ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging ที่คนใช้รถยนต์ EV ควรรู้!

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยระบบไฟ AC Charging หรือ ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ นับเป็นการชาร์จไฟแบบพื้นฐานที่ผู้ใช้รถ EV ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับการชาร์จไฟแบบ AC กันให้มากขึ้น พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างการชาร์จไฟ AC กับ DC แบบไหนที่จะดีต่อแบตเตอรี่มากกว่า แล้วช่วยยืดอายุการใช้งานได้จริง

ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

รู้จักการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วย AC Charging

ระบบการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC Charging (Alternating Current / Normal Charge) เป็นการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ กระแสไฟฟ้าจะไหลสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ชาร์จ ไม่มีขั้วบวกหรือว่าขั้วลบ ซึ่งระบบจะรับไฟฟ้าเข้าสู่ Wallbox ก่อนนำกระแสเข้าสู่ On Board Charger ในตัวรถ ก่อนแปลงไฟฟ้าเป็นไฟฟ้ากระแสตรง แต่หากเป็นการชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ DC Charging จะเป็นการนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เลยโดยที่ไม่ต้องผ่าน On Board Charger จึงทำให้ได้เปอร์เซ็นต์แบตที่ไวมากกว่า และแบตเตอรี่เต็มเร็วกว่าในการชาร์จไฟรถยนต์ EV

ชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ดีกว่ายังไง?

  • เป็นการชาร์จไฟที่ไม่ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่ในระยะยาว เพราะผ่านตัวกลางก่อน
  • เป็นระบบการชาร์จไฟที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จไว้ที่บ้าน ที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ส่วนตัว
  • สามารถชาร์จไฟข้ามคืนได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อม
  • การชาร์จไฟด้วยระบบ AC มีค่าไฟที่ถูกที่สุด
  • ใช้งานได้ง่าย เพียงแค่เสียบปลั๊กก็สามารถชาร์จไฟได้ทันที
  • รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุดถึง 22 kW ซึ่งเพียงพอต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน
  • การชาร์จ AC นอกบ้านตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีราคาที่ถูกกว่าการชาร์จแบบ DC
  • หัวชาร์จรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น โดยเฉพาะหัวชาร์จ AC Type 2 ที่นิยมในปัจจุบัน

หมายเหตุ: อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟแบบ AC และ DC จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และแต่ละสถานีก็จะมีค่าชาร์จไฟต่อหน่วยที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องเช็กค่าบริการก่อนทุกครั้ง

ข้อจำกัดของการชาร์จไฟแบบ AC Charging

  • ใช้ระยะเวลาการชาร์จที่นานมากกว่าการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC Charging
  • อาจไม่สะดวกในการใช้งานสำหรับบางสถานการณ์ เช่น การเดินทางไกล หรือเวลาเร่งรีบ
  • ปัจจุบันเครื่องชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ยังรองรับการชาร์จเพียงแค่ 3 – 22 kW เท่านั้น
การชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

ชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

จะเห็นได้เลยว่า การชาร์จไฟแบบ AC หรือการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นรูปแบบการชาร์จที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เพราะสามารถชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ มีราคาค่าไฟต่อหน่วยถูกกว่า และที่สำคัญคือ สามารถเสียบหัวชาร์จกับตัวรถค้างคืนได้ ไม่ต้องรอถอดหัวชาร์จออกจากตัวรถเมื่อแบตเตอรี่เต็ม และหากติดตั้ง Home Charger ที่สามารถตั้งค่าการชาร์จไฟได้ผ่านทาง Application ก็สามารถควบคุมการชาร์จได้โดยไม่ต้องเดินมาที่ตัวรถ เช่น เมื่อแบตเตอรี่เต็มก็สามารถหยุดการชาร์จได้ผ่านแอปฯ

นอกจากนี้ การชาร์จไฟแบบ AC ยังมีข้อดีคือ การประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟ โดยเฉพาะผู้ที่ติดตั้ง Home Charger ที่ใช้ควบคู่กับมิเตอร์ TOU ที่เมื่อชาร์จไฟในเวลา Off – Peak ก็จะช่วยลดคอร์สค่าใช้จ่ายลงไปได้อีกหลายเท่า ชนิดที่ว่าต่อให้ใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเท่าเดิม มีเพิ่มเติมมาแค่การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าทุกวัน แต่หากชาร์จไฟในเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าต่ำ ตามรูปแบบของมิเตอร์ TOU ด้วยแล้ว ก็จะพบว่าค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนถูกลงจนเห็นได้ชัด

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น Home Charger รุ่นดังอย่าง Teison Smart Mini, EN+ Caro Pro และ Caro Series ทั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 1 และ/หรือการติดตั้งแบบวงจรที่ 2 กับทางทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ตามมาตรฐาน กฟผ. และ กฟน. เพียงแค่ติดต่อมาที่ Plughaus Thailand วันนี้ รับทันทีสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งโปรโมชันสุดคุ้ม และประกันหลังการติดตั้ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เครื่องชาร์จรถ EV สามารถมั่นใจได้มากขึ้น ว่าจะได้รับการติดตั้งที่มีมาตรฐาน ทั้งยังมีการการันตีทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง

มัดรวม 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ที่คนใช้รถ EV ควรโหลด!

บอกต่อแอปพลิเคชันสำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ควรโหลด กับ 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ใกล้ฉัน! ที่ใช้งานง่าย ตามหา EV Station ได้ทั่วประเทศ พร้อมเช็กสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time สถานีชาร์จไหนว่างบ้าง อัปเดตกันได้ไวทันใจ! พร้อมรีวิวการใช้งานแบบง่าย ๆ สำหรับแอปฯ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ที่มีติดมือถือไว้แล้วทำให้การใช้รถอีวีสะดวกมากยิ่งขึ้น เดือนทางไปไหนก็ตามหาจุดชาร์จที่ใกล้ที่สุดได้ทันที

แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Evolt App EV Station และ MEA

5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จไฟรถ EV ที่ใช้แล้วดีจริง!

Evolt EV Station App

สำหรับแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ของทาง Evolt ถือว่าเป็นหนึ่งในแอปที่มีความครอบคลุมมากที่สุด ในการให้บริการด้านการชาร์จไฟที่สถานีชาร์จ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดต่าง ๆ ทั้งประเทศไทย โดยในปัจจุบันทางอีโวลท์ได้มีการอัปเกรดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเวอร์ชันใหม่ ที่มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น ทั้งยังเช็กสถานะในการชาร์จไฟได้แบบ Real Time

จุดเด่นของแอปฯ Evolt

  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ทั่วประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศอย่าง European Zone
  • มีข้อมูลสถานีชาร์จไฟที่ครบครัน รวมถึงรูปแบบการชาร์จไฟอย่าง AC และ DC Charger
  • สามารถเลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติมเข้าแอปฯ ได้ เริ่มต้นเพียง 200 บาท เท่านั้น
  • ในหน้าแอปฯ EV Station จะบอกสถานะของหัวชาร์จว่าว่างจำนวนเท่าไหร่บ้าง
  • ติดตามการชาร์จไฟได้โดยตรงผ่านทางแอปฯ ไม่ต้องเฝ้ารถ ก็สามารถดูสถานะได้ตลอด

2. MEA EV

แอปชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า MEA EV เป็นแอปที่อยู่ภายใต้การให้บริการของการไฟฟ้านครหลวง โดยจุดเด่นคือ มีความครอบคลุมด้านการให้บริการสถานีชาร์จที่ครอบคลุมในประเทศไทย โดดเด่นมากที่สุดคือในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยเฉพาะตามสถานที่สาธารณะประโยชน์ องค์กรภาครัฐ และปั๊มน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งหมด 86 สถานีชาร์จ และมีทั้งในรูปแบบ AC และ DC เช่นกัน

จุดเด่นของแอปฯ MEA EV

  • ให้บริการในพื้นที่ทำการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างครอบคลุมตามเขตต่าง ๆ
  • อัตราค่าบริการเพียงแค่ 7.5 บาท/หน่วย
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่สาธารณประโยชน์ และอาคารจอดรถของสถานีรถไฟฟ้า
  • รองรับการชำระอัตราค่าบริการด้วยเมนู MEA Wallet เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • ติดตามสถานะในการชาร์จไฟได้ตลอดเวลา รวมถึงการกด Start และ Stop ในแอปฯ
  • ผู้ใช้แอปฯ จะทราบปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า PEA, EA Anywhere และ PluZ

3. PEA Volta

แอปพลิเคชัน PEA Volta เป็นแอปฯ ให้บริการการชาร์จไฟโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งตู้ชาร์จไฟรถ EV ในสำนักงานของ PEA เป็นหลัก รวมถึงปั๊มน้ำมันบางจากในพื้นที่ต่าง ๆ การอัดประจุมีทั้งแบบ AC และ DC โดยทุกสถานีที่ติดตั้งจะใช้มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของ กฟภ. โดยตรง ส่วนอัตราค่าบริการจะใช้ระบบการเติมเงินแบบ Prepaid ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวกมากขึ้น

