ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging ที่คนใช้รถยนต์ EV ควรรู้!

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยระบบไฟ AC Charging หรือ ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ นับเป็นการชาร์จไฟแบบพื้นฐานที่ผู้ใช้รถ EV ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับการชาร์จไฟแบบ AC กันให้มากขึ้น พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างการชาร์จไฟ AC กับ DC แบบไหนที่จะดีต่อแบตเตอรี่มากกว่า แล้วช่วยยืดอายุการใช้งานได้จริง

ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

รู้จักการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วย AC Charging

ระบบการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC Charging (Alternating Current / Normal Charge) เป็นการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ กระแสไฟฟ้าจะไหลสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ชาร์จ ไม่มีขั้วบวกหรือว่าขั้วลบ ซึ่งระบบจะรับไฟฟ้าเข้าสู่ Wallbox ก่อนนำกระแสเข้าสู่ On Board Charger ในตัวรถ ก่อนแปลงไฟฟ้าเป็นไฟฟ้ากระแสตรง แต่หากเป็นการชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ DC Charging จะเป็นการนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เลยโดยที่ไม่ต้องผ่าน On Board Charger จึงทำให้ได้เปอร์เซ็นต์แบตที่ไวมากกว่า และแบตเตอรี่เต็มเร็วกว่าในการชาร์จไฟรถยนต์ EV

ชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ดีกว่ายังไง?

  • เป็นการชาร์จไฟที่ไม่ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่ในระยะยาว เพราะผ่านตัวกลางก่อน
  • เป็นระบบการชาร์จไฟที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จไว้ที่บ้าน ที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ส่วนตัว
  • สามารถชาร์จไฟข้ามคืนได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อม
  • การชาร์จไฟด้วยระบบ AC มีค่าไฟที่ถูกที่สุด
  • ใช้งานได้ง่าย เพียงแค่เสียบปลั๊กก็สามารถชาร์จไฟได้ทันที
  • รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุดถึง 22 kW ซึ่งเพียงพอต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน
  • การชาร์จ AC นอกบ้านตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีราคาที่ถูกกว่าการชาร์จแบบ DC
  • หัวชาร์จรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น โดยเฉพาะหัวชาร์จ AC Type 2 ที่นิยมในปัจจุบัน

หมายเหตุ: อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟแบบ AC และ DC จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และแต่ละสถานีก็จะมีค่าชาร์จไฟต่อหน่วยที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องเช็กค่าบริการก่อนทุกครั้ง

ข้อจำกัดของการชาร์จไฟแบบ AC Charging

  • ใช้ระยะเวลาการชาร์จที่นานมากกว่าการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC Charging
  • อาจไม่สะดวกในการใช้งานสำหรับบางสถานการณ์ เช่น การเดินทางไกล หรือเวลาเร่งรีบ
  • ปัจจุบันเครื่องชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ยังรองรับการชาร์จเพียงแค่ 3 – 22 kW เท่านั้น
การชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

ชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

จะเห็นได้เลยว่า การชาร์จไฟแบบ AC หรือการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นรูปแบบการชาร์จที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เพราะสามารถชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ มีราคาค่าไฟต่อหน่วยถูกกว่า และที่สำคัญคือ สามารถเสียบหัวชาร์จกับตัวรถค้างคืนได้ ไม่ต้องรอถอดหัวชาร์จออกจากตัวรถเมื่อแบตเตอรี่เต็ม และหากติดตั้ง Home Charger ที่สามารถตั้งค่าการชาร์จไฟได้ผ่านทาง Application ก็สามารถควบคุมการชาร์จได้โดยไม่ต้องเดินมาที่ตัวรถ เช่น เมื่อแบตเตอรี่เต็มก็สามารถหยุดการชาร์จได้ผ่านแอปฯ

นอกจากนี้ การชาร์จไฟแบบ AC ยังมีข้อดีคือ การประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟ โดยเฉพาะผู้ที่ติดตั้ง Home Charger ที่ใช้ควบคู่กับมิเตอร์ TOU ที่เมื่อชาร์จไฟในเวลา Off – Peak ก็จะช่วยลดคอร์สค่าใช้จ่ายลงไปได้อีกหลายเท่า ชนิดที่ว่าต่อให้ใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเท่าเดิม มีเพิ่มเติมมาแค่การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าทุกวัน แต่หากชาร์จไฟในเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าต่ำ ตามรูปแบบของมิเตอร์ TOU ด้วยแล้ว ก็จะพบว่าค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนถูกลงจนเห็นได้ชัด

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น Home Charger รุ่นดังอย่าง Teison Smart Mini, EN+ Caro Pro และ Caro Series ทั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 1 และ/หรือการติดตั้งแบบวงจรที่ 2 กับทางทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ตามมาตรฐาน กฟผ. และ กฟน. เพียงแค่ติดต่อมาที่ Plughaus Thailand วันนี้ รับทันทีสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งโปรโมชันสุดคุ้ม และประกันหลังการติดตั้ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เครื่องชาร์จรถ EV สามารถมั่นใจได้มากขึ้น ว่าจะได้รับการติดตั้งที่มีมาตรฐาน ทั้งยังมีการการันตีทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง

มัดรวม 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ที่คนใช้รถ EV ควรโหลด!

บอกต่อแอปพลิเคชันสำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ควรโหลด กับ 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ใกล้ฉัน! ที่ใช้งานง่าย ตามหา EV Station ได้ทั่วประเทศ พร้อมเช็กสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time สถานีชาร์จไหนว่างบ้าง อัปเดตกันได้ไวทันใจ! พร้อมรีวิวการใช้งานแบบง่าย ๆ สำหรับแอปฯ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ที่มีติดมือถือไว้แล้วทำให้การใช้รถอีวีสะดวกมากยิ่งขึ้น เดือนทางไปไหนก็ตามหาจุดชาร์จที่ใกล้ที่สุดได้ทันที

แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Evolt App EV Station และ MEA

5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จไฟรถ EV ที่ใช้แล้วดีจริง!

Evolt EV Station App

สำหรับแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ของทาง Evolt ถือว่าเป็นหนึ่งในแอปที่มีความครอบคลุมมากที่สุด ในการให้บริการด้านการชาร์จไฟที่สถานีชาร์จ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดต่าง ๆ ทั้งประเทศไทย โดยในปัจจุบันทางอีโวลท์ได้มีการอัปเกรดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเวอร์ชันใหม่ ที่มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น ทั้งยังเช็กสถานะในการชาร์จไฟได้แบบ Real Time

จุดเด่นของแอปฯ Evolt

  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ทั่วประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศอย่าง European Zone
  • มีข้อมูลสถานีชาร์จไฟที่ครบครัน รวมถึงรูปแบบการชาร์จไฟอย่าง AC และ DC Charger
  • สามารถเลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติมเข้าแอปฯ ได้ เริ่มต้นเพียง 200 บาท เท่านั้น
  • ในหน้าแอปฯ EV Station จะบอกสถานะของหัวชาร์จว่าว่างจำนวนเท่าไหร่บ้าง
  • ติดตามการชาร์จไฟได้โดยตรงผ่านทางแอปฯ ไม่ต้องเฝ้ารถ ก็สามารถดูสถานะได้ตลอด

2. MEA EV

แอปชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า MEA EV เป็นแอปที่อยู่ภายใต้การให้บริการของการไฟฟ้านครหลวง โดยจุดเด่นคือ มีความครอบคลุมด้านการให้บริการสถานีชาร์จที่ครอบคลุมในประเทศไทย โดดเด่นมากที่สุดคือในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยเฉพาะตามสถานที่สาธารณะประโยชน์ องค์กรภาครัฐ และปั๊มน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งหมด 86 สถานีชาร์จ และมีทั้งในรูปแบบ AC และ DC เช่นกัน

จุดเด่นของแอปฯ MEA EV

  • ให้บริการในพื้นที่ทำการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างครอบคลุมตามเขตต่าง ๆ
  • อัตราค่าบริการเพียงแค่ 7.5 บาท/หน่วย
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่สาธารณประโยชน์ และอาคารจอดรถของสถานีรถไฟฟ้า
  • รองรับการชำระอัตราค่าบริการด้วยเมนู MEA Wallet เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • ติดตามสถานะในการชาร์จไฟได้ตลอดเวลา รวมถึงการกด Start และ Stop ในแอปฯ
  • ผู้ใช้แอปฯ จะทราบปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า PEA, EA Anywhere และ PluZ

3. PEA Volta

แอปพลิเคชัน PEA Volta เป็นแอปฯ ให้บริการการชาร์จไฟโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งตู้ชาร์จไฟรถ EV ในสำนักงานของ PEA เป็นหลัก รวมถึงปั๊มน้ำมันบางจากในพื้นที่ต่าง ๆ การอัดประจุมีทั้งแบบ AC และ DC โดยทุกสถานีที่ติดตั้งจะใช้มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของ กฟภ. โดยตรง ส่วนอัตราค่าบริการจะใช้ระบบการเติมเงินแบบ Prepaid ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวกมากขึ้น

