสีเขียว หมายถึง ตัวเครื่องพร้อมใช้งาน
  • ไฟสีฟ้า หมายถึง เครื่องชาร์จกำลังเชื่อมต่อกับรถยนต์
  • ไฟสีน้ำเงิน หมายถึง เครื่องกำลังทำการชาร์จไฟ
  • ไฟสีเหลือง หมายถึง สถานะล็อกหรือปลดล็อก
  • ไฟสีแดง หมายถึง ระบบขัดข้องหรือสายดินมีปัญหา

สำหรับสถานะล็อกหรือปลดล็อกของตัวเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Charger จะช่วยป้องกันไม่ให้มีใครมาใช้งานเครื่องชาร์จของเราได้ โดยเฉพาะการติดตั้งในพื้นที่ที่ไม่ห่างจากรั้วบ้านมากนัก หรืออยู่ในหมู่บ้านที่เป็นโครงการ เช่น ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม และที่สำคัญคือ สามารถปรับกระแสไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ผ่านตัวแอปโดยตรง ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน เลือก Plughaus Thailand

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ EV และ PHEV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Wallbox Pulsar Plus ไม่ว่าจะเป็นรุ่นขนาด 7.4 kW สำหรับบ้านที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟส หรือรุ่นขนาด 22 kW สำหรับบ้านที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟส ก็สามารถเลือกรุ่นที่ต้องการพร้อมติดต่อมาได้ที่ PlugHaus Thailand โดยเรามีทั้งบริการจำหน่ายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (เฉพาะตัวเครื่อง) และบริการติดตั้งเครื่องชาร์จให้ถึงบ้าน ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์ มีมาตรฐานการติดตั้งที่ผ่านการรับรองจาก PEA และ MEA และที่สำคัญ รับประกันงานติดตั้ง 2 ปี และประกันงานวินาศภัยอีก 30 ล้านบาท

7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 เปิดตัวใหม่ มาแรง ราคาสุดว้าว ส่องสเปกเลยก่อนซื้อ!

ในบรรดา รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ในไทย ที่เปิดจำหน่ายและทำการตลาดปีนี้ ต้องยอมรับเลยว่ามีหลายรุ่นที่มาแรงและน่าสนใจมาก ๆ เพราะหลายรุ่นก็ถือว่าน่าใช้ มีราคาที่จับต้องได้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อย่างกลุ่ม Neta V ที่ถูกใจคนยุคใหม่ หรือแม้แต่แบรนด์ดังอย่าง Tesla, GWM หรือแม้แต่ BYD ที่ก็ได้รับความนิยมในเมืองไทยไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้น เราจะมารีวิวให้ดูกัน รถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่มีจำหน่ายในปี 2024 นี้ มีรุ่นไหนบ้างที่น่าใช้ พร้อมอัปเดตสเปกรถ EV และราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ!

รีวิว 7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ในไทย พร้อมราคาจำหน่าย

สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ที่จำหน่ายในเมืองไทยในตอนนี้ ก็มีหลากหลายรุ่นที่น่าสนใจ ซึ่งในบางรุ่นก็เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายมาหมาด ๆ เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมาอัปเดตกัน ว่าแต่ละแบรนด์มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ มีราคาเท่าไหร่บ้าง บอกเลยว่าแต่ละรุ่นนั้นจัดเต็มทั้งออปชั่น สเปก และราคาจำหน่ายจากโปรโมชั่นล่าสุดที่ถูกใจคอรถ EV แน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า MINI Cooper SE 2024