จุดเด่นของแอปฯ PEA EV

  • โดดเด่นเรื่องการให้บริการในพื้นที่สำนักงานของ กฟผ. และปั๊มน้ำมัน
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่ต่างจังหวัด รองรับผู้ใช้รถ EV ทั่วประเทศ
  • มีการเปิดให้บริการสถานีชาร์จใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อรองรับผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น
  • อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟในช่วง Off Peak เฉลี่ยเริ่มต้นที่ 5.30 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทาง Application ได้ทั่วประเทศ
  • มีฟังก์ชัน Trip Planner สำหรับการวางแผนการเดินทางของผู้ใช้รถ

4. EA Anywhere

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็คือแอปฯ EA Anywhere ที่ในปัจจุบันมุ่งเน้นการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าด้วยระบบ DC Charging แบบหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยการให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในโซนต่างจังหวัด อาทิ สถานีชาร์จในภาคอีสาน โดยตัวแอปสามารถใช้วงเงินจาก Wallet สำหรับการชำระค่าบริการได้ โดยจุดเด่นของแอปที่น่าจะถูกใจผู้ใช้รถ คือ การจองหัวชาร์จล่วงหน้า ที่ช่วยให้วางแผนในการเดินทางได้อย่างเป็นระบบ และไม่ต้องต่อคิวชาร์จ

จุดเด่นของแอปฯ EA Anywhere

  • มีความโดดเด่นเรื่องการจองสถานีชาร์จล่วงหน้า เหมาะสำหรับคนที่เดินทางบ่อย ๆ
  • เมื่อจองสถานีชาร์จเอาไว้แล้ว จะมีระบบนำทางพาไปยังสถานีชาร์จ
  • มีระบบการแจ้งเตือนก่อนหมดเวลา 30 นาที
  • สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทางแอปฯ
  • มีการอัปเกรด Application ใหม่ สามารถใช้ User ID เดิมได้
  • รองรับการใช้คู่กับรถไฟฟ้าหลายประเภท ทั้ง BEV และ PHEV

5. EV Station PluZ

ปิดท้ายกันด้วยแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่อยู่คู่คนใช้รถอย่าง EV Station PluZ แอปค้นหาสถานีชาร์จในเครือ ปตท. ที่ในปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ด้วยการให้บริการที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. โดยตรง ทำให้มีจุดชาร์จไฟที่ครอบคลุมมากที่สุดในไทย ซึ่งล่าสุดทาง EV Station PluZ ก็ได้ขยายจุดชาร์จครบ 1,000 แห่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกว่าเป็นการขยายจุดชาร์จรถ EV แบบหน้ากว้างที่รวดเร็วเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

จุดเด่นของแอปฯ EV Station PluZ

  • พื้นที่ให้บริการส่วนมากอยู่ในปั๊ม ปตท. (PTT) ทำให้มีความครอบคลุมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
  • รองรับการจองเพื่อใช้บริการล่วงหน้า ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้รถที่ต้องการจองก่อนชาร์จ
  • สามารถทำการยกเลิกการจองใช้บริการที่สถานีชาร์จ EV Station ได้ (อย่างน้อย 2 ชม.)
  • เมื่อมีการยกเลิกการจอง จะมีการคืนค่าจองกลับมาในรูปแบบของคูปองภายในแอปฯ
  • มีบริการหัวชาร์จ Ultra – Fast Charger รวม 6 หัวจ่าย กำลังไฟ 480 kWh
แนะนำแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถ EV ทั่วประเทศไทย

สรุป

สำหรับแอปพลิเคชันชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถอีวี ไม่ว่าจะเป็นแอปของทาง PEA และ MEA หรือแม้แต่ Evolt Application เอง ก็นับว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน รวมถึงอัตราค่าบริการ EV Charging Station ของแต่ละผู้ให้บริการด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ EV อย่าลืมดาวน์โหลดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้า มาติดไว้ในมือถือให้พร้อม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเลือกใช้บริการที่สถานีชาร์จรถ EV ที่สะดวกและใกล้เคียงที่สุดได้ทั่วประเทศ

มาตรฐานการติดตั้ง ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้!

ในปัจจุบันนี้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในครัวเรือน นับว่าได้รับความนิยมมากขึ้น ตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในเมืองไทย ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องมาคู่กับ Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ต้องมีการติดตั้งสำหรับชาร์จไฟ เพื่อเป็นพลังงานในแบตเตอรี่รถยนต์เช่นกัน ซึ่งการติดตั้งเครื่องชาร์จก็มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาควบคู่กัน หนึ่งในนั้นก็คือ “ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2” ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในตอนนี้

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 คืออะไร?

