โปรเด็ด Tesla Home Charging All-Vehicle Package เริ่มต้น 49,990.-

สำหรับผู้ใช้บริการที่ใช้รถยนต์เทสล่า ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็ตาม สามารถใช้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Home Charging All-Vehicle Package จากทีมงานที่มากประสบการณ์ของทาง Evolt และ PlugHaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ด้วยมาตรฐานการติดตั้ง Home Charger จาก MEA และ PEA ทั้งยังได้รับรางวัลการันตีมาตรฐานจาก Tesla Thailand ด้วยแพ็กเกจสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียงแค่ 49,990 บาท!

รีวิวงานติดตั้งเครื่องชาร์จ Tesla Home Charging All-Vehicle Package

แพ็กเกจพิเศษ! ด้วยบริการติดตั้ง Tesla Home Charging ครบวงจร

สำหรับสิทธิพิเศษของชาวเทสล่า หรือผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่อยากติดตั้งเครื่องชาร์จรถ Tesla Home Charging ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยแพ็กเกจสุดคุ้มอย่าง Tesla Home Charging All-Vehicle Package นั้น ผู้ใช้บริการที่เลือกตั้งตั้ง EV Charger จะได้รับสิทธิพิเศษที่ครอบคลุม ทั้งบริการติดตั้งจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับการการันตีมาตรฐานการติดตั้งจากทาง Tesla รวมถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานระบบ ที่จ่ายเพียงราคาเดียวก็สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จได้แบบครบวงจร

โดยเฉพาะเครื่องชาร์จ Home Charger ที่ไม่ได้มีดีแค่ดีไซน์หรูหรา ทันสมัย เข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์เท่านั้น แต่จุดเด่นคือ การ Custom ที่ผู้ใช้งานสามารถออกแบบและเลือกหน้ากากหรือสีกรอบหน้าของตัว Wallbox ได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ Tesla ได้อย่างที่ใจต้องการ และที่สำคัญคือ เมื่อติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านกับทาง PlugHaus วันนี้ ทางเรามีการรับประกันคุณภาพสินค้าหลังติดตั้งให้อีกถึง 4 ปี

ติดตั้งเครื่องชาร์จ Tesla Home Charging

มั่นใจได้มากกว่า ด้วยเครื่องชาร์จ Tesla Universal Wall Connector

ในการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในแพ็กเกจ Charging All-Vehicle Package นั้น เราจะติดตั้งด้วยการใช้เครื่องชาร์จ Tesla Universal Wall Connector จำนวน 1 เครื่อง ที่มาพร้อมกับดีไซน์สุดทันสมัย พร้อมระบบตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านจากวิศวกรไฟฟ้าและช่างผู้ชำนาญการโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส หรือว่า 3 เฟส ก็สามารถวางวงจรการติดตั้ง Home Charger ได้ตรงตามมาตรฐาน ใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น

พร้อมการันตีมาตรฐานการติดตั้ง ด้วยอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ

ในการติดตั้งทางทีมงานยังเลือกใช้ลูกเซอร์กิตเบรกเกอร์ (MCBs) ที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยป้องกันวงจรไฟฟ้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น วงจรแสงสว่าง วงจรเต้ารับ และระบบป้องกันภายในบ้าน ทำให้การใช้ไฟฟ้าไม่ติดขัด อาทิ ลดความสุ่มเสี่ยงการใช้กระแสไฟฟ้าเกินกำหนดจนทำให้ไฟดับ ทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในงานติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Home Charging ยังมีการติดตั้งเบรกเกอร์เพื่อป้องกันไฟดูดเอาไว้ให้ด้วย โดยมาพร้อมกับกล่อง Consumer Unit ที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ตู้ไฟ โดยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการจ่ายไฟจากมิเตอร์ไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในบ้าน เรียกได้ว่า เป็นศูนย์กลางของระบบไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ทั้งหมดภายในบ้านนั่นเอง

และที่ขาดไม่ได้คือ การใช้สายไฟคุณภาพสูงอย่าง CV-XPLE ขนาด 6 ตร.มม. ที่ทนความร้อนได้สูงสุดถึง 90 องศาเซลเซียส รองรับการเสียดสีได้ดี ไม่ลามไฟ เหมาะสำหรับการใช้งานสำหรับการติดตั้ง Home Charging โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับท่อร้อยสายไฟที่ทางเราใช้ชนิด EMT ความยาวสูงสุด 15 เมตร มีจุดเด่นคือ ความทนทานและสามารถดัดได้ง่าย ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสายไฟได้ เช่น การโดนสารเคมี

เพราะฉะนั้น ทางผู้ใช้งานหรือผู้ที่เลือกติดตั้งเครี่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่เลือกติดตั้งกับทีมงานของ PlugHaus Thailand หรือ Evolt สามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอน ว่าจะได้รับการดูแลและการติดตั้งเครื่องชาร์จจากทีมงานที่มีประสบการณ์สูง เข้าใจระบบไฟฟ้าเป็นอย่างดี และมีความชำนาญในการติดตั้ง Home Charger ในที่พักอาศัยโดยเฉพาะ

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Home Charging

โปรโมชั่นพิเศษ ราคาแพ็กเกจติดตั้ง Tesla Home Charging

สำหรับอัตราค่าบริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน Tesla Home Charging All-Vehicle Package เป็นราคาโปรโมชั่นรวมค่าเครื่อง พร้อมบริการติดตั้ง (ไม่มีบวกเพิ่ม) โดยจะมี 2 รูปแบบ คือการติดตั้งระบบปกติ และการติดตั้งพร้อมระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ดังนี้

1. การติดตั้งระบบปกติ (Main Circuit Installation)

  • ราคา 49,990 บาท สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส
  • ราคา 53,990 บาท สำหรับระบบไฟฟ้า 3 เฟส

2. การติดตั้งพร้อมระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 (Second Circuit Installation)

  • ราคา 51,990 บาท สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส
  • ราคา 55,990 บาท สำหรับระบบไฟฟ้า 3 เฟส

หมายเหตุ : โปรโมชั่นและราคาแพ็กเกจ เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จ Tesla Home Charging ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้มอย่าง All-Vehicle Package ที่จบ ครบ ทุกความต้องการ สามารถติดต่อทีมงานของทาง PlugHaus ได้แล้ววันนี้ พร้อมแจ้งความต้องการได้เลยทันที โดยเรากล้าการันตีมาตรฐานการติดตั้ง ที่ได้รับการรับรองจากทาง Tesla โดยตรง ด้วยรางวัลที่ได้รับในงาน Thailand Home Charging Partner Conference 2024 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เรายังผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งจาก PEA และ MEA ด้วยเช่นกัน

รีวิว EN+ Caro Series เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มาตรฐาน IP65

หากพูดถึง Home Charger ที่มีราคาสบายกระเป๋า และมีประสิทธิภาพการใช้งานที่ครบครัน เชื่อว่าผู้ใช้งานจริงหลาย ๆ คน ก็ต้องแนะนำที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า “EN+ Caro Series” อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่มีดีไซน์กะทัดรัด มินิมอล และสามารถติดตั้งได้กับทุกพื้นที่ของบ้านแล้ว ยังใช้งานผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย เรียกได้เลยว่า หากใครกำลังมองหาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ที่ใช้งานง่ายและมีฟังก์ชันที่ครบครัน Caro Series ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนใช้รถยนต์ EV

รีวิวเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Serie

จุดเด่นของเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Series

สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series นั้น ถือเป็นหนึ่งใน Home Charger ที่โดดเด่นเรื่องการออกแบบที่มีความหรูหรา และผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ครบครัน โดยที่ยังคงให้ความสะดวกสบายต่อผู้ใช้งานอย่างสูงสุด นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Red Dot Design Award 2023 ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า เป็นเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน มีความเรียบหรู ไซซ์มินิ ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 3.1 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่จัดเต็ม เข้าได้กับบ้านทุกสไตล์ ทั้งยังรองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จ Type 2 ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าได้หลายรุ่นที่จำหน่ายในไทย อาทิ ORA Good Cat, BYD Atto, BYD Seal, ChangAn Deepal E07, MG EP Plus ฯลฯ

ฟังก์ชันการใช้งานของเครื่องชาร์จ EN+ Caro Series

  • การควบคุมการชาร์จอย่างชาญฉลาด ด้วยระบบ Dynamic Load Management
  • สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi – Fi และ Bluetooth
  • ใช้งานและควบคุมการทำงานได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน EV Chargo เมื่อเชื่อมต่อ Ethernet
  • สามารถกันน้ำและฝุ่นได้ในระดับ IP65 ใช้งานได้ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
  • มีมาตรฐานการกันกระแทก IK8 ทำให้ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
  • รองรับการใช้งานได้ด้วยระบบไฟฟ้า 1 เฟส ด้วยกำลังไฟ 7.4 kW
  • ใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Type 2
  • โหมดการชาร์จอัจฉริยะด้วย RFID, Plug & Play และ Application
  • มีระบบ Load Balance ที่ทำให้การชาร์จมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • มีระบบไฟแบบ Multi Coloured RGB Light Indication
  • ระบบสวิตช์แบบออโต้ หรือ Auto-Switch ระหว่าง 1Phase และ 3Phase
  • รองรับอุณหภูมิต่ำสุดที่ -30 องศาเซลเซียส และสูงสุดที่ 50 องศาเซลเซียส

สีตัวเครื่อง

  • สีดำ Glossy Black
  • สีขาว Pure White
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Serie พร้อมราคาจำหน่าย

โปรโมชั่น EN+ Caro Series พร้อมราคาจำหน่าย

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series 7.4 kW หากเป็นราคาเครื่องเปล่า รุ่นสายยาว 7 เมตร ปัจจุบันมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 23,900 บาท แต่หากลูกค้าท่านใดที่ต้องการบริการติดตั้งแบบครบวงจร จากทางทีมงานของทาง PlugHaus Thailand จ่ายเพียงแค่ 34,900 บาท ก็สามารถรับบริการการติดตั้ง Home Charger พร้อมการออกแบบระบบไฟภายในบ้าน ให้รองรับการใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านได้แบบครบ จบ ในที่เดียว และที่สำคัญคือ มีบริการหลังการขายให้อย่างครบครัน เพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานได้มากที่สุด