จุดเด่นของแอปฯ PEA EV

  • โดดเด่นเรื่องการให้บริการในพื้นที่สำนักงานของ กฟผ. และปั๊มน้ำมัน
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่ต่างจังหวัด รองรับผู้ใช้รถ EV ทั่วประเทศ
  • มีการเปิดให้บริการสถานีชาร์จใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อรองรับผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น
  • อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟในช่วง Off Peak เฉลี่ยเริ่มต้นที่ 5.30 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทาง Application ได้ทั่วประเทศ
  • มีฟังก์ชัน Trip Planner สำหรับการวางแผนการเดินทางของผู้ใช้รถ

4. EA Anywhere

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็คือแอปฯ EA Anywhere ที่ในปัจจุบันมุ่งเน้นการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าด้วยระบบ DC Charging แบบหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยการให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในโซนต่างจังหวัด อาทิ สถานีชาร์จในภาคอีสาน โดยตัวแอปสามารถใช้วงเงินจาก Wallet สำหรับการชำระค่าบริการได้ โดยจุดเด่นของแอปที่น่าจะถูกใจผู้ใช้รถ คือ การจองหัวชาร์จล่วงหน้า ที่ช่วยให้วางแผนในการเดินทางได้อย่างเป็นระบบ และไม่ต้องต่อคิวชาร์จ

จุดเด่นของแอปฯ EA Anywhere

  • มีความโดดเด่นเรื่องการจองสถานีชาร์จล่วงหน้า เหมาะสำหรับคนที่เดินทางบ่อย ๆ
  • เมื่อจองสถานีชาร์จเอาไว้แล้ว จะมีระบบนำทางพาไปยังสถานีชาร์จ
  • มีระบบการแจ้งเตือนก่อนหมดเวลา 30 นาที
  • สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทางแอปฯ
  • มีการอัปเกรด Application ใหม่ สามารถใช้ User ID เดิมได้
  • รองรับการใช้คู่กับรถไฟฟ้าหลายประเภท ทั้ง BEV และ PHEV

5. EV Station PluZ

ปิดท้ายกันด้วยแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่อยู่คู่คนใช้รถอย่าง EV Station PluZ แอปค้นหาสถานีชาร์จในเครือ ปตท. ที่ในปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ด้วยการให้บริการที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. โดยตรง ทำให้มีจุดชาร์จไฟที่ครอบคลุมมากที่สุดในไทย ซึ่งล่าสุดทาง EV Station PluZ ก็ได้ขยายจุดชาร์จครบ 1,000 แห่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกว่าเป็นการขยายจุดชาร์จรถ EV แบบหน้ากว้างที่รวดเร็วเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

จุดเด่นของแอปฯ EV Station PluZ

  • พื้นที่ให้บริการส่วนมากอยู่ในปั๊ม ปตท. (PTT) ทำให้มีความครอบคลุมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
  • รองรับการจองเพื่อใช้บริการล่วงหน้า ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้รถที่ต้องการจองก่อนชาร์จ
  • สามารถทำการยกเลิกการจองใช้บริการที่สถานีชาร์จ EV Station ได้ (อย่างน้อย 2 ชม.)
  • เมื่อมีการยกเลิกการจอง จะมีการคืนค่าจองกลับมาในรูปแบบของคูปองภายในแอปฯ
  • มีบริการหัวชาร์จ Ultra – Fast Charger รวม 6 หัวจ่าย กำลังไฟ 480 kWh
แนะนำแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถ EV ทั่วประเทศไทย

สรุป

สำหรับแอปพลิเคชันชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถอีวี ไม่ว่าจะเป็นแอปของทาง PEA และ MEA หรือแม้แต่ Evolt Application เอง ก็นับว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน รวมถึงอัตราค่าบริการ EV Charging Station ของแต่ละผู้ให้บริการด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ EV อย่าลืมดาวน์โหลดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้า มาติดไว้ในมือถือให้พร้อม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเลือกใช้บริการที่สถานีชาร์จรถ EV ที่สะดวกและใกล้เคียงที่สุดได้ทั่วประเทศ

มาตรฐานการติดตั้ง ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้!

ในปัจจุบันนี้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในครัวเรือน นับว่าได้รับความนิยมมากขึ้น ตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในเมืองไทย ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องมาคู่กับ Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ต้องมีการติดตั้งสำหรับชาร์จไฟ เพื่อเป็นพลังงานในแบตเตอรี่รถยนต์เช่นกัน ซึ่งการติดตั้งเครื่องชาร์จก็มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาควบคู่กัน หนึ่งในนั้นก็คือ “ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2” ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในตอนนี้

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 คืออะไร?

ระบบไฟฟ้าวงจร 2 คือ การเดินวงจรไฟฟ้าใหม่คู่ขนานกับวงจรเดิม โดยเป็นการเดินระบบไฟฟ้าจากมิเตอร์บ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยจะเป็นวงจรที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อใช้สำหรับการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งการติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 มีข้อดีคือ ไม่ต้องรื้อระบบไฟฟ้าใหม่ และมีความปลอดภัยในการชาร์จไฟทุกครั้ง หากติดตั้งตามมาตรฐานของการไฟฟ้าที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วเช่นกัน ทำให้ควบคุมค่าไฟของครัวเรือนได้ง่ายยิ่งขึ้น

ข้อดีของการติดตั้งวงจรที่ 2 สำหรับ EV Charger

การแยกวงจรไฟฟ้า หรือ การติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 นั้น นอกจากจะช่วยแยกวงจรไฟฟ้าสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV ได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไฟฟ้าลัดวงจร หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาไฟฟ้าเกิดพิกัด หรือ Overload ซึ่งการติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า ไฟในบ้านจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานของสมาชิกในบ้าน ชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ประสิทธิภาพทั้งหมด และที่สำคัญคือ วงจรที่ 2 จะไม่ไปยุ่งกับระบบไฟฟ้าเดิม การติดตั้งจึงง่ายและรวดเร็ว

ขั้นตอนการติดตั้งวงจรที่ 2

การติดตั้งวงจรที่ 2 จะต้องทำระบบวงจรไฟฟ้า สำหรับการติดตั้งรถยนต์ EV จากมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยในตู้ไฟจะต้องมีการติดตั้งเมนเซอร์กิตเบรกเกอร์ (Main Circuit Breaker) แบบ 2 Pole พิกัด 50A รวมถึงติดตั้ง RCD กันดูด และระบบกราวด์ความลึก 2.4 เมตร เบื้องต้นหากต้องการติดตั้งวงจรที่ 2 ต้องติดตั้งตามมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

โดยการขออนุญาตจะต้องไปทำเรื่องขอมิเตอร์ชาร์จรถไฟฟ้า โดยมิเตอร์ต้องมีขนาด 30(100) A ขึ้นไป หรือระดับ 50(150) A เพื่อให้เพียงพอต่อการเดินสายไฟสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV และการติดตั้ง EV Charger เมื่อมีการแจ้งการไฟฟ้าแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบมาตรฐานการติดตั้ง พร้อมการเปลี่ยนมิเตอร์ตัวใหม่ขนาด 30(100) A ให้ แต่หากที่บ้านเป็นมิเตอร์ขนาด 30(100) อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดมิเตอร์เพื่อติดตั้ง Home Charger

ติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

อุปกรณ์สำหรับติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

1. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)

สำหรับตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) เป็นอุปกรณ์ทำใช้สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟต่าง ๆ เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) ลูกย่อยแบบ 1 Pole และกันดูด RCD โดยต้องมีมาตรฐาน มอก. หรือ IEC โดยแนะนำว่าสามารถรองรับการติดตั้งเพิ่มในอนาคตได้ โดยที่นิยมคือแบบ 4 – 7 ช่องสำหรับวงจร 2

2. เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Breaker)

เป็นอุปกรณ์สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อมีวงจรไฟฟ้ามีปัญหา โดยที่นิยมจะใช้เป็นขนาด 50A ชนิด 2 Pole โดยต้องรองรับทั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส สำหรับเซอร์กิตเบรกเกอร์สามารถเลือกใช้แบรนด์ไหนก็ได้ตามมาตรฐาน มอก. หรือ IEC เช่น ABB, Scheider, Panasonic, Haco, NANO ฯลฯ

3. สายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน

โดยสายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน สำหรับการติดตั้งวงจรที่ 2 ควรมีขนาด 16 มม. ขึ้นไป ชนิด THW มีคุณสมบัติไม่ลามไฟและมี มอก. รองรับ โดยในตลาดที่นิยมกันคือยี่ห้อ Yazaki, TripleN PKS และ บางกอกเคเบิ้ล

4. หลักดิน

การเลือกใช้หลักดินสำหรับติดตั้งระบบไฟฟ้า วงจรที่ 2 ควรเป็นแท่งเหล็กหุ้มด้วยทองแดง หรือแท่งทองแดง หรือ แท่งเหล็กอาบสังกะสี ที่มีมาตรฐานตาม ว.ส.ท. โดยต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 5/8 นิ้ว

5. เครื่องตัดไฟรั่ว (RDC)

การใช้เครื่องตัดไฟรั่วในการติดตั้ง วงจรที่ 2 โดยควรเป็นกันดูดชนิด Type B ที่สามารถตัดไฟได้ทั้งการรั่วของกระแสตรงและกระแสสลับ แต่หากเครื่องชาร์จตัดไฟกระแสตรงได้ สามารถใช้ RCD กันดูด Type A ได้