ระบบไฟฟ้าวงจร 2 คือ การเดินวงจรไฟฟ้าใหม่คู่ขนานกับวงจรเดิม โดยเป็นการเดินระบบไฟฟ้าจากมิเตอร์บ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยจะเป็นวงจรที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อใช้สำหรับการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งการติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 มีข้อดีคือ ไม่ต้องรื้อระบบไฟฟ้าใหม่ และมีความปลอดภัยในการชาร์จไฟทุกครั้ง หากติดตั้งตามมาตรฐานของการไฟฟ้าที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วเช่นกัน ทำให้ควบคุมค่าไฟของครัวเรือนได้ง่ายยิ่งขึ้น

ข้อดีของการติดตั้งวงจรที่ 2 สำหรับ EV Charger

การแยกวงจรไฟฟ้า หรือ การติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 นั้น นอกจากจะช่วยแยกวงจรไฟฟ้าสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV ได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไฟฟ้าลัดวงจร หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาไฟฟ้าเกิดพิกัด หรือ Overload ซึ่งการติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า ไฟในบ้านจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานของสมาชิกในบ้าน ชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ประสิทธิภาพทั้งหมด และที่สำคัญคือ วงจรที่ 2 จะไม่ไปยุ่งกับระบบไฟฟ้าเดิม การติดตั้งจึงง่ายและรวดเร็ว

ขั้นตอนการติดตั้งวงจรที่ 2

การติดตั้งวงจรที่ 2 จะต้องทำระบบวงจรไฟฟ้า สำหรับการติดตั้งรถยนต์ EV จากมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยในตู้ไฟจะต้องมีการติดตั้งเมนเซอร์กิตเบรกเกอร์ (Main Circuit Breaker) แบบ 2 Pole พิกัด 50A รวมถึงติดตั้ง RCD กันดูด และระบบกราวด์ความลึก 2.4 เมตร เบื้องต้นหากต้องการติดตั้งวงจรที่ 2 ต้องติดตั้งตามมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

โดยการขออนุญาตจะต้องไปทำเรื่องขอมิเตอร์ชาร์จรถไฟฟ้า โดยมิเตอร์ต้องมีขนาด 30(100) A ขึ้นไป หรือระดับ 50(150) A เพื่อให้เพียงพอต่อการเดินสายไฟสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV และการติดตั้ง EV Charger เมื่อมีการแจ้งการไฟฟ้าแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบมาตรฐานการติดตั้ง พร้อมการเปลี่ยนมิเตอร์ตัวใหม่ขนาด 30(100) A ให้ แต่หากที่บ้านเป็นมิเตอร์ขนาด 30(100) อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดมิเตอร์เพื่อติดตั้ง Home Charger

ติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

อุปกรณ์สำหรับติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

1. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)

สำหรับตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) เป็นอุปกรณ์ทำใช้สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟต่าง ๆ เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) ลูกย่อยแบบ 1 Pole และกันดูด RCD โดยต้องมีมาตรฐาน มอก. หรือ IEC โดยแนะนำว่าสามารถรองรับการติดตั้งเพิ่มในอนาคตได้ โดยที่นิยมคือแบบ 4 – 7 ช่องสำหรับวงจร 2

2. เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Breaker)

เป็นอุปกรณ์สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อมีวงจรไฟฟ้ามีปัญหา โดยที่นิยมจะใช้เป็นขนาด 50A ชนิด 2 Pole โดยต้องรองรับทั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส สำหรับเซอร์กิตเบรกเกอร์สามารถเลือกใช้แบรนด์ไหนก็ได้ตามมาตรฐาน มอก. หรือ IEC เช่น ABB, Scheider, Panasonic, Haco, NANO ฯลฯ

3. สายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน

โดยสายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน สำหรับการติดตั้งวงจรที่ 2 ควรมีขนาด 16 มม. ขึ้นไป ชนิด THW มีคุณสมบัติไม่ลามไฟและมี มอก. รองรับ โดยในตลาดที่นิยมกันคือยี่ห้อ Yazaki, TripleN PKS และ บางกอกเคเบิ้ล

4. หลักดิน

การเลือกใช้หลักดินสำหรับติดตั้งระบบไฟฟ้า วงจรที่ 2 ควรเป็นแท่งเหล็กหุ้มด้วยทองแดง หรือแท่งทองแดง หรือ แท่งเหล็กอาบสังกะสี ที่มีมาตรฐานตาม ว.ส.ท. โดยต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 5/8 นิ้ว

5. เครื่องตัดไฟรั่ว (RDC)