ติดตั้งเครื่องชาร์จ EN+ Caro Serie กับ PlugHaus Thailand

มองหาเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านราคาดี พร้อมบริการติดตั้ง เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ใช้งานรถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าทุกชนิด ที่กำลังมองหาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ใช้งานได้อย่างครอบคลุมกับความต้องการ เหมาะกับรถยนต์ EV ที่ใช้อยู่ และมีราคาสบายกระเป๋า สามารถเลือกติดตั้ง EV Home Charger กับทาง PlugHaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรามี EV Charger ให้เลือกหลากหลายรุ่นจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น EN+ Caro Series 7.4 kW, Teison Smart Mini, Wallbox Pulsar Pro, Wallbox Pulsar Plus และ Wallbox Pulsar Max

โดยทาง PlugHaus นอกจากจะมีบริการให้คำแนะนำเรื่องการเลือก Home Charger จากทางทีมงานมืออาชีพ โดยเฉพาะแล้ว เรายังผ่านการรับรองด้านการติดตั้งจากทาง MEA และ PEA โดยวิศวกรไฟฟ้าที่ผ่านการรับรอง ที่มีความเชี่ยวชาญงานระบบโดยตรง ทั้งการวางแผนการติดตั้งให้เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าที่บ้านของคุณใช้ การแนะนำวิธีดูแลรักษา Home Charger ให้ใช้งานได้ยาวนาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายใน และที่สำคัญคือ เรามีบริการรับประกันหลังการติดตั้ง พร้อมประกันวินาศภัยให้เพิ่มเติม สำหรับลูกค้าที่ติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ

รีวิว Teison Smart Mini เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขนาด 7.4 – 22 KW

ในบรรดาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่เหมาะสมกับรถ PHEV และรถ EV ที่มีราคาสบายกระเป๋า และมีฟังก์ชันที่น่าใช้งาน ก็ต้องยกให้กับ Teison Smart Mini ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่น่าสนใจมากมาย จนขึ้นแท่นเป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านที่น่าใช้งานที่สุดในปี 2024 และที่สำคัญคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wi – Fi และ Bluetooth เพราะฉะนั้น มาดูรีวิวฉบับเต็มกัน! ว่าเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ Home Charger อย่าง Teison Smart Mini Wallbox มีฟังก์ชันที่น่าสนใจอะไรบ้าง จะคุ้มค่ากับราคาค่าตัวหรือไม่?

Review Teison Smart Mini Wallbox 7.4 kW

จุดเด่นของ Teison Smart Mini เครื่องชาร์จสุดมินิมอล

สำหรับจุดเด่นของเจ้า Teison Smart Mini นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ถูกออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด ดูทันสมัย และมีดีไซน์ที่เรียบแต่ล้ำสมัย อัดแน่นด้วยฟังก์ชันเด่น ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • มีขนาดที่เล็กและมินิมอล ติดตั้งง่าย เหมาะกับทุกพื้นที่การใช้งาน
  • Teison Smart Mini มีกำลังไฟ 7.4 kW
  • ใช้ระบบการชาร์จแบบ Plug and Charge
  • แค่เสียบปลั๊กก็เริ่มต้นการชาร์จได้ทันที
  • สายชาร์จ Home Charger ยาวสูงสุด 7 เมตร
  • มีมาตรฐาน IP65 ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์ และป้องกันน้ำได้จากทุกทิศทาง

สถานะในการใช้งาน

  • ไฟสีฟ้า หมายถึง พร้อมใช้งาน
  • ไฟสีเขียว หมายถึง อยู่ระหว่างการชาร์จไฟ
  • เมื่อเริ่มชาร์จ จะมีสัญญาณแจ้งเตือนที่หัวชาร์จ

การใช้งานของ Teison Smart Mini

สำหรับเครื่องชาร์จ Teison รุ่น Smart Mini เป็นเครื่องชาร์จที่ใช้กับระบบไฟฟ้า 1 เฟส มีขนาด 32A ใช้หัวชาร์จประเภท Type 2 เพราะฉะนั้น จึงเป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถใช้งานกับรถ EV ครอบคลุมมาก ๆ เพราะโดยส่วนมากแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำตลาดในเมืองไทย จะรองรับหัวชาร์จ Type 2 เป็นหลัก ดังนั้น จึงมั่นใจได้เลยว่า เครื่องชาร์จ Teison Smart Mini จะสามารถใช้งานกับรถยนต์ EV ของคุณได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ จุดเด่นที่น่าสนใจของเจ้า Teison รุ่น Smart Mini ก็คือ คุณสมบัติการทนต่อความร้อนและความเย็น โดยความเย็นต่ำสุดที่รองรับได้คือ -30 องศา และสูงสุดอยู่ที่ 50 องศา ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศแบบไหน ก็ใช้งานได้อย่างปลอดภัย จะอยู่ที่ร่มหรือกลางแจ้งก็ชาร์จไฟได้โดยไม่ต้องกังวล

โปรโมชั่นพิเศษ เมื่อติดตั้งเครื่องชาร์จ Teison Smart Mini

ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่สนใจติดตั้ง Home Charger อย่างเจ้า Teison EV Charger รุ่น Smart Mini กับทาง PlugHaus Thailand ในวันนี้ รับสิทธิพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • Teison Smart Mini รุ่น 7 kW สายยาว 7 เมตร ราคาเพียง 17,900 บาท
  • พิเศษ บริการติดตั้งจากผู้เชี่ยวชาญรวมค่าเครื่อง ราคาเพียง 29,900 บาท
  • รับประกันตัวเครื่องยาวนานสูงสุด 2 ปี
  • ประกันวินาศภัย การันตีความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

หมายเหตุ : ปัจจุบันทาง PlugHaus จำหน่ายเฉพาะ Teison Smart Mini รุ่น 7 kW เท่านั้น

ติดตั้ง Teison Smart Mini เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน กับ PlugHaus

ติดตั้ง Teison Smart Mini ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน จะมีให้เลือกกันอย่างหลากหลาย แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการเลือกผู้ให้บริการ คือ ต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA และที่ขาดไม่ได้คือ มีการประเมินความเสี่ยงและพื้นที่ในการติดตั้ง Home Charger อย่างละเอียด เพื่อป้องกันปัญหาจากระบบไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นได้

ดังนั้น หากต้องการเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Teison Smart Mini Wallbox เพียงเลือก PlugHaus Thailand เพียงเท่านี้เราก็พร้อมจะดูแลคุณแบบครบวงจร ตั้งแต่การเลือกเครื่องชาร์จที่เหมาะสม พร้อมการวางระบบไฟที่บ้านให้มีความเพียงพอต่อการใช้งาน และที่ขาดไม่ได้คือ เรามีบริการหลังการขายที่ครบวงจร เพื่อให้คุณมั่นใจได้มากกว่าเมื่อเลือกติดตั้ง Home Charger กับเรา

รีวิว Riddara RD6 กระบะไฟฟ้าคันแรกในไทย เริ่ม 899,000 บาท

Riddara RD6 เป็นรถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกของไทย ที่เปิดตัวมาพร้อมจัดจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยเป็นรถกระบะที่ส่งตรงจากเครือ Geely ที่ออกแบบมาเพื่อสายออฟโรดโดยเฉพาะ ภายในโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อกเหมือนกับรถเก๋ง เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นรถ SUV ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถกระบะที่ใช้น้ำมัน เพราะฉะนั้น หากใครที่กำลังมองหา รถกระบะไฟฟ้า บอกเลยว่า Geely Riddara RD6 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งประสิทธิภาพการใช้งาน การบรรทุก และที่สำคัญคือ ลุยน้ำได้จริง! กับราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 899,000 บาท

รีวิว Riddara RD6 กระบะไฟฟ้า 100% คันแรกในไทย

Riddara RD6 กระบะไฟฟ้า 100% โดดเด่นด้วยการขับขี่แบบ Off-Road

รถกระบะไฟฟ้า Geely Riddara RD6 (ริดดาร่า) เป็นรถกระบะที่เพิ่งเข้ามาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดรถ EV ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานใหม่ NEV ที่มียอดขายมากที่สุดในจีน ด้วยส่วนแบ่งถึง 61.5% ซึ่งในประเทศไทยนั้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 และได้เผยโฉมให้ประชาชนได้มาสัมผัสคันจริงในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา

โดยจุดเด่นของตัวรถ Riddara RD6 คือการออกแบบมาให้มีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานตามยุคสมัยยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ ด้วยสเปกที่ครอบคลุมการขับขี่ ทั้งยังโดดเด่นด้วยไฟโลโก้ RIDDARA ด้านหน้าขนาดใหญ่ ชนิดที่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าเป็นรถกระบะ Riddara RD6 Thailand นอกจากนี้ ตัวด้านหน้ารถรุ่นท็อป 86 kWh ก็ยังมีช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า ที่มีความจุถึง 70 ลิตรมาให้อีกด้วย

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

สำหรับตัวรถออกแบบให้เป็นรถกระบะ 4 ประตูทุกรุ่น และรุ่นย่อยแต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกันที่ระบบขับเคลื่อน และขนาดแบตเตอรี่เท่านั้น ส่วนเรื่องการออกแบบตัวรถกระบะ RD6 นั้น มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม M.A.P (Multiplex Attached Platform) โดย Riddara RD6 ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 815 มม. และขับเคลื่อนขึ้นทางลาดชันได้สูงสุด 95% (รุ่น Horizon 4WD) เรียกว่า เป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์สาย Off-Road แบบเต็มสตรีมเลยก็ว่าได้