หมายเหตุ : การติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถติดต่อการไฟฟ้าได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมทำเรื่องยื่นขอมิเตอร์ตัวที่ 2 สำหรับ EV

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อม Home Charger

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อมเครื่องชาร์จไฟ Home Charger

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน พร้อมระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 สามารถเลือกใช้บริการและติดตั้ง Home Charger ในรูปแบบของ AC Charging สำหรับรถยนต์ EV กับทาง PlugHaus Thailand ได้ทุกรุ่น ด้วยบริการแบบ One Stop Service ที่นอกจากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายแล้ว ยังมีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟที่บ้านจากทีมงานมืออาชีพ โดยทางเราจะมีทั้งการตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟฟ้า พร้อมการวางระบบไฟให้อย่างครบวงจร ที่สำคัญคือ มีประกันอัคคีภัยพร้อมประกันหลังการติดตั้งให้เช่นกัน

ขั้นตอนขอมิเตอร์ไฟฟ้า กฟผ. และ กฟน. อัปเดตใหม่พร้อมราคา

การดำเนินการขอมิเตอร์ไฟฟ้า ตัวที่ 2 สำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Home Charger ที่บ้าน สามารถดำเนินการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่ กฟผ. และ กฟน. ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อยู่อาศัย และการพื้นที่การดูแลของการไฟฟ้า ซึ่งการติดตั้งมิเตอร์ตัวที่สอง ไม่จำเป็นต้องมีขนาดหรือว่าเป็นประเภทเดียวกันกับมิเตอร์ตัวแรก ก็สามารถติตดั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าได้เช่นกัน

ขั้นตอนการขอมิเตอร์ไฟฟ้า ปี 2568 พร้อมราคา

3 ขั้นตอนการขอมิเตอร์ไฟฟ้า อัปเดตล่าสุดปีนี้!

1. ยื่นเอกสารพร้อมชำระเงินที่ PEA หรือ MEA

ขั้นตอนแรกของการขอมิเตอร์ไฟฟ้ากับทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง (MEA) จะต้องดำเนินการยื่นเอกสารพร้อมชำระเงินอัตราค่าบริการ โดยจะมีการกำหนดอย่างชัดเจน ตามขนาดมิเตอร์และระบบไฟฟ้าที่ใช้

2. นัดวันตรวจสอบมาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้า

หลังจากดำเนินการยื่นขอมิเตอร์ไฟฟ้าใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการนัดวันตรวจสอบมาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าของที่พักอาศัย โดยสถานที่ที่ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการดำเนินงาน เพื่อให้รองรับการชาร์จโหมด 2 หรือ โหมด 3 ตามมาตรฐานของทางการไฟฟ้า โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ระบบไฟฟ้าภายในของมิเตอร์ที่ 1 และมิเตอร์ที่ 2 ต้องแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด”

3. ติดตั้งมิเตอร์เครื่องที่ 2 พร้อมวิธีการจ่ายค่าไฟ

ขั้นตอนการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าเครื่องที่ 2 โดยปกติแล้วจะดำเนินการประมาณ 2 – 5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนผู้ใช้บริการ ซึ่งเมื่อมีการติดตั้งมิเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รูปแบบการจ่ายค่าไฟฟ้าจะแตกต่างจากเดือนที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เพราะจะแยกใบแจ้งค่าไฟฟ้าตามรายมิเตอร์

หมายเหตุ : สามารถขอมิเตอร์ไฟฟ้าออนไลน์ของทาง MEA ได้ที่เว็บไซต์ Measy ผ่านทาง www.mea.or.th หรือที่แอปพลิเคชัน MEA Smart Life แต่หากเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สามารถยื่นขอมิเตอร์ไฟฟ้าออนไลน์ได้ที่ PEA Mobile Application

ขอมิเตอร์ไฟฟ้าปี 2568 ใช้เอกสารอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง (Passport) สำหรับชาวต่าติ
  • สำเนาทะเบียนบ้าน หรือทะเบียนอาคารที่ต้องการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า
  • เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้า หากไม่ใช้เจ้าของบ้านต้องมีหนังสือยินยอม
  • บิลค่าไฟฟ้า สำหรับการประเมินของ กฟผ. และ กฟน.
  • รายละเอียดข้อมูลและอุปกรณ์ของ EV Charger หรือ รถยนต์ EV
  • สำเนาการเปลี่ยนชื่อหากมีการเปลี่ยนชื่อตัว หรือชื่อสกุล
  • ใบคำขอใช้ไฟฟ้า โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่เว็บไซต์การไฟฟ้าโดยตรง
  • ใบมอบอำนาจและสำเนาบัตรของผู้รับมอบ ในกรณีที่ไม่ได้ดำเนินเรื่องขอมิเตอร์ไฟฟ้าด้วยตัวเอง
การขอมิเตอร์ไฟฟ้ากับ กฟภ. และ กฟน.

ราคาติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าเครื่องที่ 2 ปี 2568

สำหรับการขอมิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือว่าการไฟฟ้านครหลวง จะมีค่าใช้จ่ายตามการเพิ่มขนาดมิเตอร์ที่ใช้ รวมถึงการเลือกใช้ว่าจะเป็นมิเตอร์ธรรมดา และ มิเตอร์ TOU ที่จะมีการคิดอัตราค่าไฟแบบ On – Peak และ Off – Peak ตามช่วงเวลา

ระบบไฟฟ้า 1 เฟส

  • มิเตอร์ธรรมดา ขนาด 15(45) และ 30(100) ราคา 700 บาท
  • มิเตอร์ TOU ขนาด 15(45) และ 30(100) ราคา 3,740 บาท

ระบบไฟฟ้า 2 เฟส

  • มิเตอร์ธรรมดา ขนาด 15(45) ราคา 700 บาท
  • มิเตอร์ธรรมดา ขนาด 30(100) ราคา 1,500 บาท
  • มิเตอร์ TOU ขนาด 15(45) และ 30(100) ราคา 5,340 บาท

หมายเหตุ : เป็นราคาสำหรับการขอติดตั้งมิเตอร์เครื่องที่ 2 จากทาง PEA ปี 2568 โดยการดำเนินการจะใช้เวลาประมาณ 2 – 5 วันทำการ ส่วนการเปลี่ยนเป็นมิเตอร์ TOU ของ MEA แรงดันต่ำมีค่าใช้จ่าย 6,640 บาท ส่วนแรงสูงมีค่าใช้จ่าย 7,350 บาท (ราคารวมสุทธิ)

นอกจากการขอมิเตอร์ไฟฟ้าใหม่ จากทางการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังมีอัตราค่าบริการสำหรับค่าเดินสายไฟและติดตั้งระบบไฟฟ้า เพื่อให้รองรับ EV Charger เช่นกัน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะมีบริการทั้งการติดตั้งเครื่องชาร์จ และการเดินสายเมน พร้อมการออกแบบระบบไฟแบบครบ จบ ในที่เดียว โดยที่เจ้าของบ้านหรือว่าลูกค้าไม่ต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง

เช่นเดียวกับทาง PlugHaus Thailand ที่มีการวางระบบไฟฟ้า พร้อมตัวเลือกของ Home Charger หลายแพ็กเกจ เช่น หากต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จพร้อมวงจรที่ 2 ของเครื่องชาร์จ Tesla Home Charging All-Vehicle Package ก็มีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 51,990 บาท สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส เท่านั้น หรือหากเป็นระบบไฟฟ้า 3 เฟส ก็จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ 55,990 บาท รวมทุกบริการพร้อมเครื่องชาร์จ Tesla

ติดตั้ง Home Charger เลือก Plughaus Thailand

ติดตั้ง Home Charger แบบครบวงจร เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ที่สนใจติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Home Charger ที่มีมาตรฐาน ในราคาที่คุ้มค่า มาพร้อมบริการแบบครบวงจร ทั้งการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟ การเดินสายไฟพร้อมออกแบบพื้นที่ชาร์จที่ปลอดภัย และทีมงานที่มีมาตรฐานในการให้บริการ เพียงลงทะเบียนรับโปรโมชั่นสุดพิเศษจากทาง PlugHaus Thailand วันนี้ ก็รับสิทธิพิเศษได้ก่อนใคร ทั้งประกันงานติดตั้ง ส่วนลดพิเศษของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น และที่ขาดไม่ได้คือ การรับประกันทั้งเครื่องชาร์จและระบบไฟฟ้าแบบครบวงจร

รีวิวรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 กับตัวเลือก 2 พลังงาน EV และ REEV

นาทีนี้เรียกว่าไม่มีใครไม่รู้จัก Deepal S05 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดส่งตรงจาก ChangAn อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่าล้านแล้ว ยังมี 2 พลังงานให้เลือก ทั้งรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เป็น BRV 100% และ REEV เพราะฉะนั้น เราจะพาคนรักรถมาดูกันว่า Deepal S05 สเปกเป็นยังไงบ้าง น่าสนใจแค่ไหน มีฟังก์ชันอะไรเด่น ๆ บ้าง รวมถึงราคาจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ หลังเปิดตัวในงาน Motor Show 2025 ที่ผ่านมา

รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

Deepal S05 รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 2 ทางเลือก

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 ที่เปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ที่ผ่านมา ก็ถือว่าสร้างเสียงฮือฮาในกลุ่มคนรักรถ EV ได้เป็นอย่างดี เพราะงานนี้เปิดตัวมาพร้อมกับตัวเลือกพลังงาน 2 รูปแบบ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV 100% และรถยนต์พลังงานทางเลือก REEV Plug – in Hybrid ที่ใช้น้ำมันควบคู่กับพลังงานไฟฟ้า ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่มากขึ้น สำหรับรถ Deepal S05 2025 ที่จำหน่ายในไทย

รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ราคาจำหน่าย Deepal S05

ราคา Deepal S05 BEV 100%

  • Deepal S05 BEV LITE ราคา 799,000 บาท
  • Deepal S05 BEV PLUS ราคา 849,000 บาท
  • Deepal S05 BEV MAX ราคา 899,000 บาท

ราคา Deepal S05 REEV

  • Deepal S05 REEV MAX ราคา 999,000 บาท
  • Deepal S05 REEV PLUS ราคา 949,000 บาท

สีตัวถัง

Deepal S05 BRV Lite

  • สีขาว Moonlight White
  • สีเทา Ganymede Grey
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีดำ

Deepal S05 BRV Plus และ REEV Plus

  • สีขาว Moonlight White
  • สีดำ Deep Space Black
  • สีเงิน Mercury Silver
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีดำ

Deepal S05 BRV Max และ REEV Max

  • สีขาว Moonlight White
  • สีดำ Deep Space Black
  • สีเงิน Mercury Silver
  • สีฟ้า Andromeda Blue
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีส้ม
รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

มิติตัวถัง Deepal S05

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,620 x 1,900 x 1,600 มม.
  • ระยะฐานล้อ 2,880 มม.
  • ความสูงจากใต้ท้องรถ 169 มม.
  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
  • ขนาดยาง 225/60 R18
รีวิวภายนอกรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ระยะทางวิ่งของ Deepal S05 รุ่น BEV และ REEV

สเปกและสมรรถนะการขับขี่รุ่น BEV

ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate ความจุ 56.1 kWh ให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า (PS) แรงบิดอยู่ที่ 320 นิวตัน – เมตร สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 470 กม. (มาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จไฟด้วยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC สูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ ส่วน DC อยู่ที่ 151.5 กิโลวัตต์

สเปกและสมรรถนะการขับขี่รุ่น REEV

สำหรับ Deepal S05 REEV ใช้พลังงาน 2 รูปแบบ ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซิน (Plug – in Hybrid) ที่เมื่อใช้น้ำมันรวมกับไฟฟ้าแล้วสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 1,000 กม. โดยเครื่องยนต์ใช้ Range – Extender Engine 4 สูบ 16 วาล์ว VVT ความจุ 1,497 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Lithium Iron Phosphate ความจุ 27.28 kWh ให้กำลัง 218 แรงม้า (PS) รองรับทั้งการชาร์จไฟแบบ AC และ DC Charging

อุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05

สำหรับอุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05 ในแต่ละรุ่น จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงรถรุ่น BRV และ REEV ซึ่งหากเป็นรุ่น REEV Plus จะได้อุปกรณ์เหมือน BRV Plus เช่นเดียวกับรุ่น REEV Max ที่ก็จะได้อุปกรณ์เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า BRV Max เช่นกัน โดยอุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05 มีดังนี้

  • ไฟส่องสว่างสําหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟหน้าปรับระดับได้
  • ไฟท้ายแบบ LED Star Wing
  • ไฟตัดหมอกหลัง
  • ประตูแบบไร้ขอบกระจก
  • กระจกบังลมหน้าแบบมีระบบไล่ฝ้าอัตโนมัติ
  • กระจกมองข้างปรับและพับแบบไฟฟ้า
  • ระบบทําความร้อนไล่ฝ้าที่กระจกมองข้าง
  • กระจกมองข้างพับอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม
  • ช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า (159 ลิตร)

โดย Deepal S05 Plus จะได้มือจับประตูไฟฟ้าด้านนอกแบบซ่อน และที่ปัดน้ำฝนด้านหลังแบบไร้โครงเพิ่มเข้ามา ส่วนถ้าเป็นรุ่น Max จะมีหลังคากระจกแบบพาโนรามา พร้อมกับม่านหลังคาไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีประตูเปิด – ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบกันหนีบ รวมถึงระบบการจดจำตำแหน่งของกระจกมองข้าง ที่สามารถปรับองศาได้อัตโนมัติ

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

อุปกรณ์ภายในของ Deepal S05

สำหรับอุปกรณ์ภายในของ Deepal S05 ก็จะมีอุปกรณ์พื้นฐานเหมือน ๆ กัน โดยรุ่น Lite จะมีอุปกรณ์ที่ครอบคลุมการใช้งาน ทั้งพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน, ช่องเสียบ USB รวมถึงระบบ Entertainment ภายในรถ ที่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน

  • พวงมาลัยแบบ Multifunction มาพร้อมกับปุ่ม Shortcut ปรับได้ 4 ทิศทาง
  • กระจกไฟฟ้า 4 บาน เปิด-ปิดแบบ One-touch พร้อมระบบกันหนีบ
  • เบาะหนังสังเคราะห์พร้อมรูระบายอากาศ โดยเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
  • พนักพิงเบาะหลังพับได้แบบ 60:40
  • แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกและไฟส่องสว่าง
  • ไฟอ่านหนังสือแบบ LED
  • จํานวนช่องเสียบ USB: USB-A 2 ตำแหน่ง / USB-C 1 ตำแหน่ง
  • ช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
  • ระบบการกรองฝุ่น PM 2.5
  • โหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort, Sport และ Customize
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 15.4 นิ้ว
  • ระบบนำทาง
  • ระบบเลือกโหมดสถานการณ์
  • ลำโพง 8 ตำแหน่ง
  • ลำโพงภายนอกแบบปรับเปลี่ยนเสียงได้
  • ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยและอังกฤษอัจฉริยะ แบบ 2 โซน
  • การเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ
  • รองรับ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย
  • กุญแจอัจฉริยะ

สำหรับรุ่น Plus จะมีอุปกรณ์ภายในที่ถูกเพิ่มมาจากรุ่น Lite ทั้งหมด 4 รายการ ได้แก่ ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า พร้อมกับระบบนำทางแบบ AR มีแอปพลิเคชันความบันเทิงแบบออนไลน์ ทั้งยังมีระบบควบคุมรถผ่านแอป และที่ขาดไม่ได้คือ สามารถควบคุมการอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านทางออนไลน์ได้ ส่วนรุ่น Max ก็จะถูกเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ เข้ามาอีกหลายอย่าง เช่น ระบบการจดจำตำแหน่งเบาะคนขับ พร้อมกับระบบ Easy Entry & Exit ทั้งยังมีไฟสร้างบรรยากาศถึง 64 สี ส่วนหน้าจอสัมผัสใช้ขนาด 15.4 นิ้ว แบบซันฟลาวเวอร์

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่ของ Deepal S05 ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากอุปกรณ์ภายในและภายนอกของ Deepal S05 ที่มีความครอบคลุมแล้ว ฟังก์ชันและระบบการช่วยเหลือการขับขี่ก็ถือว่าครบครันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำรถเข้าออกช่องจอดในแนวตรงจากระยะไกล ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบควบคุมรถให้อยู่ในกลางเลน ระบบการเตือนหากพบความเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ซึ่งระบบต่าง ๆ เหล่านี้ในรุ่น Lite และ Plus จะได้เหมือนกัน ส่วนในรุ่น Max จะถูกเพิ่มระบบการควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉินเข้ามา รวมถึงระบบการช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการชนจากด้านหลัง ฯลฯ

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ระบบความปลอดภัยพื้นฐานของ Deepal S05 ทุกรุ่น

ทางด้านของระบบความปลอดภัยภายในรถที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้ผู้ขับขี่ในทุก ๆ รุ่นย่อย ก็ถือว่าครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่างรุ่น Lite ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย, กล้องมองภาพ 360 องศา แบบ 3D, โหมดเฝ้าระวัง, ระบบป้องกันล้อล็อก, ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ, เสียงเตือนคนภายนอกขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมกับ Auto Hold, ระบบสัญญาณป้องกันขโมย และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบตรวจจับแรงดันลมยาง พร้อมกับอุปกรณ์การอุดการรั่วซึมแบบชั่วคราว ฯลฯ

รีวิว สเปก รถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 ทั้งรุ่น BRV ไฟฟ้า 100% และรถยนต์พลังงานทางเลือก REEV นั้น หากไม่นับเรื่องพลังงานที่ใช้แล้ว ถือได้ว่าอุปกรณ์พื้นฐานทั้งภายในและภายนอก รวมถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ถือว่าเหมือนกันเกือบทั้งหมด เช่น อุปกรณ์ภายนอกในรุ่น BRV Max แล REEV Max ก็จะมีเหมือนกัน จะต่างกันแค่พลังงานในการขับขี่เท่านั้น เพราะฉะนั้น หากผู้ใช้รถที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าแบบ 100% ก็ต้องเลือกกลุ่ม BRV แต่หากต้องการมีความยืดหยุ่นด้านพลังงาน ก็สามารถเลือกใช้รุ่น REEV ที่มีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันได้นั่นเอง