1. MINI Cooper SE 2024

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวมาหมาด ๆ ในตลาดรถ EV ของเมืองไทย ก็ต้องยกให้กับ MINI Cooper SE 2024 เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จากค่ายมินิ ที่มาพร้อมกับการตกแต่งภายในใหม่ มีระบบเชื่อมต่อดิจิตอล พร้อมกับการควบคุมการใช้งานที่ครบครัน ภายใต้การออกแบบที่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น MINI เช่นเดิม แต่ที่โดดเด่นกว่าคือ สมรรถนะการขับขี่แบบ Electrified Go-Kart ที่เป็นนิยามใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ถูกยกระดับให้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 3,858 x 1,756 x 1,460 มม.
  • ออกแบบสัญลักษณ์ไฟหน้า LED แบบใหม่ ที่แตกต่างกันถึง 3 แบบ
  • ไฟท้าย Union Jack หลอด LED เมื่อสัมผัสได้ถึงกุญแจรถ
  • เดินเข้าใกล้รถจะทำการปลดล็อกรถให้ทันที พร้อมไฟต้อนรับเจ้าของรถ
  • ไฟหน้าทรงกลมและไฟท้าย ที่มีลูกเล่นปรับได้ถึง 3 โหมด คือ Classic, Favoured และ JCW
  • ออกแบบจอกลางใหม่ OLED ความละเอียดสูงทรงกลม พร้อมเป็นศูนย์กลางระบบ Infotainment
  • แผงควบคุมดีไซน์ Toggle Bar ที่รวมทุกฟังก์ชันเอาไว้จุดเดียว
  • ชุดแต่ง Favoured Trim พร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ต Vascin สี Nightshade Blue
  • มีโหมดการใช้งาน MINI Experience ถึง 7 รูปแบบ

แบตเตอรี่

  • มอเตอร์พลังงานไฟฟ้า 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า
  • แบตเตอรี่ความจุ 54.2 kWh
  • ชาร์จ DC ได้สูงสุด 95 kW และ AC สูงสุด 11 kW
  • ขับขี่ได้สูงสุด 402 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย

  • MINI Cooper SE 2024 ราคา 1,699,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า NETA X 2024

2. NETA X 2024

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงปี 2024 ที่เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยไปหมาด ๆ ก็คือ Neta X ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า C-SUV ที่คุ้มค่ามาก ๆ มีขนาดเล็กกว่า Honda CR-V แต่ใหญ่กว่า BYD Atto 3 หรือ Aion Y Plus ซึ่งตัวรถจะโดดเด่นในเรื่องของระบบความปลอดภัย ที่มีกล้องรอบคัน พร้อมกับเซนเซอร์เตือนการชนแบบรอบคันเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ การเปลี่ยนคันเกียร์มาใช้คันเกียร์คอเหมือนกับ Neta V และ Neta S

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,619 x 1,860 x 1,628 มม.
  • ระบบขับเคลื่อน FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า
  • มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ Comfort และ Smart
  • ภายในห้องโดยสารมีหน้าจอกลางขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ควบคุมการทำงานของตัวรถ
  • หน้าขอเรือนไมล์มีขนาด 8.9 นิ้ว
  • ใช้หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU พร้อมชิพ Qualcomm Snapdragon 8155

แบตเตอรี่

  • 1 มอเตอร์ 120 kW พละกำลังสูงสุด 161 แรงม้า
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 62 kWh
  • แรงดันไฟฟ้า 400 V ชาร์จ AC Type 2 6.6 kW
  • รองรับการชาร์จ DC CCS 2 รุ่น Comfort 65 kW และรุ่น Smart 100 kW
  • รุ่น Comfort ขับขี่ได้สูงสุด 401 กม. และรุ่น Smart 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • NETA X รุ่น Comfort ราคา 739,000 บาท
  • NETA X รุ่น Smart ราคา 799,000 บาท
BYD Dolphin 2024

3. BYD Dolphin 2024

ถ้าหากกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ติดอันดับมาแรง และมีการปรับราคาจนทำให้หลาย ๆ คนฮือฮากัน ก็ต้องยกให้กับ BYD Dolphin 2024 ที่นอกจากจะมีดีไซน์ที่ทันสมัย เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองแล้ว เรื่องแบตเตอรี่และระยะทางในการใช้งานก็ถือว่าครอบคลุม โดยเฉพาะสวิตช์หน้าจอแบบ Muti-function บนพวงมาลัย นอกจากนี้ ยังมีระบบ Auto Brake Hold ที่ช่วยให้การขับขี่ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีครบ เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (ADAS), ระบบควบคุมเสถียรภาพของตัวรถ (ESC) หรือแม้แต่ระบบการเตือนวัตถุผ่านขณะเปิดประตู (DOW)