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

มิติตัวรถ Geely Riddara RD6

  • มิติตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 5,260 x 1,900 x 1,880 มม.
  • มิติกระบะ (ยาว x กว้าง x สูง) 1,525 x 1,450 x 540 มม.
  • ระยะฐานล้อ 3,120 มม.
  • ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

แบตเตอรี่ Riddara RD6 และระยะทางวิ่งสูงสุด

  • Riddara RD6 2WD แบตเตอรี่ 63 kWh วิ่งได้ระยะทาง 373 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 2WD แบตเตอรี่ 73 kWh วิ่งได้ระยะทาง 461 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 4WD แบตเตอรี่ 73 kWh วิ่งได้ระยะทาง 424 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 4WD แบตเตอรี่ 86 kWh วิ่งได้ระยะทาง 455 กม./ชาร์จ (NEDC)
รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%)

สีตัวถังและสีภายในห้องโดยสาร

สีตัวถังหรือสีภายนอก

  • สีเขียว หลังคาดำ Nordic Green / Black Top
  • สีขาว หลังคาดำ White Cloud / Black Top
  • สีดำ Black Night
  • สีเงิน Moonlit Silver
  • สีน้ำเงิน Serene Blue

สีภายในห้องโดยสาร

  • สีทูโทน น้ำตาล สลับดำ
  • สีทูโทน เขียวเข้ม สลับดำ
สเปกรถกระบะไฟฟ้า Riddara RD6 และการลุยน้ำ

ความสามารถของ Riddara RD6 ด้านการบรรทุก และลุยน้ำ

รุ่นมอเตอร์ 1 ตัว

  • รองรับการบรรทุกสูงสุด 1,030 กิโลกรัม
  • รองรับน้ำหนักการลากจูงสูงสุด 2,500 กิโลกรัม
  • ความสามารถในการลุยน้ำลึก 500 มิลลิเมตร

รุ่นมอเตอร์ 2 ตัว

  • รองรับการบรรทุกสูงสุด 1,030 กิโลกรัม
  • รองรับน้ำหนักการลากจูงสูงสุด 3,000 กิโลกรัม
  • ความสามารถในการลุยน้ำลึก 815 มิลลิเมตร
รีวิวภายใน Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

ระบบ Entertainment และความบันเทิง

โดยตัวระบบ Entertainment ภายในรถ Riddara RD6 นั้น ถือว่ามีให้มาแบบไม่มีกั๊ก แต่ในรุ่นย่อยจะมีความแตกต่างกันพอสมควร เช่น หน้าจอกลางในรุ่น 63 kWh จะมีขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนในรุ่น 73 kWh มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็น 14.6 นิ้ว เช่นเดียวกับตัวลำโพงที่ในรุ่นย่อยก็จะให้จำนวนมาไม่เท่ากัน โดยรุ่นท็อปมีถึง 8 ตำแหน่ง แต่ที่น่าสนใจคือ มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย 50 W มาให้ (ตั้งแต่รุ่น 73 kWh ขึ้นไป) พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รองรับการเชื่อมต่อหลายแบบ ทั้ง Wi-Fi, Apple CarPlay และ Carbit Link เรียกว่า มีให้ครบและจบภายในคันเดียว ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นท็อปสุดกันเลยก็ว่าได้

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า

ฟังก์ชันและระบบความปลอดภัย Riddara RD6

อุปกรณ์พื้นฐาน และฟังก์ชันการใช้งาน

  • ระบบ V2L สูงสุด 6 kW (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบระบายอากาศอัตโนมัติ Dual-Zone
  • แท่นชาร์จมือถือไร้สาย (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay
  • ระบบ Carbit link
  • กุญแจแบบสมาร์ทคีย์
  • ระบบ Keyless Entry (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone
  • ระบบปรับอากาศสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบกรองอากาศ PM2.5 และ CN95 (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • เบาะปรับเอนแบบ One-touch
  • การควบคุมระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน
รีวิวระบบความปลอดภัย รถกระบะ Riddara RD6

ระบบความปลอดภัย

  • กล้องมองหลังขณะถอยจอด (เฉพาะรุ่น 63 kWh)
  • กล้องมองภาพรอบคัน 540° พร้อมภาพใต้ท้องรถ (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB
  • ระบบ Auto Hold
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)
  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS)
  • รุ่น 63 kWh มีถุงลมนิรภัย 4 จุด นอกนั้น 6 จุด
  • ระบบติดตั้งคาร์ซีทแบบ ISOFIX มาตรฐานสากล

ระบบช่วยเหลือการขับขี่

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA)
  • ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
  • ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
  • ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (FDA)
รีวิวสเปก Riddara RD6 และราคาจำหน่ายในไทย

ราคาจำหน่าย Riddara RD6 2025

  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 63 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 899,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 73 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 999,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 73 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,149,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 86 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,299,000 บาท

สรุป

สำหรับรถกระบะไฟฟ้า Riddara RD6 คันนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีความอรรถประโยชน์มากขึ้น ใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ ลุยน้ำได้จริง โดยไม่ต้องกังวลเวลาขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ สำคัญคือ รองรับการขับขี่แบบ Off-Road นอกจากนี้ ยังมีระยะทางขับขี่ที่ไกล ด้วยระบบการขับเคลื่อนทั้งแบบ 2WD และ 4WD เรียกได้ว่า Geely Riddara RD6 Thailand เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจับตามองมาก ๆ ในปี 2025 นี้ ชนิดที่ว่าอาจแบ่งยอดขายจากรถกระบะที่ใช้เชื้อเพลิงมาได้พอสมควร

รีวิว BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ราคา 1,149,000 บาท

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่ฮอตฮิตมาก ๆ ในตอนนี้ สำหรับ BYD Sealion 7 ที่นอกจากจะเปิดตัวพร้อมเฉยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมาแล้ว ยังสามารถทุบสถิติยอดจอง BYD Sealion ได้สูงสุดของค่ายอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand ก็ไม่พลาด ที่จะมาเจาะลึกทุกข้อมูลเด็ด ด้วยการ รีวิว BYD Sealion 7 2025 ให้กับชาว EV Lovers กัน ว่ามีสเปกที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน อัตราสิ้นเปลืองเป็นอย่างไร สามารถขับขี่ได้ไกลแค่ไหนต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และที่สำคัญคือ มีราคาจำหน่ายเท่าไหร่ แล้วรุ่นย่อยมีรุ่นไหนบ้าง สรุปให้ครบทุกข้อมูลแน่นอน!

รีวิว BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า EV 100%

จุดเด่นของ BYD Sealion 7 รถยนต์ EV 100%

สำหรับจุดเด่นของเจ้า BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นใหม่จากค่าย BYD นั้น ก็คือการเป็นรถ C-SUV ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ใช้รูปทรงแบบ Fastback เน้นฐานล้อต่ำ เพื่อให้ความโฉบเฉี่ยว พร้อมระบบส่งกำลังอัจฉริยะแบบ 8 in 1 ที่เมื่อบวกกับเทคโนโลยีการประกอบแบตเตอรี่ Cell-to-Body และระบบห้องโดยสารอัจฉริยะด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รีวิวสเปก และจุดเด่นของ BYD Sealion 7

โดยการออกแบบของ Sealion 7 ได้แรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำ และมวลอากาศ โดยด้านหน้าออกแบบด้วยดีไซน์ “Ocean X” กับรูปทรงตัว X ที่ให้ความทันสมัยและทรงพลัง ส่วนไฟหน้าดีไซน์แบบ “Double U” ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ นอกจากนี้ BYD Sealion 7 สามารถวิ่งได้ไกลถึง 567 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง เรียกว่า เป็นอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ดีมาก ๆ ในรถกลุ่มรถยนต์ EV 100% ประเภท C-SUV ที่จำหน่ายในไทยตอนนี้

รีวิวภายนอก BYD Sealion 7

รุ่นย่อยของ BYD Sealion 7 และราคาจำหน่าย

  • รุ่น Premium ราคา 1,149,900 บาท
  • รุ่น AWD Performance ราคา 1,249,900 บาท

สีตัวถัง

  • Quantum Black
  • Horizon White
  • Space Grey
  • Shark Grey (เฉพาะรุ่น AWD Performance)
รีวิวภายนอก และมิติตัวถัง BYD Sealion 7

สเปกและอุปกรณ์ของตัวรถ

มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,830 x 1,925 x 1,620
  • ระยะฐานล้อ 2,930 มม.
  • ความพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 500 ลิตร
  • ระยะจากพื้นถึงตัวรถ รุ่น Premium 157 มม. รุ่น AWD Performance 163 มม.
  • น้ำหนักตัวรถ รุ่น Premium 2,225 กก. รุ่น AWD Performance 2,340 กก.
รีวิวภายนอก และมิติตัวถัง BYD Sealion 7

รูปแบบการชาร์จไฟ

  • รองรับ Home Charger ประเภท AC Type 2 (กำลังสูงสุด 11 kW) หรือ DC CCS 2 (กำลังสูงสุด 150 kW)

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกรถ

  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ฟังชันหน่วงเวลาการปิดไฟหน้า Follow – Me – Home
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟตัดหมอกด้านหลัง
  • ระบบไฟเลี้ยวหน้า – หลัง แบบ Sequential
  • ประตูท้ายระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี
  • กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ พร้อมระบบไล่ฝ้า
  • ระบบบันทึกตำแหน่งกระจกมองข้าง
  • กระจกด้านหน้าเก็บเสียงแบบสองชั้น
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ
  • กระจกด้านหลังพร้อมระบบทำร้อนร้อนไล่ฝ้า
รีวิว BYD Sealion 7