ปิดฉากงาน Motor Show 2025 กับยอดจองรถใหม่กว่า 77,379 คัน

หลังจากที่งาน Bangkok International Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 หรือ งานมอเตอร์โชว์ 2568 ได้ปิดฉากกันไปแล้วเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา สิ่งที่หลายคนตั้งตารอคอยกันมากที่สุด คือ การสรุปยอดจองรถใหม่ในงาน Motor Show 2025 ที่เรียกว่าปีนี้นอกจากจะคึกคักมากเป็นพิเศษแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปีที่รถยนต์ EV มาแรง ซึ่งปีนี้ยอดจองรถใหม่ปิดยอดไปได้ทั้งหมด 77,379 คัน เพิ่มขึ้น +44.8% เพิ่มขึ้นจากปีกก่อนที่มียอดจองทั้งหมด 53,438 คัน

สรุป ยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025

สรุปยอดจองรถในงาน Motor Show 2025 ทั้งหมด

สำหรับยอดจองรถงาน Motor Show 2025 ปีนี้ ค่ายที่มาแรงที่สุดคือ BYD ที่ล้มแชมป์อย่างพี่ใหญ่ Toyota ลงไปได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ พร้อมกับนวัตกรรมที่น่าสนใจมากมาย ส่วนค่ายอื่น ๆ ที่มาแรงและสร้างสถิติในงานนี้ ก็มีทั้ง GAC, Deepal ส่วนทาง Honda ร่วงลงมาเป็นอันดับ 5 จากเดิมที่อยู่อันดับ 4 ในงาน Motor Show 2024 และงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา

รวมยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025

ยอดจองรถงานมอเตอร์โชว์ 2568 ทุกค่าย

  1. BYD / DENZA 10,353 คัน (BYD 9,819 / DENZA 534)
  2. Toyota 9,819 คัน
  3. GAC (AION / HYPTEC) 7,018 คัน
  4. DEEPAL / AVATR / ChangAn 6,589 คัน (ChangAn-Deepal 6,067 / AVATR 522)
  5. Honda 5,948 คัน
  6. MG 5,910 คัน
  7. GWM 4,959 คัน
  8. Mitsubishi 4,398 คัน
  9. Nissan 3,139 คัน
  10. Isuzu 2,989 คัน
  11. OMODA & JAECOO 2,568 คัน
  12. Mazda 2,353 คัน
  13. XPENG 1,399 คัน
  14. NETA 1,219 คัน
  15. ZEEKR 1,196 คัน
  16. Suzuki 1,023 คัน
  17. GEELY 1,018 คัน
  18. FORD 1,001 คัน
  19. Mercedes-Benz 870 คัน
  20. RIDDARA 671 คัน
  21. BMW 630 คัน
  22. Hyundai 582 คัน
  23. KIA 507 คัน
  24. Volvo 366 คัน
  25. MINI 202 คัน
  26. AUDI 128 คัน
  27. Juneyao 128 คัน
  28. Lexus 84 คัน
  29. Porsche 75 คัน
  30. Peugeot 28 คัน
  31. Jeep 16 คัน
  32. Maserati 12 คัน
  33. Aston Martin 4 คัน
  34. Rolls-Royce 4 คัน
  35. Others อื่นๆ 77 คัน

รวมยอดจองรถของค่าย BYD ในงาน Motor Show 2025

สำหรับค่ายรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง BYD ก็เรียกว่ามาแรงและเกินความคาดหมายพอสมควร เพราะในงาน Motor Show 2568 ปีนี้ สามารถทำยอดจองรถใหม่ไปได้ทั้งหมด 10,353 คัน โดยรุ่นที่มาแรงคือ BYD Dolphin ส่วนรุ่นอื่น ๆ ก็สร้างสถิติได้สูงไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น

  1. BYD Dolphin รวม 4,014 คัน (38.8%)
  2. BYD Sealion 7 รวม 2,038 (19.7%)
  3. BYD Atto 3 รวม 2,019 คัน (19.5%)
  4. BYD Sealion 6 รวม 1,015 คัน (9.8%)
  5. DENZA D9 รวม 534 คัน (5.2%)
  6. BYD M6 รวม 323 คัน (3.1%)
  7. BYD Seal รวม 257 คัน (2.5%)
  8. BYD SHARK6 รวม 153 คัน (1.5%)
รถยนต์ BYD LAB x YANGWANG U8

สรุป

สำหรับภาพรวมของงาน Motor Show 2025 ในปีนี้ ก็นับว่าคึกคักและมีไฮไลท์ที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะเหล่าบรรดาค่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่นอกจากจะมีการนำรถใหม่มาเปิดตัวแล้ว ยังมีการโชว์นวัตกรรมที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ รถยนต์ BYD LAB x YANGWANG U8 ที่สามารถขับลอยน้ำได้ถึง 30 นาที ที่จัดแสดงโชว์ในงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรก ชนิดที่ว่าสร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี

ส่วนรถยนต์ EV รุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรก พร้อมทำตลาดในเมืองไทย ก็มีหลายรุ่นที่น่าติดตามกัน ไม่ว่าจะเป็น AION UT, ZEEKR 7X, MG IM6, Neta X และ DEEPAL S05 ส่วนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหลายค่ายก็มีการเปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือกเช่นกัน อาทิ Nissan Serena e-Power, Toyota Yaris Ativ HEV และ Mitsubishi Xforce HEV ที่ก็ถือว่าเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในตลาดรถเมืองไทย โดยเฉพาะการมีรถยนต์พลังงานทางเลือกในท้องตลาด ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคหลาย ๆ กลุ่ม

และที่น่าสนใจอีกหนึ่งประเด็นคือ ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีเศรษฐกิจและปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าอาจส่งผลต่อตลาดรถและจำนวนยอดจองภายในงาน แต่กลายเป็นว่ายอดจองในปีนี้กลับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “สงครามราคา” ที่นอกจากจะมีโปรโมชั่นดีดีให้เลือกสรรกันมากขึ้นแล้ว ราคารถหลายแบรนด์ก็สามารถเอื้อมถึงได้มากขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025 สูงถึง 77,379 คัน

ไฮไลท์เด็ดงาน Motor Show 2025 รถ EV มาใหม่เพียบ! เริ่ม 26 มี.ค. 68

เตรียมพบกับอีกหนึ่งมหกรรมด้านยานยนต์สำหรับคนรักรถ กับงาน Bangkok International Motor Show 2025 หรือ มอเตอร์โชว์ 2568 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 46 ในปีนี้ พร้อมยกขบวนรถใหม่มาเปิดตัวแบบจัดเต็ม รวมถึงการเข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรกของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ ที่พร้อมบุกตลาดรถยนต์ EV ในไทยอย่างเป็นทางการ โดยงานนี้นอกจากจะมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ มาเปิดตัวแล้ว ยังมีนวัตกรรมด้านยานยนต์ที่น่าสนใจมากมาย เพราะฉะนั้น มาดูกันว่างาน Motor Show 2025 ปีนี้ มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง พร้อมการเดินทาง และราคาจำหน่ายบัตรเข้างาน

ไฮไลท์งาน Motor Show 2025

Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 กับไฮไลท์ที่ห้ามพลาด!

สำหรับการจัดงาน Motor Show 2025 ในครั้งนี้ ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 46 ภายในธีม ในธีม “The Talk of Sensuous Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” ที่ได้นำเอารถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ทั้งรถยนต์สันดาป และ รถยนต์ไฟฟ้า 2025 หรือ รถยนต์ EV ที่พร้อมเปิดตัวและจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดยในปีนี้มีค่ายรถที่เข้าร่วมเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น OMODA&JAECOO, CHERY, ZEEKR, JUMEYAO, RIDDARA และ KINGGEN

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ บูธสำหรับสายมูตัวจริงเสียงจริงของ อ.ลักษณ์ โหราธิบดี ที่จะมาให้บริการด้านการทำนายโหร พร้อมให้คำปรึกษาฤกษ์ออกรถใหม่สำหรับผู้ที่สนใจเลือกซื้อรถยนต์ภายในงาน มอเตอร์โชว์ 2568 นี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ MU-NIVERSE หรือ “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เรียกได้ว่า ใครเป็นสายมูห้ามพลาด กับบูธนี้ภายในงาน Motor Show อย่างเด็ดขาด

ส่วนทางด้านการให้บริการรถยนต์ใหม่จากค่ายรถ ก็ยังมีสิทธิพิเศษอย่างการ Test Drive หรือการทดลองขับจริง ที่นอกจากจะทำให้ได้สัมผัสกับการขับขี่ตัวรถจริง ๆ แล้ว ยังช่วยให้การตัดสินใจเลือกซื้อรถง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งบริการนี้ครอบคลุมทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ EV ที่เปิดให้จองและชมกันภายในงาน ส่วนทางด้านบูธอื่น ๆ ก็มีให้ติดตามกันอีกเพียบ ทั้งของตกแต่งรถยนต์ บูธรถยนต์มือสอง สินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป และที่ขาดไม่ได้คือ การเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA เป็นครั้งแรกในเมืองไทย

รายละเอียดงาน Motor Show 2025 วันที่จัดงาน และราคาบัตร

รายละเอียดงาน Motor Show 2025 วันที่จัดงาน และราคาบัตร

วันจัดงาน Motor Show 2025

  • รอบสื่อมวลชน จัดขึ้นวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 21.00 น.
  • รอบ VIP จัดขึ้นในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.59 – 18.00 น.
  • งานมอเตอร์โชว์รอบบุคคลทั่วไป เริ่มวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568

ในรอบบุคคลทั่วไป วันธรรมดางาน Motor Show 2025 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 – 22.00 น. ส่วนวันเสาร์ – อาทิตย์ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น.