แบตเตอรี่

รุ่น Standard Range

  • มอเตอร์แม่เล็กถาวร 1 ตัว กำลัง 70 kW
  • กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP
  • ความจุพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 44.9 kWh แรงดัน 400 V
  • ชาร์จ AC 7 kW และ DC 60 kW
  • วิ่งได้สูงสุด 410 กม. (มาตรฐาน NEDC)

รุ่น Extended Range

  • มอเตอร์แม่เล็กถาวร 1 ตัว กำลัง 150 kW
  • กำลังสูงสุด 201 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP
  • ความจุพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 60.48 kWh แรงดัน 400V
  • ชาร์จ AC 7 kW และชาร์จ DC 80 kW
  • วิ่งได้สูงสุด 490 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • BYD Dolphin รุ่น Standard Range ลดราคา 559,900 บาท (จาก 699,999 บาท)
  • BYD Dolphin รุ่น Extended Range ลดราคา 699,900 บาท (จาก 859,999 บาท)
ORA good Cat 2024

4. ORA Good Cat 2024

สำหรับเจ้าเหมียวที่แสนดีอย่าง ORA Good Cat ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าปี 2024 ที่มาแรงและน่าใช้งานมาก ๆ ในไทยอยู่เช่นเดิม ซึ่งในปีนี้ทาง GWM ก็ได้เดินสายการผลิต New GWM ORA Good Cat แบรนด์แรกในไทยตามนโยบาย ZEV 3.0 ของรัฐ พร้อมราคาเริ่มต้นที่น่าสนใจ เพียงแค่ 799,000 บาท เท่านั้น โดยจุดเด่นของรุ่นนี้นอกจากจะมี 3 รุ่นย่อยให้เลือกแล้ว สีภายนอกก็มีให้เลือกหลายเฉด พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่จัดเต็ม เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายสไตล์

จุดเด่น

  • มี 3 รุ่นย่อย คือ Pro, Ultra และ GT
  • รุ่น Pro และ Ultra มีสีภายนอกให้เลือก 5 เฉดสี ส่วนสีภายในมีให้เลือก 4 สี
  • รุ่น GT มีสีภายนอกให้เลือก 2 เฉดสี ส่วนสีภายในมีแค่ 1 สี
  • รุ่น Pro และ Ultra มีระบบการขับขี่ 5 แบบ คือ ปกติ, สปอร์ต, ประหยัด, ECO+ และ ออโต้
  • รุ่น GT มีให้เลือก 6 โหมด โดยเพิ่มโหมดการขับขี่ส่วนบุคคลเข้ามา (ปรับตามแบตที่คงเหลือ)
  • มีเทคโนโลยีการขับขี่และการอำนวยความสะดวกมากกว่า 31 รายการ
  • นำฟังก์ชัน V2L หรือระบบการจ่ายไฟจากตัวรถไปยังอุปกรณ์H3: แบตเตอรี่ ไฟฟ้าเข้ามาในรุ่น Ultra และ GT
  • ใช้มอเตอร์ Permanent Magnet Synchronous Motor
  • รุ่น Pro และ Ultra มีพละกำลังสูงสุดที่ 143 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • รุ่น GT มีพละกำลังสูงสุดที่ 171 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 460 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • ชาร์จ AC 9 ชั่วโมง ส่วน DC 0% – 80% ภายใน 54 นาที และ 30% – 80% ภายใน 38 นาที

ราคาจำหน่าย

  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Pro ราคา 799,000 บาท
  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Ultra ราคา 899,000 บาท
  • New ORA Good Cat 2024 รุ่น Pro ราคา 1.099,000 บาท
BYD ATTO 3 2024