อุปกรณ์และฟังก์ชันภายในตัวรถ

  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ที่พักขาปรับได้ 2 ทิศทาง
  • เบาะนั่งพร้อมกับ Welcome Seat
  • เบาะนั่งโดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • มีระบบกรองอากาศ PM2.5 ระดับ CN95 พร้อม IONIZER
  • หน้าจอเรือนไมล์แบบ LCD 3 มิติ ขนาด 10.25 นิ้ว
  • หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว พร้อมระบบแสดงผลบนกระจกหน้า
  • ใช้ระบบเครื่องเสียง CYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง
  • หลังคา Panoramic Glass Roof ลดความร้อนพร้อมกรองแสง UV
  • ไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสาร 128 เฉดสี
  • ใช้เบาะหุ้มหนังแท้ Nappa
  • กระจกกันเสียง Acoustic พร้อมฟิล์ม PVB Resin ในกระจกบังลมหน้า
  • ใช้วัสดุฉนวนกันเสียงรอบคัน รวมถึงฉวนกันเสียงรอบมอเตอร์
รีวิวภายใน BYD Sealion 7

ขุมพลัง BYD Sealion 7 และระยะทางการขับขี่สูงสุด

สำหรับ BYD Sealion 7 นอกจากจะมีขุมพลังที่สูงและให้พละกำลังที่ดีแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้คือ การใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone และด้านหลังแบบ Multi – link ที่ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือน พร้อมปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD (Frequency Selective Damping) ที่ช่วยปรับระดับความหนืดของโช้คอัดตามสภาพถนน ทำให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง ส่วนสเปกของขุมพลังนั้น ในรุ่น Premium และ AWD Performance จะมีความแตกต่างกัน ดังนี้

BYD Sealion 7 รุ่น Premium

สำหรับรุ่นย่อย Premium เป็นรุ่นเริ่มต้นของ BYD Sealion 7 ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ (323 PS) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน – เมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 6.7 วินาที ใช้แบตเตอรี่ Blade Battery ความจุ 82.5 kWh ที่สามารถทำระยะทางขับขี่สูงสุดได้ถึง 567 กม. (มาตรฐาน NEDC)

BYD Sealion 7 รุ่น AWD Performance

โดยรุ่นย่อย AWD Performance ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ (530 PS) ให้แรงบิดสูงสุด 690 นิวตัน – เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที ส่วนแบตเตอรี่ Blade Battery มีความจุ 82.5 kWh ขับขี่ได้สูงสุดที่ 542 กม. (มาตรฐาน NEDC)

รีวิวภายใน BYD Sealion 7

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Sealion 7 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ EV ที่มาแรงมาก ๆ ในปลายปี 2024 นี้ และคาดว่าจะเป็นรถรุ่นหลักที่สร้างยอดขายได้ดีของค่าย BYD ทั้งสเปกที่ครอบคลุมการใช้งาน มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้งยังมีราคาที่ไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งมากนัก หากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าในไซซ์เดียวกันกลุ่ม C-SUV อาทิ Leapmotor C10 ที่เปิดตัวพร้อม ๆ กันในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,098,000 บาท

นอกจากนี้ หากคุณมีรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ไว้ใช้งานที่บ้านอยู่แล้ว ต้องการติดตั้ง Home Charger ที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ เพียงเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านกับ PlugHaus Thailand วันนี้ รับสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งบริการหลังการขาย พร้อมประกันวินาศภัยในราคาที่จับต้องได้!

ยอดจองรถ Motor Expo 2024 รวม 54,513 คัน BYD มาแรงอันดับ 2

หลังจากปิดฉากงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ทิศทางตลาดรถยนต์ในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะค่ายรถหลาย ๆ ค่าย ที่ถึงแม้จะเพิ่งเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่ก็สามารถทุบสถิติสร้างยอดจองรถในงาน Motor Expo 2024 ได้สูงหลายค่าย โดยในปีนี้ยอดจองรถยนต์ทั้งหมด ปิดยอดจองไปที่ 54,513 คัน โดยแชมป์ก็ยังคงเป็นของพี่ใหญ่อย่าง Toyota เช่นเดิม ในขณะที่ค่ายจีนอย่าง BYD กลับทำสถิติได้ดีมาก ๆ เพราะคว้ารองแชมป์ไปได้เป็นครั้งแรกหลัง ด้วยยอดจองทั้งหมด 6,971 คัน เรียกว่า งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 นี้ มีเม็ดเงินที่สะพัดถึง 5.5 หมื่นล้านบาท

ยอดจองรถ Motor Expo 2024 รวม 54,513 คัน BYD มาแรงอันดับ 2

รวมยอดจองรถ Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41

  • อันดับ 1 Toyota 8,297 คัน
  • อันดับ 2 BYD 6,917 คัน
  • อันดับ 3 HONDA 5,081 คัน
  • อันดับ 4 AION 3,668 คัน
  • อันดับ 5 MG 3,311 คัน
  • อันดับ 6 DEEPAL 2,756 คัน
  • อันดับ 7 MITSUBISHI 2,609 คัน
  • อันดับ 8 NISSAN 2,219 คัน
  • อันดับ 9 GWM 2,060 คัน
  • อันดับ 10 NETA 2,016 คัน
  • อันดับ 11 ISUZU 1,942 คัน
  • อันดับ 12 MAZDA 1,509 คัน
  • อันดับ 13 BMW 1,331 คัน
  • อันดับ 14 FORD 1,154 คัน
  • อันดับ 15 Mercedes-BENZ 1,122 คัน
  • อันดับ 16 SUZUKI 1,012 คัน
  • อันดับ 17 OMODA & JAECOO 1,008 คัน
  • อันดับ 18 ZEEKR 866 คัน
  • อันดับ 19 GEELY 766 คัน
  • อันดับ 20 XPENG 638 คัน
  • อันดับ 21 DENZA 573 คัน
  • อันดับ 22 HYUNDAI 555 คัน
  • อันดับ 23 RIDDARA 532 คัน
  • อันดับ 24 KIA 468 คัน
  • อันดับ 25 WULING 389 คัน
  • อันดับ 26 AVATR 337 คัน
  • อันดับ 27 VOLVO 330 คัน
  • อันดับ 28 MINI 230 คัน
  • อันดับ 29 TESLA 193 คัน*
  • อันดับ 30 AUDI 141 คัน
  • อันดับ 31 LEAPMOTOR 117 คัน
  • อันดับ 32 LEXUS 99 คัน
  • อันดับ 33 PORSCHE 92 คัน
  • อันดับ 34 JUNEYAO 63 คัน
  • อันดับ 35 PEUGEOT 22 คัน
  • อันดับ 36 LOTUS 20 คัน
  • อันดับ 37 MASERATI 15 คัน
  • อันดับ 38 JEEP 11 คัน
  • KING LONG / FOTON / BYD Commercial ไม่มียอด
  • อื่นๆ BRG 40 คัน

ที่มา : บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงาน Thailand International Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41

สรุปยอดจองรถ Motor Expo 2024 โดยบริษัท สื่อสากล จำกัด

ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า BYD Motor Expo 2024 ทุบสถิติคว้ารองแชมป์ปีนี้!

สำหรับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง BYD เอง ก็ถือว่าทำสถิติได้ดีมาก ๆ ในงาน Motor Expo 2024 ปีนี้ เพราะสามารถคว้ารองแชมป์ไปได้ ล้มเจ้าตลาดอย่าง Honda ที่ในแต่ละปีจะมียอดจองเป็นรองลงมาจาก Toyota เสมอมา เรียกว่าเป็นรองเจ้าตลาดตลอดกาลก็ว่าได้ แต่ในปีนี้ทาง BYD กลับแซงหน้าได้อย่างสวยงาม ด้วยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ในงาน Motor Expo 2024 ถึง 6,971 คัน

และถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา จะมีการประกาศหั่นราคาของ BYD Dolphin แต่ก็ยังคงเป็นรุ่นที่มียอดจองสูงมาก ๆ เพราะยอดจอง BYD Dolphin หลังลดราคา ในงานมหกรรมยานยนต์นั้น มียอดจองทั้งหมด 1,189 คัน เป็นรองเพียงแค่รุ่น Sealion 7 ที่มียอดจองสูงสุดของค่าย BYD

ทั้งนี้ ยอดรถยนต์ไฟฟ้าในงาน ทั้งของ BYD และ DENZA ในงาน Motor Expo 2024 มีทั้งหมด 7,042 + 573 รวม 7,615 คัน ได้แก่

  • อันดับ 1 : BYD Sealion7 3,853 คัน (50.6%)
  • อันดับ 2 : BYD Dolphin 1,189 คัน (15.6%)
  • อันดับ 3 : BYD Sealion6 863 คัน (11.3%)
  • อันดับ 4 : Denza D9 573 คัน (7.5%)
  • อันดับ 5 : BYD Atto3 446 คัน (5.9%)
  • อันดับ 6 : BYD M6 366 คัน (4.8%)
  • อันดับ 7 : BYD Seal 325 คัน (4.3%)

หมายเหตุ : ยอดจองของทาง BYD ทั้งหมด จะอยู่ที่ 7,042 คัน เมื่อรวมกับแคมเปญภายในงาน โดยยอดจองที่สรุปจากทาง Motor Expo 2024 เป็นตัวเลขที่ได้จากการคำนวณรายการส่งเสริมการขาย “ซื้อรถ ชิงรถ”

ทิศทางตลาดรถ EV ในไทย หลังจบงาน Motor Expo 2024

หลังจากจบงานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41 ไปแล้ว จะเห็นได้เลยว่า ทิศทางของ ตลาดรถ EV ในไทย มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยเฉพาะเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่นอกจากจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแล้ว มาตรการต่าง ๆ ของทางรัฐบาล ก็ยังส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตได้ในปี 2568 ที่จะถึงนี้ ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน

1. ราคารถและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

หากลองสังเกตแล้วจะเห็นได้เลยว่า ในปัจจุบันนี้ราคารถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น Segment ใด ๆ ต่างก็มีการปรับราคาลดลงจากเดิม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาแบตเตอรี่ที่ถูกลง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงตามไปด้วย การปรับราคาเพื่อแข่งขันกันในตลาดจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ค่ายรถยนต์เลือกใช้ นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ แบรนด์ ต่างก็หันมาลุยตลาดรถ EV มากขึ้น ทั้งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ด้วย ยิ่งบวกกับเทรนด์รักษ์โลกในปัจจุบัน ก็ยิ่งส่งผลให้ตลาดรถ EV เติบโตมากขึ้นในปี 2568