สถานที่จัดงาน Motor Show 2025

งานมอเตอร์โชว์ 2568 ปีนี้ จะขึ้น ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 และฟอรั่ม ฮอลล์ 4 หรือ Exhibition Hall 4 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ราคาบัตรเข้างาน Motor Show 2025

  • บัตรปกติ ราคา 100 บาท (ใช้ได้วันต่อวัน)
  • บัตร VIP Diamond Lounge Package ราคา 999 บาท

สำหรับบัตร VIP Diamond Lounge Package สามารถใช้สิทธิพิเศษเข้างานได้ทุกวัน ตลอดระยะเวลาจัดกิจกรรม พร้อมรับสิทธิพิเศษที่จอดรถ และบริการ Dimond Lounge

การเดินทางไปงานมอเตอร์โชว์ 2568

1. รถไฟฟ้า BTS

  • ลงสถานีหมอชิต ทางออก 4 ต่อรถตู้สายสวนจุตจักร – เมืองทองธานี
  • รถไฟฟ้าสายสีแดง ลงสถานีหลักสี่ ต่อรถประจำทางสาย 52, 150 และ 356

2. รถไฟฟ้า MRT

  • ลงสถานีสวนจตุจักร ทางออก 3 แล้วต่อรถตู้สายสวนจุตจักร – เมืองทองธานี

3. รถไฟฟ้าสายสีชมพู

  • ลงสถานีศรีรัช แล้วใช้บริการ Shuttle Bus เดินทางมางาน Motor Show ฟรี

4. รถโดยสารประจำทาง

  • เส้นวิภาวดี – รังสิต และแยกแจ้งวัฒนะ ใช้สาย 29, 52, 59, 95, 150, 504, 510 และ 538
  • เส้นห้าแยกปากเกร็ด ใช้สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359 และ 367
  • เส้นแจ้งวัฒนะ ใช้สาย 52, 150 และ 356
รายละเอียดงาน Motor Show 2025 และรถเปิดตัวใหม่

เปิดลายแทงรถ EV เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Show 2025

แน่นอนว่า ไฮไลท์สำคัญของงาน Motor Show 2025 นี้ ก็คงหนีไม่พ้นรถเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่พร้อมจะมาบุกตลาดรถ EV ในเมืองไทย โดย PlugHaus Thailand จะมาป้ายยาแบบง่าย ๆ กัน ว่าในงานMotor Show ปีนี้ มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่เตรียมมาเผยโฉมในงานนี้

  • BYD Shark 6
  • BYD Atto 2
  • MG IM6
  • Aion UT
  • ZEEKR 7X
  • Deepal S05

ส่วนทางด้านรถยนต์พลังงานทางเลือกรูปแบบอื่น ๆ เช่น PHEV อย่าง JAECOO 7 ที่ก็เตรียมเปิดตัวในงาน ส่วนทางด้านค่าย Nissan ก็เตรียมเปิดตัวรถใหม่ที่ใช้ระบบอี-พาวเวอร์ อย่าง Nissan Serena e-Power และ Nissan Kicks 2025 หรือแม้แต่ทาง MG HS 2025 ก็มีแพลนจะเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เช่นกัน

ติดตามข่าวรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์รถ EV ก่อนใครที่ PlugHaus

สำหรับงาน Motor Show 2025 นี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานยานยนต์ที่น่าติดตามมาก ๆ สำหรับคนรักรถ โดยเฉพาะชาวแก๊ง EV ที่ก็มีหลายคนต่างก็รอลุ้นว่าในปีนี้จะมีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจและน่าใช้งาน เพราะฉะนั้น หากไม่อยากพลาดข่าวสารวงการยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์รถ EV แบบเรียลไทม์ อย่าลืมติดตาม PlugHaus Thailand เพื่ออัปเดตข่าวสารในวงการรถอีวีได้ก่อนใคร

7 รถยนต์ไฟฟ้า 2025 มาใหม่ พร้อมราคาจำหน่ายในไทยปีนี้

ในบรรดารถยนต์ EV ที่กำลังทำตลาดในเมืองไทยนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งราคาจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงสเปกที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งาน ซึ่งในบรรดา รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ก็มีทั้งการเปิดตัวในปลายปีหรือในงาน Motor Expo 2024 รวมถึงการเปิดตัวในต้นปี 2025 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาเจาะสเปกรถยนต์ไฟฟ้ากัน ว่าในปีนี้มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ สรุปข้อมูลฉบับรวบรัด พร้อมราคาจำหน่ายในตอนนี้

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 BYD Sealion 7

1. BYD Sealion 7

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงและได้รับความนิยมมาก ๆ ในปี 2025 นี้ ก็คือ BYD Sealion 7 จากค่าย BYD ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม C-SUV ทรง Fastback ที่มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ 8 in 1 โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำ มาพร้อมกับสเปกที่น่าสนใจพร้อมกับฟังก์ชันที่โดดเด่น โดยเฉพาะระบบมัลติมีเดียภายใน และหลังคา Panoramic Glass Roof ที่ลดความร้อนได้พร้อมทั้งการกรองแสง UV ภายในตัว สำหรับแบตเตอรี่มีความจุ 82.5 kWh ขับขี่ได้สูงสุด 567 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย BYD Sealion 7

  • BYD Sealion 7 รุ่น Premium ราคา 1,249,900 บาท
  • BYD Sealion 7 รุ่น AWD Performance ราคา 1,399,900 บาท

หมายเหตุ : มีการปรับราคาขึ้นหลังช่วงโปรโมชั่น Early Bird จากงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Geely EX5

2. Geely EX5

สำหรับ Geely EX5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวมาแล้วได้รับกระแสที่ดีไม่แพ้กับรุ่นดังอย่าง BYD ATTO 3 และ NETA X โดยตัวรถใช้โมเดลสถาปัตยกรรม Geely Electric (GEA) โดยมีจุดเด่นคือ เทคโนโลยี Short Blade Battery ติดตั้งแบบ CTB Cell – to – Body ผลิตโดย SVOLT พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ 11 in 1 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ให้สมรรถนะที่ทรงพลัง โดยตัวรถถูกออกแบบให้มีความอเนกประสงค์ ด้วยการเพิ่มพื้นที่ของห้องโดยสารมาให้กว้างมากขึ้น

เรียกได้ว่า Geely EX5 เป็นรถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์คนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า EV สำหรับการใช้งานในครอบครัว นอกจากนี้ ตัวรถยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง Hello Geely และที่ขาดไม่ได้คือ มีหลังคากระจก Panoramic Roof ส่วนแบตเตอรี่เองก็ถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดี เพราะใช้แบตเตอรี่ LFP แบบ Aegis short blade 60.22 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 495 กม. (มาตรฐาน CLTC) สำหรับรุ่น Pro

ราคาจำหน่าย Geely EX5

  • Geely EX5 Pro ราคา 899,000 บาท
  • Geely EX5 Max ราคา 989,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Aion V

3. Aion V

สำหรับ Aion V ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาแรงของปี 2025 นี้ เพราะเป็นรถ SUV 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบให้มีความสมบุกสมบันมากขึ้น พร้อมลุยได้มากกว่า Aion Y Plus โดยโหมดการขับขี่มี 4 รูปแบบ คือ Comfort, Sport, Eco และ Max Eco ส่วนระบบ Regenerative Braking ก็ปรับได้ถึง 3 ระดับเช่นกัน

และในด้านของแบตเตอรี่ ใช้ Magazine Battery Lithium-ion (LFP) ความจุ 75.3 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front – Wheel Drive ให้กำลังสูงสุด 224 แรงม้า วิ่งได้ไกลสูงสุด 602 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) และที่ขาดไม่ได้คือ ภายในรถมีหลังคากระจก Panoramic Roof แบบ Fixed และตู้เย็นคอนโซลกลางที่ทำความเย็น – ร้อน ได้ตั้งแต่ -15 ไปจนถึง 50 องศา

ราคาจำหน่าย Aion V

  • Aion V ราคา 1,029,900 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Tesla Model Y Juniper 2025

4. Tesla Model Y 2025

ถ้าหากให้นึกถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ยังคงเป็นกระแสและได้รับความนิยมในไทย ก็คือ Tesla Model Y 2025 หรือ New Model Y Juniper ที่ต่อยอดมาจากโมเดล Y ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายอันดับ 1 ของโลก โดยในรุ่นปี 2025 นี้ มีการอัปเกรดความสามารถในการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ระยะทางในการขับขี่ หรือแม้แต่ห้องโดยสารที่เงียบยิ่งกว่าเดิม โดยที่ยังคงความเรียบหรูตามสไตล์เทสล่าเช่นเดิม