BYD ATTO 3 2024

โดยเจ้า BYD ATTO 3 ก็นับว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ยังคงอยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่องในแวดวงของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยเป็นรถที่นำเข้าทั้งคันจากประเทศจีน ความโดดเด่นคือ ในปี 2024 นี้ มีการจัดโปรโมชั่นเมื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมแพ็กเกจ Rever Care เอาใจคนใช้รถ เช่น รับ Smart Home Charger ยี่ห้อ AUTEL พร้อมบริการติดตั้ง หรือการบำรุงรักษา ค่าแรง และค่าอะไหล่สูงสุด 8 ปี หรือที่ 160,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบใหม่ ๆ ที่ช่วยทำให้ตัวรถโดดเด่นมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้คือ Logo ด้านหลังเปลี่ยนจาก Build Your Dreams ให้กลายเป็น BYD

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,455 x 1,875 x 1,615 มม.
  • มี 3 รุ่นย่อย คือ Dynamic, Premium และ Extended
  • เปลี่ยนวัสดุตกแต่งหลังคา D-Pillar เป็นสีดำ
  • ทุกรุ่นมีหลังคากระจกพาโนรามิก เลื่อนเปิด – ปิด ด้วยไฟฟ้า
  • ตกแต่ง 2 คู่สี คือ น้ำเงิน – ดำ และน้ำเงิน – เทา
  • มีไฟ Ambient Light สำหรับสร้างบรรยากาศภายใน
  • หน้าจอการแสดงผลคนขับมีขนาด 5 นิ้ว
  • หน้าจอมัลติฟังก์ชันกลาง มีขนาด 15.6 นิ้ว (เพิ่มขึ้น)
  • เพิ่มแอปพลิเคชันคาราโอเกะ สามารถซื้อไมโครโฟนเพิ่มได้

แบตเตอรี่

  • รุ่น Dynamic และ Premium แบตเตอรี่ความจุ 50.2 kWh พละกำลัง 204 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 410 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • รุ่น Extended แบตเตอรี่ความจุ 60.4 kWh พละกำลัง 204 แรงม้า วิ่งได้สูงสุด 480 กม. (มาตรฐาน NEDC)
  • ทั้ง 3 รุ่น สามารถรองรับการชาร์จ AC ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ สูงสุด 7 kW
  • รุ่น Dynamic และ Premium ชาร์จ DC 70 kW ส่วนรุ่น Extended ชาร์จ DC สูงสุด 88 kW

ราคาจำหน่าย

  • BYD ATTO 3 รุ่น Dynamic ราคาใหม่ 799,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Premium ราคาใหม่ 859,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Extended MY24 ราคาใหม่ 959,000 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Standard MY23 ราคาใหม่ 799,900 บาท
  • BYD ATTO 3 รุ่น Extended MY23 ราคาใหม่ 859,900 บาท
Aion Y Plus 490 Elite - Premium 2024

6. Aion Y Plus 490 Elite – Premium 2024

รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับสายครอบครัวอีกหนึ่งคันก็ต้องยกให้กับ Aion Y Plus 490 Elite – Premium ที่มาพร้อมกับการใช้สอยภายในรถที่ครอบคลุมมาก ๆ โดย Aion คือแบรนด์ในเครือ GAC ยักษ์ใหญ่จากแดนมังกร ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยกันได้ไม่นาน แต่ก็สร้างความฮืออาได้ดี มีฟังก์ชันใหม่ ๆ ในรุ่น Premium ที่ถูกเพิ่มมาจากรุ่น 490 Elite ถึง 24 รายการ หนึ่งในนั้นคือระบบ Welcome Seat ปรับระดับอัตโนมัติเมื่อเปิดประตู รวมถึงระบบการขับขี่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,535 x 1,870 x 1,650 มม.
  • ตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 7 เฉดสี ส่วนสีภายในมีให้เลือก 5 เฉด
  • มี 2 รุ่น คือ Elite และ Premium
  • เบาะแถว 2 กว้าง เหยียดขาได้เต็มที่ เหมาะกับรถครอบครัว
  • เบาะหน้าสามารถถอดพนักพิงแล้วปรับพับให้เชื่อมกับเบาะหลังได้ (ได้ที่นอนขนาด 1.8 เมตร)
  • ระบบกล้องมองรอบคัน 540 องศา
  • มีระบบกรอง PM 2.5
  • ฝาครอบแบตเป็นเหล็ก แข็งแรง ทนทาน หมดปัญหาเรื่องหนูแทะแบตได้ดี