2. มีรุ่นรถหลากหลายให้เลือกสรร

หากเป็นแต่ก่อนเราจะคุ้นชินกับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถเก๋ง 4 ประตู หรือรถกลุ่ม Crossover แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาแบตเตอรี่พร้อมตัวรถให้หลากหลายมากขึ้น เข้ากับบริบทการใช้งานในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่จะใช้รถเพื่อการประกอบอาชีพ หรือใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก จึงทำให้มีรถหลากหลายประเภทเปิดตัวพร้อมจัดจำหน่ายในราคาที่เทียบเท่ากับรถยนต์สันดาป อาทิ รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ล่าสุดก็มีการเปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วเช่นกัน โดยรถกระบะไฟฟ้าคันแรกที่เข้ามาบุกตลาดก็คือ RIDDARA RD6 ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมานี้

3. พื้นที่ให้บริการชาร์จไฟรถ EV ครอบคลุมทั่วประเทศ

ถึงแม้ว่าในบางพื้นที่จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ได้หนาแน่นเทียบเท่ากับในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ให้บริการ EV Charger Station จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Evolt, PTT EV Station, PEA Volta, MEA, EA Anywhere หรือแม้แต่ EleX by EGAT ที่ก็มีจุดชาร์จครอบคลุม และมีแอปพลิเคชันค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่ใช้งานง่าย สามารถค้นหาพื้นที่บริการได้อย่างครอบคลุม

ทิศทางตลาดรถ EV ในไทย หลังจบงาน Motor Expo 2024

อย่างไรก็ตาม จากการปิดฉลากงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา นอกจากจะทำให้เห็นทิศทางของตลาดรถยนต์ในเมืองไทยได้กว้างมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เห็นด้วยว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ที่นอกจากค่าย BYD จะทะยานขึ้นเป็นอันดับ 2 แล้ว ค่ายอื่น ๆ ก็มียอดจองที่สูงและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน อาทิ DEEPAL, GWM, AION และ NETA ที่ติด Top 10 ยอดจองสูงสุดในงาน Motor Expo 2024 ในปีนี้ ซึ่งก็ช่วยเป็นเครื่องการันตีได้เช่นกันว่า ทิศทางของตลาดรถ EV ในเมืองไทยเป็นไปในทิศทางที่ดี และผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อรถยนต์ EV มากขึ้นเช่นกัน

รีวิว Leapmotor C10 เผยโฉมครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024

เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาแรงและติด Top การค้นหามากที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับเจ้า “Leapmotor C10” รถยนต์แบรนด์จีนที่อยู่ในเครือของ Stellantis ที่คนรักรถต้องรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น Jeep, Peugeot, Opel, RAM, Alpha Remeo และ Maserati ซึ่งในครั้งนี้ก็ถึงคิวของ Leapmotor C10 SUV 5 ที่นั่ง ที่จะมาบุกตลาดรถ EV ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยโฉมครั้งแรกในงาน Thailand International Motor Expo 2024 และงานนี้ก็ไม่ได้มีแค่การเผยโฉมพร้อมสเปกเท่านั้น แต่ยังประกาศราคาจำหน่าย โดยเริ่มต้นที่ 1,098,000 บาท (นำเข้า CBU)

Review Leapmotor C10 รถไฟฟ้า SUV 5 ที่นั่ง และสเปก

จุดเด่นของ Leapmotor C10 รถ SUV 5 ที่นั่ง

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Leapmotor C10 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถ SUV หรือรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างอรรถประโยชน์ โดยเฉพาะพื้นที่สัมภาระและความกว้างของห้องโดยสาร ที่น่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้รถหลายกลุ่ม มีจุดเด่นหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะฟังก์ชันการใช้งาน สเปกของตัวรถ และอุปกรณ์ภายในที่ครบครัน อาทิ ระบบการชาร์จแบบไร้สาย หรือ Wireless Charger หรือแม้แต่การควบคุมรถระยะไกลผ่านทางแอปฯ นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการ LEAP OS 4.0 ที่จะทำให้การใช้งานง่ายยิ่งขึ้น เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 2024 – 2025 ในกลุ่ม SUV ที่น่าสนใจ และน่าใช้งานอีกหนึ่งรุ่น

Review Leapmotor C10 and Specs

Highlight ของ Leapmotor C10 เข้าไทยครั้งแรกส่งท้ายปี!

  • การออกแบบระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งที่มีความลงตัว
  • ใช้ไฟหน้า LED แบบ “Angle – Wing” ที่มาพร้อมกับ DRL แบบ Sequential
  • มีระบบ Active Grille Shutter (AGS) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแอโรไดนามิกได้ดั
  • ล้ออัลลอยลาย Trident ที่ช่วยเพิ่มลวดลายให้ดูโดดเด่นมากขึ้น
  • ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8115 พร้อม Leap OS 4.0
Review Leapmotor C10 and Specs

มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,739 x 1,900 x 1,680
  • ระยะฐานล้อ 2,825 มม.
  • ระยะจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 190 มม.
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 435 – 900 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)
  • น้ำหนักตัวรถ 1,980 กก.
รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

อุปกรณ์และฟังก์ชันภายในตัวรถ

  • แผงหน้าปีดแบบบุนุ่ม หุ้มด้วยหนัง Soft Touch
  • มือจับแผงบุหลังคา พร้อมกับฟังก์ชันลดแรงสั่นสะเทือน
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน
  • เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมกับ Welcome Seat
  • เบาะนั่งคู่หน้า ที่มีระบบทำความร้อนและระบายอากาศในตัว
  • ไฟตกแต่งภายในกะพริบเป็นจังหวะ มีถึง 64 สี สร้างสีสันภายในห้องโดยสาร
  • จอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมระบบคำสั่งเสียง OTA
  • หน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมกล้อง 360 องศา
  • ใช้เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO – Tex Standard 100 ปลอดภัยต่อเด็กทารก
  • มีหลังคาก Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร
  • ระบบเสียงรอบทิศทาง พร้อมกับลำโพง 12 ตัว
  • ใช้กุญแจ NFC
รีวิว Leapmotor C10 ภายนอกพร้อมไฟ Light Bar

ระบบความปลอดภัยและ Safety

  • ไฟควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ฟังก์ชันไดนามิกเบรก (DBF) และระบบเบรกโอเวอร์ไรด์ (BOS)
  • ระบบช่วยควบคุมการทท่รงตัวขณะออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP)
  • ระบบป้องกันรถไหลอัตโนมัติ (AVH)
  • ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (MCB)
  • ถุงลมนิรภัย พร้อมม่านถุงลงนิรภัยแถว 1 และ 2 (ซ้ายและขวา)
  • ระบบล็อกป้องกันเด็กเปิดประตูแบบ 2 ชั้น
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อลืมปิดประตู
  • การปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน
  • ระบบการควบคุมให้รถอยู่ในเลน (LKA)
  • ระบบการควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISA)
  • การแจ้งเตือนเมื่อพบว่าคนขับเกิดภาวะง่วงซึม (DDAW)
  • ฯลฯ

สเปกและแบตเตอรี่ พร้อมการชาร์จไฟของตัวรถ

Leapmotor C10 ใช้ระบบการขับเคลื่อนล้อหลัง RWD มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor โดยมีพละกำลังที่สูงถึง 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า (PS) โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ยังพ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium – ion ที่ความจุ 69.9 kWh รองรับการชาร์ด้วยหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo ซึ่งหากชาร์จด้วย AC Charger (ไฟฟ้ากระแสสลับ) จะรองรับสูงสุดอยู่ที่ 6.6 kW แต่หากเป็นการชาร์จด้วย DC Charger สามารถรองรับการชาร์จได้ถึง 84 kW (ชาร์จจาก 30 – 80% ในเวลาเพียง 30 นาที) ซึ่งระยะทางวิ่งสูงสุดจะอยู่ที่ 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กม./ชม.

 รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

สีตัวถังและสีภายในห้องโดยสาร

สีตัวถัง

  • สีเขียว Glazed Green
  • สีดำ Metallic Black
  • สีขาว Pearly White
  • สีเทา Canopy Grey
  • สีเทา Tundra Grey

สีภายในห้องโดยสาร

  • สีน้ำตาล Criollo Brown
  • สีดำ Midnight Aurora
ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 ในไทย

ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 อยู่ที่ 1,098,000 บาท

สำหรับราคาจำหน่ายของ Leapmotor C10 69.9 kWh Rear – Wheel Drive มีราคาอยู่ที่ 1,098,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่นำเข้า CBU มาในไทย แต่ที่พิเศษมากกว่าคือ ลูกค้าที่สนใจออกรถในช่วงนี้ และเป็นลูกค้าที่จองรถ 200 ท่านแรก จะได้รับส่วนลดในแคมเปญพิเศษสูงสุดถึง 120,000 บาท

  • เบี้ยประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
  • Home Charger พร้อมบริการติดตั้งฟรี
  • บริการจดทะเบียนรถใหม่
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 5 ปี
  • แพ็กเกจบำรุงรักษาตัวรถนานสูงสุด 5 ปี
  • ฟรีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา
  • รับประกันคุณภาพรถ 5 ปี หรือ 100,000 กม.
  • รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กม.