แต่ที่โดดเด่นคือ ไฟหน้าส่องสว่างตอนกลางวันที่ไร้รอยต่อ พร้อมกับไฟท้ายแบบ Halo Tailight ที่ผลิตโดยการแพร่กระจายของแสงทางอ้อม ทอดเป็นแนวยาวตลอดทั้งชิ้นเป็นรุ่นแรกของโลก ส่วนการขับขี่มีการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ทั้งหมด ทำให้มีความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น เก็บเสียงได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการใช้พวงมาลัยใหม่ที่ตัดก้านคันเกียร์ออกจากรุ่นเดิม ส่วนแบตเตอรี่ใช้ลิเธียมไอออน LEP 62.5 kWh วิ่งได้ไกล 466 กม. และ NMC 78.4 kWh วิ่งได้ไกล 551 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย Tesla Model Y 2025

  • Tesla Model Y 2025 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ราคาเริ่มต้น 1,769,000 บาท
  • Tesla Model Y 2025 รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาเริ่มต้น 2,069,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Leapmotor C10

5. Leapmotor C10

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Leapmotor C10 2025 ก็เป็นอีกหนึ่งรถ EV รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน โดยเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024 นำเข้า CBU จากจีน ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม SUV 5 ที่นั่ง เน้นการใช้งานที่มีพื้นที่สัมภาระกว้างขวาง แต่ไม่กระทบกับห้องโดยสาร มีอุปกรณ์การใช้งานที่ครบครัน และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบปฏิบัติการ LEAP OS 4.0 ที่พัฒนามาเพื่อการใช้งานรถยนต์โดยเฉพาะ ส่วนการใช้งานภายในรถก็ครบครันด้วยระบบมัลติมีเดีย อาทิ จอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมคำสั่งเสีย OTA ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีให้ไม่อั้น ทั้งการควบคุมความเร็ว การป้องกันรถพลิกคว่ำ และระบบปลดล็อกเมื่อมีการชน ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Lithium – ion 69.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 577 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย Leapmotor C10

  • Leapmotor C10 ราคา 1,098,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Deepal E07

6. Deepal E07

รถยนต์ไฟฟ้า 100% จากค่าย ChangAn Thailand ก็ต้องยกให้กับ Deepal E07 2025 ที่มีจุดเด่นคือ ดีไซน์ทันสมัย หรูหรา และมีความอเนกประสงค์ตามสไตล์ของรถ SUV โดยตัวรถมีฟังก์ชันการใช้งานที่ช่วยเรื่องการขับขี่หลายตัว แต่ที่พิเศษมากกว่าก็คือ การออกแบบให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมระหว่างรถ Pickup และ SUV ส่วนภายในและภายนอกก็ยังคงสไตล์การออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิลล่าเคลื่อนที่” มีหลังคา Panoramic Glass Roof พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า มีโหมดการขับขี่ให้ใช้ 4 โหมด คือ ECO, Comfort, Sport และ Customize ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Ternary Lithium (NMC) ความจุ 89.98 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 640 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย Deepal E07

  • Deepal E07 Plus RWD ราคา 1,699,000 บาท
  • Deepal E07 Performance AWD ราคา 2,099,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 JAECOO 6

7. JAECOO 6

และอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% สัญชาติจีนที่มาแรง จากเครือ Chery ก็คือ JAECOO 6 รถ EV ตัวถัง B-SUV ที่ออกแบบในสไตล์แบบกล่อง ดูบึกบึน แข็งแรง และมีความทรงพลังในตัว โดยตัวรถถูกออกแบบมาให้มีความเป็นรถสายออฟโรด ที่อยู่ในไซซ์ใกล้เคียงกับ BYD ATTO 3, ZEEKR X และมีขนาดใหญ่กว่า OMODA C5 EV แต่ก็ยังมีไซซ์ที่เล็กกว่า NETA X เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับตัวรถมาพร้อมกับเรดาร์สำหรับการขับเหลือระบบการขับของรถ ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน โดดเด่นด้วยหลังคา Panoramic Sunroof องศาของรถออกแบบมาให้มีความกว้าง ทำให้ขึ้น – ลง ทางลาดชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกล่องสำหรับเก็บสัมภาระด้านหลังที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 10 กิโลกรัม ส่วนประตูท้ายเปิดออกแบบด้านข้างเหมือนประตูตู้กับข้าว ส่วนแบตเตอรี่ใช้ LFP ความจุ 65.69 kWh วิ่งได้ไกล 426 กม. ในรุ่น 2WD และแบตความจุ 69.77 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 418 กม. ในรุ่น 4WD วิ่งได้ไกลสูงสุด 418 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย JAECOO 6

  • JAECOO 6 รุ่น Long Range 2WD ราคา 1,099,000 บาท
  • JAECOO 6 รุ่น Long Range 4WD ราคา 1,249,000 บาท

มองหา Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก Plughaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้อ่านรีวิว รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่เปิดตัวในไทย พร้อมราคาจำหน่ายกันไปแล้ว มีความสนใจเลือกซื้อรถยนต์ EV ก็สามารถไป Test Drive หรืออ่านสเปกเพิ่มเติมตามรุ่นย่อยที่ต้องการได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศไทย และหากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่อยากติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน ไว้รองรับการใช้รถยนต์ EV ในที่พักอาศัย สามารถเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านในราคาสุดพิเศษกับทาง Plughaus Thailand ได้แล้ววันนี้ การันตีการติดตั้งที่มีมาตรฐาน จากทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

มาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP คืออะไร ทำไมคนใช้รถต้องรู้จัก

หลังจากที่มีกระแสข่าวการทดสอบมาตรฐานของ NETA V รถยนต์ไฟฟ้าราคาสุดประหยัด ในด้านมาตรฐานการชนของ ASEAN NCAP ที่ได้คะแนนการทดสอบไป 0 ดาว ก็ทำให้มาตรฐานความปลอดภัย NCAP ได้รับการพูดถึงมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมารู้จักกับมาตรฐานดังกล่าวนี้กันให้มากขึ้นว่า ASEAN NCAP คืออะไร มีการทดสอบอะไรบ้าง แล้วมีความสำคัญอย่างไรต่อผู้ใช้รถ

มาตรฐานความปลอดภัย NCAP Rating การชน

รู้จักมาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP คืออะไร?

คำว่า NCAP (New Car Assessment Program) คือ โครงการประเมินรถยนต์ใหม่ ที่จะใช้ทดสอบและประเมินความปลอดภัยของรถยนต์ โดยจะทำการทดสอบในหลาย ๆ ด้าน ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยการทดสอบ “การชน” ที่จะทำให้เห็นถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในรถ อาทิ การทดสอบเรื่องระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบการเตือนการชน ระบบควบคุมความเร็วโดยอัตโนมัติ ฯลฯ รวมถึงการปกป้องผู้โดยสารและผู้เดินถนน ซึ่งจะมีการประเมินในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป

โดยมาตรฐาน NCAP ที่คุ้นชินกันมากที่สุด คือ EURO NCAP ที่ภูมิภาคยุโรปใช้ ในขณะที่ภูมิภาคออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะเรียกกันว่า AUSTRALASIAN NCAP และทางด้านภูมิภาคอาเซียนของเรา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย จะใช้มาตรฐาน ASEAN NCAP ที่เริ่มใช้ทดสอบรถมานับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา

การทดสอบ Tesla Model Y โดย EURO NCAP

รูปแบบการทดสอบรถ ด้วยคะแนน NCAP Rating

ในการทดสอบ NCAP ไม่ว่าจะเป็นของภูมิภาคใด ๆ ก็ตาม หลักการทดสอบจะนำรถที่จำหน่ายมาทดสอบร่วมกับหุ่นจำลองคล้ายมนุษย์ เพื่อแทนที่ผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก ซึ่งในการทดสอบการชน จะแบ่งการทดสอบออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ พร้อมการระบุสีจากการทดสอบการชน โดยสีเขียวคือปลอดภัย สีเหลืองคือดี สีส้มคือพอใช้ สีน้ำตาลคือต่ำ และสีแดงคือต่ำมาก

  • การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ หรือ AOP (Adult Occupant Protection) คิดเป็น 40%
  • การปกป้องผู้โดยสารเด็ก หรือ COP (Child Occupant Protection) คิดเป็น 20%
  • การปกป้องคนเดินเท้าหรือคนเดินถนน (Vulnerable Road Users Protection) คิดเป็น 20%
  • ระบบความปลอดภัยขั้นสูง (Advanced Safety Assistance) คิดเป็น 20%

ในการทดสอบของ NCAP จะมีการประเมินคุณภาพและให้คะแนน NCAP Rating ทั้งหมด 5 ระดับ โดยแทนคะแนนด้วยรูปดาว ซึ่งคะแนน 5 ดาว จะหมายถึงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูง อาทิ ในการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y 2022 โดย EURO NCAP ได้รับดาวทั้งหมด 5 ดวง ในขณะที่หากเทียบกับการทดสอบของ Neta V โดย ASEAN NCAP ที่เป็นประเด็นนั้น อยู่ในระดับ 0 ดาว โดยสัดส่วนของคะแนนถือว่าน้อยมาก ๆ เพราะสามารถทำคะแนนรวมไปได้ทั้งหมดเพียง 28.55 คะแนนเท่านั้น