แบตเตอรี่

  • ใช้แบต Magazine Battery ที่มีความปลอดภัยสูง ขนาด 63.2 kWh
  • ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ความเร็วสูงสุดคือ 250 km/h
  • ระยะวิ่งได้ไกลสูงสุดคือ 490 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย

  • Aion Y Plus 490 Elite 2024 ราคา 899,900 บาท
  • Aion Y Plus 490 Premium 2024 ราคา 995,900 บาท
Toyota bZ4X 2024

Toyota bZ4X

ปิดท้ายกันด้วยรถยนต์ไฟฟ้าจากพี่ใหญ่ในตลาดรถเมืองไทยอย่าง Toyota bZ4X ที่น่าจับตามองมาก ๆ ในตอนนี้ โดยเฉพาะการอัปเกรดให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ใช้พลังงานไฟฟ้าในตระกูล bZ (Beyond Zero) โดดเด่นทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน และที่น่าสนใจมากกว่าคือ ในรุ่นนี้เป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 100% ร่วมกันกับทาง Subaru ซึ่งเป็นตัวเต็งด้านการออกแบบรถอเนกประสงค์ ทำให้ตัว Toyota bZ4X มีขนาดที่เทียบเท่ากับรถ C-SUV แต่ห้องโดยสารได้พื้นที่เทียบเท่ากับ D-Segment เช่น Tesla Model Y รวมถึง Haval H6

จุดเด่น

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,690 x 1,860 x 1,650 มม.
  • สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี และภายในอีก 2 สี
  • ใช้ตัวถังหรือแพลตฟอร์ม e-TNGA ที่พัฒนามาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • ติดตั้งแบตไว้ใต้ท้องรถ ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง
  • ใช้ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชั่น 3.0
  • ระบบเปิด – ปิด ฝาท้าย โดยไม่ต้องใช้มือ Kicks Sensor
  • ระบบบันทึกความจำ Memory Seat
  • ระบบบันทึกกระจกมองข้าง Memory Mirror
  • มีระบบ Auto Brake Hold พร้อมโหมดการขับขี่ X – Mode

แบตเตอรี่

  • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 71.4 kWh แรงดัน 355 V
  • รองรับการชาร์จ AC ที่ 6.6 kW และ DC 150 kW
  • ใช้ช่องชาร์จ CCS Type 2
  • วิ่งได้ไกลสูงสุด 411 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย

  • Toyota bZ4X ราคา 1,836,000 บาท (รวมส่วนลดจากภาครัฐ)

สำหรับ 7 รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ที่วางจำหน่ายและทำการตลาดในเมืองไทยนั้น แต่ละรุ่นก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งรุ่นที่เปิดตัวมาใหม่ และรุ่นที่ลดราคากันอย่างดุเดือด ซึ่งก็เป็นผลมาจากการแข่งขันในตลาดที่สูง บวกกับการเตรียมตัวเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของทางแบรนด์ และไม่ว่าคุณจะใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนก็ตาม ก็สามารถเลือกติดตั้ง “เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับทาง PlugHaus Thailand ได้เลย การันตีความคุ้มค่า พร้อมมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนติดตั้ง Home Charger สำหรับชาร์จรถ EV ที่บ้าน

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน หรือการติดตั้ง Home Charger ที่สามารถรองรับการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าทุก ๆ ประเภทนั้น สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ไม่แพ้การเลือกยี่ห้อหรือเครื่องชาร์จรถ EV ก็คือการเตรียมความพร้อมก่อนการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟ ทั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้าน รวมถึงการใช้มิเตอร์ที่เหมาะสม ซึ่งทาง PlugHaus Thailand จะมาสรุปให้คุณดูกัน ว่าก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน มีอะไรบ้างที่ควรเตรียมให้พร้อม