จะเห็นได้เลยว่า Leapmotor C10 เป็นหนึ่งในรถ SUV 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว และมีความ Luxury สูงมาก ๆ ซึ่งหากเทียบกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่จำหน่ายในไทยอยู่ในตอนนี้ ก็จะอยู่ในไทป์เดียวกันกับ Deepal S07, BYD Sealion7, KIA EV5 และ AION V ที่มีขนาดตัวรถที่ใกล้เคียงกัน และหากเทียบกับราคาจำหน่าย พร้อมโปรโมชั่นในช่วงแคมเปญนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในรถยนต์ EV ที่น่าใช้งานในปี 2025 นี้อีกหนึ่งรุ่น

เพราะนอกจากจะมีสเปกดีมาก ๆ แล้ว เรื่องฟังก์ชันภายในก็ถือว่าครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและการใช้งานภายในรถ ก็มีหลายฟังก์ชันที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ, ระบบเบรก BOS ซึ่งเมื่อใช้งานควบคู่กับช่วงล่างด้านหน้าแบบ McPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi – Link ก็ยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย และหากคนรักรถ EV อยากยลโฉม Leapmotor C10 ที่เข้าไทยเป็นครั้งแรกเพื่อบุกตลาดรถ EV ปี 2025 นี้ ก็สามารถเข้าไปชมพร้อมรับสิทธิพิเศษได้ที่งาน Motor Expo 2024 ได้เลย!

ไฮไลท์เด็ดงาน Motor Expo 2024 งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 “The 41th Thailand International Motor Expo 2024” ในปลายปีนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่หลายคนต่างก็รอคอย โดยเฉพาะผู้ที่สนใจนวัตกรรมยานยนต์ หรือผู้ใช้รถที่มีแพลนอยากจะออกรถใหม่มาใช้งาน ซึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ของปีนี้ ก็มีไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การจัดแสดงโชว์นวัตกรรมยานยนต์ใหม่ ๆ การเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นดีดีเฉพาะลูกค้าที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 อีกเพียบ ลด แลก แจกแถม พร้อมโปรชมงานชิงรถ เรียกว่ามีแต่ไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าติดตามกันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น PlugHaus Thailand จะพาคุณมาดูกันว่า งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปีนี้ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำกิจกรรมดีดีที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ชมงาน…ชิงรถ

งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Thailand International Motor Expo 2024 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกงานหนึ่งของเมืองไทย โดยทุก ๆ ปี จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี โดยในปีนี้งาน Motor Expo 2024 ก็จัดขึ้นภายในแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต (INNOVATIVE SPIRIT…Futuristic Vehicles)” โดยการจัดงานในครั้งนี้ อยู่ภายใต้การดูแลและบริหารงานของ บริษัท สื่อสากล จำกัด โดยมีคุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ เป็นประธานการจัดงาน

คุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานการจัดงาน Motor Expo 2024

แบรนด์รถยนต์ที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้

ในงาน Motor Expo 2024 ปีนี้ ค่ายรถยนต์ที่เข้ามาร่วมจัดแสดงพร้อมเปิดตัวรถใหม่ ก็มีหลายแบรนด์เช่นกัน รวมกว่า 42 ค่าย จาก 9 ประเทศ ที่เข้ามาทำตลาดรถ EV ในเมืองไทย ได้แก่ Aion, Aion, Audi, Avatar, BMW, BYD, BYD Commercial, Deepal, Denza, Ford, Foton, Geely, Great Wall Motor, Honda, Hyundai, Isuzu, Jeep, Juneyao, Kia, King Long, Leapmotor, Lexus, Lotus, Maserati, Mazda, Mercedes-Benz, MG, MINI, Mitsubishi, Neta, Nissan, Omoda & Jaecoo, Peugeot, Pocco, Porsche, Riddara, Suzuki, Tesla, Toyota, Volvo, Wuling, Xpeng และ Zeekr และยังมีชุดแต่งจากผู้นำเข้าอิสระอย่าง M’Z Speed อีกด้วย

แบรนด์รถจักรยานยนต์ ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปลายปีนี้ ก็มีทั้งสิ้น 22 ค่าย จาก 9 ประเทศ ได้แก่ AJ EV, Alpha Volantis, BMW Motorrad, Deco, EM Motor, Felo, Hanway, Harley-Davidson, Honda, Kawasaki, Lambretta, NIU, Rapid, Royal Alloy, Royal Enfield, Solar, Strom, Suzuki, Triumph, Yamaha, Zeeho และ Zontes

แผนผังงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

รวมโปรโมชั่นงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

โปรโมชั่นชมงาน…ชิงรถ ลุ้นรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ภายในงาน

  • “ซื้อรถ…ชิงรถ” เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ มีสิทธิ์ชิงรถ The KIA EV5 รุ่น Light มูลค่า 1,299,000 บาท
  • “ซื้อบัตร…ชิงรถ” ผู้ที่ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถ Mazda CX-3 Base Plus มูลค่า 830,000 บาท
  • “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์รุ่นใดก็ได้ ก็มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์ Triumph รุ่น Scrambler 1200 X มูลค่า 599,000 บาท
  • “ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรางวัล” ลุ้นชิงรถยนต์ Suzuki รุ่น Swift GK มูลค่า 567,000 บาท

กิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชนภายในงาน

  • Skill Driving Experience Junior การอบรมปลูกฝังวินัยจราจรเด็ก
  • Skill Driving Experience กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่รถที่ถูกต้องแก่บุคคลทั่วไป
  • Spirit of the 4×4 Driving School กิจกรรมให้ความรู้ และทดลองขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
  • นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย พร้อมการอวดโฉมรถโบราณทรงคุณค่า นอกจากนี้ ยังได้เปิดโหวตรถประทับใจ ชิง People Choice Award
  • กิจกรรมจากมูลนิธิ “ลมหายใจไร้มลทิน” จัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และเยาวชน
  • Join Boat Platform จัดแสดงเรือ และกิจกรรมทางน้ำ
บรรยากาศงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สถานที่จัดงาน Motor Expo 2024 พร้อมการเดินทาง

สำหรับการจัดงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ www.motorexpo.co.th โดยจำหน่ายใบละ 100 บาท หรือสามารถซื้อบัตรที่หน้างานก็ได้เช่นกัน (รอบสื่อจัดงานพร้อมพิธีเปิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567)

  • วันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์ งานเริ่มเวลา 12.00 – 22.00 น.
  • วันเสาร์ – อาทิตย์ งานเริ่มเวลา 11.00 – 22.00 น.

นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน ยังสามารถรับบัตรฟรีในการเข้าชมงานมหกรรมยานยนต์ได้เช่นกัน อาทิ ลูกค้า AIS สามารถแลกพอยต์รับบัตรเข้าชมงาน Motor Expo 2024 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นซื้อ Motor Expo Exclusive Visitor มูลค่า 1,000 บาท รับข้อเสนอสุดพิเศษรวมกว่า 5,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น บัตร Ultimate 3 ใบ เข้าชมงานได้ทุกวัน, ช่องจอดรถ VIP 3 ชั่วโมง, พื้นที่รับรองพิเศษ, บริการนำชมรถภายในงาน และสิทธิพิเศษซื้อสินค้าที่ระลึกภายในงานลด 10% (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.motorexpo.co.th)

การเดินทางไปยังงาน Motor Expo 2024

1. เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS

  • สายสีเขียว ลงที่สถานีหมอชิต (ทางออก 4) แล้วขึ้นรถตู้สาย สวนจตุจักร – เมืองทองธานี
  • สายสีแดง ลงที่สถานีหลักสี่ แล้วต่อรถโดยสารสาย 52, 150 และ 356
  • สายสีชมพู ลงที่สถานีเมืองทองธานี แล้วใช้บริการรถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซค์

2. เดินทางด้วยรถตู้

  • สายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดจอดตรงข้าม รพ.ราชวิถี
  • สายจตุจักร จุดจอดรถที่ลานจอด BTS หมอชิต ทางออก 4 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 3
  • สายเดอะมอลล์งามวงศ์วาน จุดจอดที่แกรนด์พลาซ่า ตรงข้ามเดอะมอลงามวงศ์วาน
  • สายสนามหลวง ให้บริการเฉพาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.
  • สายสีลม ให้บริการเฉพดาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.

3. เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์)

  • เส้นวิภาวดี – รังสิต, แยกแจ้งวัฒนะ สาย 29, 52, 59, 95, 150, 504, 510 และ 538
  • เส้นห้าแยกปากเกร็ด สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359 และ 367
  • เส้นถนนแจ้งวัฒนะ สาย 52, 150 และ 356
  • เส้นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย 166

4. เดินทางด้วยรถ Shuttle Bus ฟรี

  • BTS หมอชิต ทางออก 2 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 4 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • BTS ศรีรัช ทางออก 1 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • MRT หัวลำโพง ทางออก 2 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • ศูนย์การค้า G12 ฝั่งร้าน AIS – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.