การทดสอบ Neta V โดย ASEAN NCAP

ความสำคัญของมาตรฐานการชน NCAP ต่อยานยนต์

  • ทำให้เห็นถึงมาตรฐานความปลอดภัย เพราะ NCAP ถือเป็นมาตรฐานสากลในการควบคุมคุณภาพของรถยนต์ทุกประเภท ทำให้ผู้บริโภคสามารถเทียบระดับความปลอดภัยของรถยนต์ได้
  • ช่วยให้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้ง่ายขึ้น เพราะในการใช้รถต้องคำนึงถึงระบบความปลอดภัยเป็นหลัก รวมถึงการปกป้องทั้งผู้ใช้และผู้ร่วมถนน เช่น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันต้องสามารถลดความเสียหายต่อชีวิตได้ เป็นต้น
  • ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตเห็นพัฒนารถที่มีคุณภาพและปลอดภัย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ตระหนักถึงความสำคัญในด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ขับขี่โดยตรง
  • เพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เพราะผู้บริโภคสามารถเลือกรถที่มีความปลอดภัย ในงบที่ตัวเองเอื้อมถึงได้
  • เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะรถยนต์ที่ได้รับคะแนน NCAP Rating อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและปลอดภัย จะได้รับความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคมากกว่า คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะผู้ขับขี่จะต้องคำนึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก มากกว่าการเลือกรถที่มีฟังก์ชันเด่น ๆ หรือเทคโนโลยีภายในรถ

ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่าลืมดูมาตรฐาน NCAP ทุกครั้ง

ถึงแม้ว่ามาตรฐาน ASEAN NCAP และ EURO NCAP ยังไม่ได้มีการบังคับหรือว่ามีผลตามกฎหมายในการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน ที่ผู้ใช้รถควรนำมาเป็นแนวทางในการเลือกใช้รถยนต์ หรือการเลือกซื้อรถใหม่ในครั้งต่อไป โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ตัวแบตเตอรี่เองก็มีราคาสูงเกือบ 50% ของราคารถ ที่หากมีมาตรฐาน NCAP มาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย ก็น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้รถได้ไม่มากก็น้อย

ชาร์จรถปลอดภัย ด้วยมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ที่ควรรู้!

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ที่ได้รับการรับรองจาก MEA และ PEA โดยมาตรฐานการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส หรือ 3 เฟส ก็จะมีมาตรฐานการติดตั้งเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้การใช้งานเครื่องชาร์จรถไฟฟ้ามีความปลอดภัย ไม่เสี่ยงอันตราย ที่สำคัญคือ สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ภายในบ้านได้ โดยไม่เกิดปัญหาเรื่องไฟฟ้า Overload หรือ การใช้งานไฟฟ้าที่เกิดขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าที่มีอยู่นั่นเอง

มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger จาก กฟภ. และ กฟน

มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger จาก กฟภ. และ กฟน

นการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน Home Charger นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) แนะนำการเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนติดตั้ง EV Charger สำหรับที่อยู่อาศัยหรือกิจการขนาดเล็ก ที่ไม่มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ (ใช้สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัว) ว่าในเบื้องต้นจะต้องดำเนินการตรวจสอบขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้า ขนาดสายเมน ขนาดเมนเซอร์กิตเบรกเกอร์ และเซอร์กิตเบรกเกอร์ของวงจรย่อย ว่าในปัจจุบันนั้นเพียงพอต่อการติดตั้งเครื่องชาร์จมากน้อยแค่ไหน ต้องแก้ไขหรือไม่ หรือต้องดำเนินการอะไรเพิ่มเติมบ้าง

1. เพิ่มขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าเดิม และปรับปรุงระบบไฟฟ้า

มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger จาก กฟผ. (PEA) นั้น จะให้ความสำคัญกับระบบไฟฟ้าภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้น ก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จรถ EV จะต้องดูขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าเดิมเสียก่อน ว่าเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ สามารถรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านได้ไหม หากไม่ได้ก็ต้องทำการเพิ่มขนาดมิเตอร์เครื่องเดิม พร้อมปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้เรียบร้อย

1.1 การขอเพิ่มขนาดมิเตอร์เดิม

  • ระบบ Single -Phase ขนาด 32A (7.4 kW) เพิ่มเป็น Single-Phase ขนาด 30(100)A
  • ระบบ Three-Phase ขนาด 32A (22 kW) เพิ่มเป็น Three-Phase ขนาด 30(100)A

1.2 การขอติดตั้งมิเตอร์เครื่องที่ 2

  • ระบบ Single -Phase ขนาด 32A (7.4 kW) เป็นมิเตอร์ Single-Phase ขนาด 15(45)A
  • ระบบ Three-Phase ขนาด 32A (22 kW) เป็นมิเตอร์ Three-Phase ขนาด 15(45)A

โดยการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน หรือ EV Charger ทาง กฟน. ได้อนุโลมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถขอติดตั้งเครื่องชาร์จได้จากการโหลดใช้ไฟฟ้าเดิม โดยการติดตั้งสายเมนวงจรที่ 2 โดยจะต้องเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ให้เหมาะสม และการใช้งานรวมทั้งหมด จะต้องไม่เกินขนาดที่มิเตอร์รองรับ

เช่นเดียวกับทาง กฟภ. ที่อนุญาตให้ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าลูกที่สอง สำหรับชาร์จรถยนต์ EV โดยเฉพาะ โดยการเดินสายเมนที่ 2 จากมิเตอร์ลูกใหม่ไปยังจุดติดตั้งโดยตรง ซึ่งมิเตอร์ลูกที่ 2 ไม่จำเป็นต้องมีขนาดและเป็นประเภทเดียวกันกับมิเตอร์ไฟฟ้าลูกแรก

2. การติดตั้งอุปกรณ์โดยช่างผู้ชำนาญ

นอกจากนี้ ทาง กฟน. (MEA) ยังได้แนะนำเพิ่มเติม สำหรับการติดตั้ง EV Charger ด้วยว่า ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าภายในบ้าน ทั้งแบบเต้ารับสำหรับสายชาร์จแบบพกพา หรือเครื่องชาร์จแบบติดผนัง (Wallbox) จะต้องผ่านการตรวจสอบโดยช่างผู้ชำนาญโดยเฉพาะ รวมถึงการติดตั้งสายวงจร การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินไฟฟ้า และหลักดินวงจรชาร์จ EV จะต้องติดตั้งตามมาตรฐานความปลอดภัยเท่านั้น และต้องใช้อุปกรณ์ที่มีการรับรองมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและระบบไฟฟ้าภายในบ้าน

การติดตั้ง EV Charger ต้องดูอะไรบ้าง

ก่อนติดตั้ง EV Charger ต้องดูอะไรบ้าง?

นอกเหนือจากการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน. ที่กำหนดเอาไว้แล้ว ผู้ใช้รถก็ต้องตรวจสอบรายละเอียดอื่น ๆ ก่อนติดตั้งเช่นกัน โดยเฉพาะประเภทของหัวปลั๊ก และการเลือกจุดสำหรับติดตั้ง EV Charger ในบ้าน

  • ประเภทของหัวปลั๊กรถยนต์ โดยมีทั้ง Type 1, Type 2, CHAdeMO, GB/T และ CSS ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ประเภท Type 2 ในการติดตั้ง Home Charger มากที่สุด และใช้กับรถได้หลายรุ่น
  • การเลือกจุดสำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะต้องเลือกจุดที่มีระยะห่างระหว่างที่ชาร์จและจุดจอดรถไม่เกิน 5 เมตร เป็นจุดที่สามารถเดินสายไฟไปยังตู้เมนได้สะดวก มีหลังคาหรือที่ป้องกันละอองฝนได้ดี
  • เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีหลากหลายรุ่นและหลายราคาให้เลือกใช้ โดยหลาย ๆ รุ่นก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย มีฟังก์ชันการตั้งเวลาเปิด – ปิด และในบางรุ่นสามารถควบคุมการทำงานผ่านทางสมาร์ตโฟนได้ด้วย
ติดตั้ง Home Charger เลือก PlugHaus

ติดตั้ง Home Charger กับ PlugHaus จบ ครบ ในที่เดียว

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมองหา Home Charger ที่ดีและมีมาตรฐาน ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยฟังก์ชันที่ล้ำสมัย พร้อมเทคโนโลยีที่อัดแน่น อย่าลืมเลือกติดตั้ง EV Charger กับทาง PlugHaus Thailand ตัวจริงเรื่องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่มีมาตรฐานจาก กฟผ. กฟน. และ ERC โดยเรามีเครื่องชาร์จรถ EV ให้เลือกหลากหลายรุ่น ทั้ง Wallbox, Caro Series รวมถึง Tesla Wall Connector และที่สำคัญคือ ติดตั้งเครื่องชาร์จรุ่นใดก็ได้กับทาง PlugHaus และ Evolt สามารถออก E-Tax สำหรับลดหย่อนภาษีได้ด้วย!