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เพื่อติดตั้ง Home Charger

ก่อนที่จะติดตั้ง Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ คือ ทำความเข้าใจกับระบบไฟฟ้าภายในบ้าน ว่าระบบไฟที่ใช้อยู่สามารถรองรับการใช้งานเครื่องชาร์จรถ EV หรือไม่ หากไม่รองรับต้องดำเนินการอย่างไรเพิ่มเติมบ้าง เพื่อให้ระบบไฟฟ้าไม่มีปัญหา และมีความปลอดภัยในการใช้งาน EV Charger

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เพื่อติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน

1. ตรวจสอบประเภทหัวปลั๊กของรถ EV

ขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก ๆ ของการติดตั้ง Home Charger คือ ต้องรู้ก่อนว่าหัวปลั๊กของรถยนต์ที่ใช้เป็นแบบไหน เพื่อให้รู้ว่าต้องเลือกเครื่องชาร์จแบบไหน กำลังไฟเท่าไหร่ ระบบไฟฟ้าในบ้านต้องเป็นยังไง ซึ่งหัวปลั๊กของรถ EV ในปัจจุบันนี้ จะมีหัวชาร์จที่ใช้ทั้งหมด 2 รูปแบบหลัก ๆ ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟที่บ้าน ด้วยระบบ AC Charger (ไฟฟ้ากระแสสลับ) ได้แก่

  • Type 1 ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่นและอเมริกา มีหัวต่อแบบ 5 Pin เป็นการชาร์จไฟ 1 เฟส รองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดอยู่ที่ 32A หรือ 7.2 kWh เช่น Nissan Leaf และ Tesla
  • Type 2 ส่วนมากเป็นรถยุโรป มีหัวต่อแบบ 7 Pin จ่ายไฟอยู่ที่ 3.7 kWh แต่บางแบรนด์สามารถจ่ายได้มากถึง 11 – 22 kWh เช่น BYD, GMW, Mercedes-Benz, BMW, Volvo, Porsche และ Tesla

โดยส่วนมากแล้วหัวชาร์จที่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยใช้ในปัจจุบัน จะเป็นแบบ Type 2 เพราะฉะนั้น การเลือกติดตั้ง EV Charger ก็สามารถเลือกรุ่นที่เป็นหัวชาร์จ Type 2 ได้เลย สำหรับรถ EV รุ่นใหม่ ๆ ที่จำหน่ายในเมืองไทย เช่น Tesla Model Y 2023 ที่ใช้หัวชาร์จ AC Type 2 แต่หากเป็นการชาร์จแบบ DC Charger (ไฟฟ้ากระแสตรง) จะใช้หัวชาร์จแบบ CSS2

ความแตกต่างของหัวชาร์จ EV Type 1 และ Type 2

2. พิจารณาความสามารถการรับไฟของ On Board Charger

ก่อนจะติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ก็ต้องดูก่อนว่า On Board Charger หรือเครื่องชาร์จที่มากับตัวรถนั้น สามารถรับไฟได้ขนาดไหนบ้าง เพื่อเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟใกล้เคียงกัน โดยกำลังไฟจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • 6kW เช่น MG ZS, Ora Good Cat และ BYD ATTO 3
  • 11kW เช่น Volvo XC40, Tesla Model 3, BMW iX3 และ Mini Cooper SE 2024
  • 22kW เช่น Porsche Taycan และ Audi e-tron GT

3. ตรวจเช็กของขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน

วิธีการสังเกตว่าขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้อยู่เป็นแบบไหน ให้ดูข้อความตรงมิเตอร์ที่เขียนว่า “Phase” หรือ “Type” ซึ่งบ้านที่สร้างมานานแล้วมักจะเป็นบ้านที่ใช้ไฟแบบ Single-Phase 5(15)A หรือ Single-Phase 15(45)A แต่ตามมาตรฐานการติดตั้งเครี่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน การไฟฟ้าจะแนะนำให้ใช้มิเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาด Single-Phase 30(100)A หรือ 3-Phase 15(45)A