หมายเหตุ : สำหรับบริการ Shuttle Bus ไป – กลับ งาน Motor Expo 2024 รอบเดินทางกลับรอบแรกเวลา 12.00 น. และรอบสุดท้ายคือเวลา 22.30 น. ทุกสาย

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารวมงาน Motor Expo 2024 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 สามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.motorexpo.co.th และหากไม่อยากพลาดข่าวสารเด็ด ๆ รวมถึง รีวิวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารวงการรถยนต์ EV จากทาง PlugHaus Thailand ที่พร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารเด็ด ๆ และรีวิวรถใหม่แบบจัดเต็มให้กับคนรักรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

ส่องรถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ พร้อมบุกตลาดรถ EV ในไทย ปี 2024 – 2025

จะสิ้นปี 2024 แล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงปลายปี 2024 และทำตลาดในช่วงปี 2025 นี้ ซึ่งบางรุ่นก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว ในขณะที่บางแบรนด์ก็เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย พร้อมทำตลาดอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้น ชาวอีวีก็ไม่ควรพลาด มาดูกันว่าในช่วงนี้ Timeline การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในไทย มีรุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม มีครบทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่และแบรนด์น้องใหม่ที่จะมาเข้าร่วมในศึกตลาดรถ EV แน่นอน

Update! รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ล่าสุดปี 2024 ในไทย

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BEV, HEV และ PHEV ที่กำลังจะเปิดตัวและทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2024 ไปจนถึงปี 2025 ในตอนนี้ก็มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งบางรุ่นก็มีแววว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2024 ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 – 10 ธันวาคม 2567 นี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมา Check List ดูกันว่า ตอนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม และกำลังจะมาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย บอกเลยว่าแต่ละรุ่นน่าใช้และสเปกจัดเต็มไม่แพ้กัน

รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ BYD Seal 2025

1. BYD Seal 2025

รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ และสดใหม่ก็ต้องยกให้กับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 อย่าง BYD Seal หรือ เจ้าแมวน้ำจากค่าย BYD ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองจีนไปแล้วในปีนี้ พร้อมการอัปเกรดครั้งใหญ่ ครบทั้งภายในและภายนอก และที่สำคัญคือ มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่น่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง โดยเฉพาะแชสซีใหม่ที่มาพร้อมกับระบบ Disus – C ที่เพิ่มความสามารถได้หลายอย่าง เช่น ความเสถียร ความสะดวกสบาย และระบบกันสะเทือน

จุดเด่นของ BYD Seal 2025

  • ขนาดตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 4,800 x 1,875 x 1,460 มม.
  • e-Platform 3.0 EVO อัปเกรดระบบไฟฟ้าจาก 400 เป็น 800 โวลต์ ชาร์จแบตได้ตั้งแต่ 10% – 80% โดยใช้เวลาเพียงแค่ 25 นาที
  • มีเทคโนโลยี LiDAR การตรวจจับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งกีดขวาง วัตถุ ฯลฯ ที่แม่นยำมากขึ้น
  • เป็นที่สุดของขุมพลัง EV โดยรุ่นท็อปมีกำลัง 390 กิโลวัตต์ 523 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD)
  • เปลี่ยนโลโก้ใหม่ จากคำว่า Build Your Dreams เหลือแค่ BYD เท่านั้น
  • มีแบตเตอรี่ 2 ขนาด คือ ขนาด 61.44 kWh วิ่งได้สูงสุด 510 กม. และขนาด 80.64 kWh วิ่งได้สูงสุด 650 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • 510 Standard Edition
  • 650 Long Range Edition
  • 650 Intelligent Driving Edition
  • 600 4WD Intelligent Driving Edition
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ JAECOO 6

2. JAECOO 6

ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับสายออฟโรดโดยเฉพาะ สำหรับเจ้า JAECOO 6 ที่มีการอัปเกรดขุมพลังให้แกร่งขึ้น โดยเฉพาะระบบการทำงานของ i-WD ที่กระจายแรงไปยัง 4 ล้อ ในโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงระบบ Ground Clearance ที่ช่วยทำให้ขับลุยน้ำได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งแบบ On-Road และ Off-Road โดยเฉพาะ

จุดเด่นของ JAECOO 6

  • เป็นตัวถังระบบ B-SUV ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% มีทั้งรุ่น 2WD และ 4WD
  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,406 x 1,910 x 1,715 มม.
  • ใช้ไฟหน้า LED ชนิด Matrix LED ปรับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ และไฟ DRL รูปแบบตัว i
  • โดดเด่นเรื่องระยะมุมเข้าและมุมจากตัวรถ ทำให้ขับขี่บนทางลาดชัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีกล่องเก็บสัมภาระด้านหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ได้ดี
  • มีฟังก์ชันนวดเพื่อผ่อนคลายสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า
  • ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP จาก CATL ความจุ 65.7 kWh ขับไกล 426 กม. และความจุ 69.8 kWh ขับได้ไกล 418 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
  • มีการขับขี่สูงสุด 9 โหมด โดยเฉพาะในโหมด All road ที่ให้รถจัดการตัวเองได้ทั้งหมด

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Long Range 2WD ราคา 1,099,000 บาท
  • Long Range 4WD ราคา 1,249,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ GAC AION V II

3. GAC AION V II

สำหรับ GAC AION V II เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกร ที่กำลังจะมาทำตลาดในไทยในปลายปีนี้ (คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้) โดยเป็นรถ SUV ที่มีสมรรถนะให้เลือกใช้ 2 ขุมพลัง คือรุ่นที่ให้กำลัง 201 แรงม้า และ 221 แรงม้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2567 ที่งาน Beijing Auto Show 2024 ที่ผ่านมา โดยมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 7 รุ่น โดยไฮไลต์หลัก ๆ ของตัวรถก็คือ การพัฒนาขึ้นมาใหม่บนแพลตฟอร์ม AEP Pure Electric Digital Platform ของทาง GAC เอง

จุดเด่นของ GAC AION V II

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,605 x 1,854 x 1,660 มม. และระยะฐานล้อ 2,775 มม.
  • มีการออกแบบใหม่ เรียกว่า Blade Shadow Potential Energy
  • ออกแบบโลโก้ใหม่ของ AION ด้วยรูปแบบตัวอักษร
  • ออกแบบคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ให้มีความคล้ายกับเกล็ดมังกร
  • มีการติดตั้งตู้แช่เย็นขนาด 6.6 ลิตร บริเวณคอนโซลกลาง ทำความร้อน ความเย็น และแช่แข็งได้
  • ระบบเครื่องเสียงมีลำโพง 9 ตำแหน่ง และซับวูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว
  • มีระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานบนระบบ AI รวมถึง iFlytek หรือเครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ
  • มีมอเตอร์ขนาด 150 kW และ 165 kW
  • มีซิลิกอนคาร์ไบด์ ที่ช่วยให้ชาร์จได้ไวขึ้น 60% ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้ 370 กม.

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • ที่เปิดตัวในจีนมีทั้งหมด 7 รุ่นย่อย ส่วนรุ่นที่จำหน่ายในไทยต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Wuling Binguo 2024

4. Wuling Binguo

หากใครเป็นสาวกรถไซซ์มินิ ก็ต้องไม่พลาดกับ Wuling Binguo 2024 รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปิดตัวมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม B-Segment ที่เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Timeless ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be The Icon” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิกและเรียบง่าย ตอบโจทย์การใช้งานภายในเมืองโดยเฉพาะ และที่สำคัญคือ มีการรับประกันมอเตอร์ แบตเตอรี่ และคอนโทรลเลอร์ตลอดอายุการใช้งาน หรือ Passive Lifetime Warranty

จุดเด่นของ Wuling Binguo

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 3,950 x 1,780 x 1,580 มม.
  • แถมฟรี Wallbox Home Charger 7 kW พร้อมบริการติดตั้ง
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
  • มีกล้องบันทึกข้อมูลการขับขี่ DVR 1080p Full HD
  • ใช้แบตเตอรี่ Lithium – ion (LFP) ขนาด 31.9 kWh
  • สามารถวิ่งได้ไกล 333 กม. ต่อการชาร์จ (มาตรฐาน NEDC)
  • รองรับหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo
  • มีรูปแบบการขับขี่ 4 โหมด คือ ECO+ / ECO / Normal / Sport
  • มีระบบสตาร์ทอัตโนมัติ พร้อมระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
  • ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว หรือ Drive Away Locking

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Wuling Binguo SR AC ราคา 419,000 บาท
  • Wuling Binguo SRD DC ราคา 449,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Tesla Model Y Juniper 2025

5. Tesla Model Y Juniper 2025

ในช่วงต้นปี 2025 ที่จะถึงนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมวางจำหน่ายก็คือ Tesla Model Y Juniper 2025 ที่มาพร้อมกับการปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด มีความโดดเด่นที่เป็นจุดขายอันดับแรก ๆ คือ การออกแบบไฟหน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก XPENG ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ซึ่งเบื้องต้น Tesla Model Y Juniper จะเริ่มผลิตที่โรงงาน Giga Shanghai ในปลายปี 2024 นี้ พร้อมส่งมอบรถในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดออกมาแบบ 100% มีเพียงข้อมูลแบบคร่าว ๆ ของตัวรถเท่านั้น เรียกว่า สาวกคนรักเทสล่าสต้องติดตามกันแบบวันต่อวัน สำหรับข่าวสารของรถรุ่นนี้กันเลยทีเดียว

จุดเด่นของ Tesla Model Y Juniper 2025

  • มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ ด้วยการนำแถบไฟ LED แบบใหม่มาใช้ คล้ายการออกแบบของ XPENG
  • ยังคงคอนเซ็ปต์การออกแบบที่โดดเด่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และออปชั่นที่ครบครันเช่นเดิม
  • อาจมีสีใหม่ คือ Ultra Red และ Stealth Gray เพิ่มมาจากสีเดิมที่มีอยู่ในตอนนี้
  • คาดว่ามีการออกแบบแผงหน้าปัดใหม่ พร้อมระบบ Infotainment แบบจอสัมผัสหมุนได้
  • ภายในมีความคล้ายกับ Tesla Model 3 แต่แผงหน้าปัดมีการปรับปรุงให้เข้ากับห้องโดยสาร
  • คาดว่ามีการพัฒนาแบตเตอรี่ชุดใหม่ ที่อาจวิ่งได้ไกลถึง 400 ไมล์ มีความจุแบต 62.5 kWh

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • มีการเปิดเผยว่าจะมีการอัปเกรดรถรุ่นใหม่ พร้อมพัฒนารถที่มีราคาจับต้องได้

ติดตามทุกข่าวสารสดใหม่ ในแวดวงรถยนต์ EV ที่ PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่า ในบรรดารถยนต์ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่จะเตรียมมาทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 ไปจนถึงต้นปี 2025 นี้ ก็มีหลายรุ่นที่น่าสนใจ และมีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าใช้งาน ทั้งรถที่ออกแบบมาเพื่อสายออฟโรด หรือรถอีวีที่ออกแบบมาเพื่อคนใช้รถในเมืองโดยเฉพาะ นอกจากนี้ แบรนด์ชั้นนำอย่าง Tesla เอง ก็พร้อมที่จะตีตลาดพร้อมพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ให้มีราคาที่เอื้อมถึงได้

บอกเลยว่า กระแสรถยนต์ EV ในตอนนี้ ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันมาก ๆ และหากคุณไม่อยากพลาดข่าวสารวงการรถยนต์ไฟฟ้า หรือเทรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ก็อย่าลืมมาติดตามกับทาง PlugHaus Thailand ตัวจริงเรื่อง Home Charger บอกเลยว่า นอกจากเราจะมีข่าวสารวงการรถยนต์ EV อัปเดตกันแบบเรียลไทม์แล้ว เรายังมีสาระความรู้ที่น่าสนใจให้คุณได้ติดตามอีกเพียบ!

วิธีเลือก “ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า” ให้คุ้มครองรถ – แบต ฉบับชาวแก๊ง EV

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ากังวลมากที่สุดในการใช้รถยนต์ EV นั้น ก็คือเรื่องของ “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” เพราะต้องเลือกประกันที่สามารถคุ้มครองได้ทั้งแบตและตัวรถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอย่างมากมาย เช่น การลดความคุ้มครองแบตเตอรี่ หรือหากต้องซื้อประกันที่คุ้มครองได้ทั้งหมด ก็ต้องดูค่าเบี้ย ความคุ้มครอง และราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าให้ดี ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายหรือไม่ คุ้มครองกรณีไหนบ้าง เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น พร้อมวิธีเลือกประกันให้ถูกใจคนใช้รถ

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คือ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่สามารถคุ้มครองการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยตัวประกันจะมีความคล้ายและใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่จะมีความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ตามเบี้ยประกันภัย แต่ความแตกต่างของประกันรถยนต์ EV คือ สามารถคุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์และระบบไฟฟ้าร่วมด้วย ทั้งยังรวมถึงการคุ้มครองหัวชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน โดยประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการพิจารณาเงื่อนไขต่างจากรถยนต์ทั่วไป แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงคุ้มครองทุกภัย (All Risk) อาทิ น้ำท่วม ไฟไหม้ รถหาย ยกเว้นกรณีที่เกิดสงครามและการจลาจล

เกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV คปภ. ปี 2567

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ BEV ฉบับใหม่ ปี 2567

ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้เลยว่า ประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้านั้น เป็นที่ถกเถียงและมีให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle-BEV) ตามที่ คปภ. ประกาศล่าสุด ก็ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ให้ใช้เกณฑ์ดังกล่าวเป็นมาตรฐานเดียวกันนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นมา (เกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น ไม่รวมรถที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป)

  • หากได้รับความเสียหายและต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด ชดเชยสินไหมตามอายุการใช้งาน โดยลดอัตราการชดใช้ตามความเสื่อมของแบตเตอรี่ปีละ 10% ต่ำสุด 50%
  • คุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ทั่วไป แต่จะไม่คุ้มครองความเสียภายจากปัจจัยภายนอก (Cyber Breach) ที่ทำให้ระบบปฏิบัติการเสียหาย (Software)
  • ไม่คุ้มครองเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากเครื่องชาร์จที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตโดยตรง (สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้)
  • สามารถทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่ใน 2 ปี เพื่อความยืดหยุ่นต่อบริษัทประกันภัย
  • บังคับให้ระบุชื่อผู้ขับขี่สูงสุดได้ถึง 5 คน หากเกิดอุบัติเหตุแล้วชื่อผู้ขับขี่ไม่ตรงกับกรมธรรม์ จะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า Excess สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท
  • ผู้ขับขี่ที่มีประวัติดีสามารถรับส่วนลดค่าเบี้ยได้สูงสุด 40% (โดยใช้เกณฑ์ประวัติผู้ขับขี่แย่ที่สุดเป็นตัวคำนวณ)

ในการเคลมแบตเตอรี่จากบริษัทประกันภัย ทาง คปภ. ได้กำหนดเอาไว้ด้วยว่า หากได้รับความเสียหายบางส่วน อาจตกลงกันว่าจะมีการซ่อมหรือว่าเปลี่ยนรถที่มีสภาพเดียวกันทดแทนได้ และหากมีการเปลี่ยนแบตตามอัตราที่กำหนดไว้ในเกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จะถือว่าซากแบตเตอรี่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เอาประกันภัยและบริษัท โดยจะยึดตามสัดส่วนหรืออัตราการชดใช้ค่าสินใหม่ทดแทนในตัวแบตเตอรี่

วิธีเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

เลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหน ให้คุ้มครองได้ทั้งแบตและรถ?

การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้รถยนต์อีวีทุกชนิด หลักการสำคัญคือการพิจารณาค่าเบี้ยประกัน ว่ามีความคุ้มค่าต่อการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน เพราะค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้า ถือว่ามีราคาสูงมากกว่าเบี้ยประกันรถยนต์ทั่วไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV และมาตรฐานต่าง ๆ ยังอยู่ในช่วงที่ต้องนำองค์ประกอบหลายส่วนมาพิจารณาประกอบกัน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากราคาค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่สูงเกือบจะ 70% – 80% ของมูลค่ารถ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประกันรถยนต์ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป

1. เลือกจากความคุ้มครองของประกันภัย

จากเกณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV ของทาง คปภ. ที่กำหนดออกมานั้น จะสังเกตได้ว่า ครอบคลุมเฉพาะรถที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น จะไม่ครอบคลุมรถยนต์ที่พัฒนาหรือดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป เพราะฉะนั้น การพิจารณาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV ต้องพิจารณาวงเงินและความคุ้มครองในส่วนของตัวแบตเตอรี่ร่วมด้วย เพราะกรมธรรม์ฉบับใหม่ไม่ได้คุ้มครองทุกภัย (All Risk) ดังนั้น ต้องดูรายละเอียดความคุ้มครองให้ครอบคลุม ว่าไม่ครอบคลุมในกรณีไหนบ้าง ควรจะซื้อความคุ้มครองเพิ่มหรือไม่

2. เลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากกรมธรรม์

หากคุณใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วต้องการติดตั้ง EV Charger ที่ไม่ได้มาพร้อมกับตัวรถที่ซื้อ แนะนำว่าควรซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากทางบริษัทประกันภัย เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้นในการใช้รถ เพราะตามเกณฑ์ความคุ้มครองของประกันแล้ว จะไม่คุ้มครองความเสียหายจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตรถ เช่น ติดตั้งไปแล้วระบบของหัวชาร์จส่งผลต่อระบบปฏิบัติการ จนทำให้แบตเตอรี่มีปัญหา กรณีนี้ก็อาจจะเคลมประกันไม่ได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เมื่อมีการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน แล้วไม่ต้องการซื้อความคุ้มครองประกันรถยนต์ EV เพิ่มเติม ก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องชาร์จที่ติดตั้งนั้นมีมาตรฐาน ผ่านเกณฑ์ของทาง PEA และ MEA รวมถึงมาตรฐานอื่น ๆ เช่น มีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น รวมถึงการประกันวินาศภัยร่วมด้วย ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณของเงินในกระเป๋าด้วย ว่าสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ไหม แล้วบริษัทที่รับติดตั้ง Home Charger มีความน่าเชื่อถือหรือไม่

3. ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าชั้น 1 ไว้อุ่นใจกว่า

จริงอยู่ที่ว่าประกันรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายแบบให้เลือก แต่อย่าลืมว่าตัวรถยนต์ไฟฟ้ามีการทำงานที่ต่างจากรถยนต์สันดาป ดังนั้น เพื่อให้ผู้ใช้รถสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ แนะนำว่าให้เลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 จะดีที่สุด เพราะมีความครอบคลุมมากกว่า รองรับความเสี่ยงได้หลายปัจจัย รวมถึงการเกิดเหตุทั้งแบบที่มีคู่กรณีและแบบไม่มีคู่กรณี นอกจากนี้ บางบริษัทประกันภัยยังมีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ให้กับผู้ใช้รถที่เลือกซื้อประกันชั้น 1 อีกด้วย

และข้อดีของการใช้ประกันชั้น 1 ที่เห็นได้ชัด สำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ การใช้บริการที่ศูนย์ซ่อมบริการ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายังถือว่าใหม่ในตลาดรถเมืองไทย ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด เข้าใจปัญหาและระบบของตัวรถได้จริง ก็คือศูนย์บริการหรือค่ายรถโดยตรง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วประกันชั้น 1 จะสามารถใช้บริการซ่อมห้างได้ ทำให้เวลาเคลมประกันหรือการสั่งอะไหล่มีความง่ายมากกว่าอู่ข้างนอก ทั้งยังประหยัดเวลาในการรอมากกว่าเช่นกัน

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร้กังวล ด้วย Home Charger จาก PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่าการเลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ในปัจจุบันมีเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จากทาง คปภ. เข้ามามีบทบาทร่วมด้วย จึงทำให้ผู้ใช้รถต้องพิจารณาการเลือกประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น ทั้งเรื่องความคุ้มครองตัวรถและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการติดตั้ง Home Charger ไว้สำหรับใช้งานที่บ้าน ที่อาจจะมีความกังวลว่าประกันจะคุ้มครองหรือไม่หากเกิดปัญหาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่อยากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านดีดีสักเครื่อง มีมาตรฐาน MEA และ PEA ก็สามารถเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง PlugHaus Thailand ได้เช่นกัน โดยในปัจจุบันเรามี Home Charger ให้เลือกหลากหลายรุ่น อาทิ Wallbox Pulsar Max, Wallbox Pulsar Plus, Wallbox Pulsar Pro, En+ Caro Series และ Teison Smart mini ซึ่งแต่ละรุ่นก็ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ที่สำคัญคือ มีฟังก์ชันและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้คือ เมื่อติดตั้ง EV Charger หรือ Home Charger ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็ได้กับทาง PlugHaus คุณจะได้รับประกันวินาศภัยให้อีก 30 ล้านบาท