เพราะฉะนั้น หากลองตรวจเช็กดูแล้วว่ามิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านไม่รองรับหรือมีกำลังไฟไม่เพียงพอ ก็ต้องทำการแจ้งขอเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ที่การไฟฟ้าก่อน หรือบางกรณีอาจจะขอติดตั้งมิเตอร์ TOU ไปด้วยเลยก็ได้ สำหรับเอกสารที่ใช้ในการขอเปลี่ยนมิเตอร์นั้น ประกอบไปด้วย

  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้า
  • บิลค่าไฟฟ้า (3 – 4 เดือนย้อนหลัง)
  • ข้อมูลหรือสเปกรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ (สำหรับประเมินกำลังไฟที่เพียงพอ)
  • ใบมอบอำนาจ หรือสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบ (กรณีดำเนินการแทนเจ้าบ้าน)

4. ตรวจเช็กขนาดสายไฟเมน

นอกเหนือจากการเช็กมิเตอร์ไฟฟ้าว่าพร้อมต่อการติดตั้ง EV Charger หรือไม่แล้ว ก็ต้องเช็กขนาดสายไฟเมนหรือขนาดสายไฟที่เชื่อมมายังตู้ควบคุมด้วย ซึ่งขนาดที่ควรใช้คือขนาด 25 ตร.มม. และสำหรับตู้ Main Circuit Breaker หรือตู้เมนเบรกเกอร์ ก็ควรใช้ตู้ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 100 A เช่นกัน

5. ตรวจเช็กเครื่องตัดไฟรั่ว

แน่นอนว่าการใช้ไฟฟ้านั้นยังมีข้อควรระวังหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือการเกิดเหตุการณ์ณืที่ไม่คาดฝัน อาทิ ฟ้าผ่า ที่อาจส่งผลให้เกิดไฟดูดได้ ดังนั้น อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รวมถึง Home Charger ก็คือ การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD) ซึ่งมาตรฐานทั่วไปคือต้องมีพิกัดกระแสไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 30 mA และสามารถตัดไฟได้ภายในเวลา 0.04 วินาที เมื่อมีไฟรั่ว 5 เท่าของพิกัด

ส่วนการเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หากรุ่นที่เลือกติดตั้งมีระบบตัดไฟอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง RCD เพิ่มก็ได้เช่นกัน ส่วนเต้ารับควรใช้แบบ 3 รู และมีหลักดินแยก ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ทางผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า จะเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำแนะนำก่อนติดตั้งเสมอ

6. เลือกจุดสำหรับติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน

การเลือกพื้นที่สำหรับติดตั้ง Home Charger ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ๆ ก็ตาม จุดที่ติดตั้งเครื่องชาร์จไปจนถึงจุดเสียบหัวชาร์จเข้ากับตัวรถ ควรมีระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร เพราะปกติแล้วสายชาร์จจะมีความยาวสายอยู่ที่ 5 – 7 เมตรเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และการเดินสายไฟก็ไม่ควรไกลจากตู้ควบคุมไฟฟ้าด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญคือ ไม่ว่าเครื่องชาร์จจะมีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นละอองที่ IP เท่าไหร่ก็ตาม ก็ควรติดตั้งเครื่องชาร์จในพื้นที่ร่มและอยู่ใต้หลังคา เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและความปลอดภัยของผู้ใช้รถ แต่หากต้องการติดตั้ง EV Charger ที่คอนโด จะต้องทำการติดต่อที่นิติบุคคลก่อน ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน เลือก PlugHaus Thailand

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ EV ที่ต้องการติดตั้ง Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน แล้วยังไม่รู้ว่าจะเลือกติดตั้งกับผู้ให้บริการที่ไหนดี สามารถเลือกติดตั้งกับทาง PlugHaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์ และวิศวกรที่ผ่านการรับรอง ด้วยมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA ที่พร้อมจะให้ข้อมูลด้านการชาร์จที่ครอบคลุม พร้อมกับตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ติดตั้งให้อย่างละเอียด เพื่อสร้างประสบการณ์และการใช้งาน เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้รถทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบ 1 เฟส หรือ 3 เฟส ก็สามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