การใช้เครื่องตัดไฟรั่วในการติดตั้ง วงจรที่ 2 โดยควรเป็นกันดูดชนิด Type B ที่สามารถตัดไฟได้ทั้งการรั่วของกระแสตรงและกระแสสลับ แต่หากเครื่องชาร์จตัดไฟกระแสตรงได้ สามารถใช้ RCD กันดูด Type A ได้

หมายเหตุ : การติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถติดต่อการไฟฟ้าได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมทำเรื่องยื่นขอมิเตอร์ตัวที่ 2 สำหรับ EV

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อม Home Charger

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อมเครื่องชาร์จไฟ Home Charger

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน พร้อมระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 สามารถเลือกใช้บริการและติดตั้ง Home Charger ในรูปแบบของ AC Charging สำหรับรถยนต์ EV กับทาง PlugHaus Thailand ได้ทุกรุ่น ด้วยบริการแบบ One Stop Service ที่นอกจากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายแล้ว ยังมีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟที่บ้านจากทีมงานมืออาชีพ โดยทางเราจะมีทั้งการตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟฟ้า พร้อมการวางระบบไฟให้อย่างครบวงจร ที่สำคัญคือ มีประกันอัคคีภัยพร้อมประกันหลังการติดตั้งให้เช่นกัน

รีวิว EN+ Caro Series เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มาตรฐาน IP65

หากพูดถึง Home Charger ที่มีราคาสบายกระเป๋า และมีประสิทธิภาพการใช้งานที่ครบครัน เชื่อว่าผู้ใช้งานจริงหลาย ๆ คน ก็ต้องแนะนำที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า “EN+ Caro Series” อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่มีดีไซน์กะทัดรัด มินิมอล และสามารถติดตั้งได้กับทุกพื้นที่ของบ้านแล้ว ยังใช้งานผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย เรียกได้เลยว่า หากใครกำลังมองหาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ที่ใช้งานง่ายและมีฟังก์ชันที่ครบครัน Caro Series ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนใช้รถยนต์ EV

รีวิวเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Serie

จุดเด่นของเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Series

สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series นั้น ถือเป็นหนึ่งใน Home Charger ที่โดดเด่นเรื่องการออกแบบที่มีความหรูหรา และผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ครบครัน โดยที่ยังคงให้ความสะดวกสบายต่อผู้ใช้งานอย่างสูงสุด นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Red Dot Design Award 2023 ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า เป็นเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน มีความเรียบหรู ไซซ์มินิ ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 3.1 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่จัดเต็ม เข้าได้กับบ้านทุกสไตล์ ทั้งยังรองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จ Type 2 ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าได้หลายรุ่นที่จำหน่ายในไทย อาทิ ORA Good Cat, BYD Atto, BYD Seal, ChangAn Deepal E07, MG EP Plus ฯลฯ

ฟังก์ชันการใช้งานของเครื่องชาร์จ EN+ Caro Series

  • การควบคุมการชาร์จอย่างชาญฉลาด ด้วยระบบ Dynamic Load Management
  • สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi – Fi และ Bluetooth
  • ใช้งานและควบคุมการทำงานได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน EV Chargo เมื่อเชื่อมต่อ Ethernet
  • สามารถกันน้ำและฝุ่นได้ในระดับ IP65 ใช้งานได้ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
  • มีมาตรฐานการกันกระแทก IK8 ทำให้ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
  • รองรับการใช้งานได้ด้วยระบบไฟฟ้า 1 เฟส ด้วยกำลังไฟ 7.4 kW
  • ใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Type 2
  • โหมดการชาร์จอัจฉริยะด้วย RFID, Plug & Play และ Application
  • มีระบบ Load Balance ที่ทำให้การชาร์จมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • มีระบบไฟแบบ Multi Coloured RGB Light Indication
  • ระบบสวิตช์แบบออโต้ หรือ Auto-Switch ระหว่าง 1Phase และ 3Phase
  • รองรับอุณหภูมิต่ำสุดที่ -30 องศาเซลเซียส และสูงสุดที่ 50 องศาเซลเซียส

สีตัวเครื่อง

  • สีดำ Glossy Black
  • สีขาว Pure White
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Serie พร้อมราคาจำหน่าย

โปรโมชั่น EN+ Caro Series พร้อมราคาจำหน่าย

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series 7.4 kW หากเป็นราคาเครื่องเปล่า รุ่นสายยาว 7 เมตร ปัจจุบันมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 23,900 บาท แต่หากลูกค้าท่านใดที่ต้องการบริการติดตั้งแบบครบวงจร จากทางทีมงานของทาง PlugHaus Thailand จ่ายเพียงแค่ 34,900 บาท ก็สามารถรับบริการการติดตั้ง Home Charger พร้อมการออกแบบระบบไฟภายในบ้าน ให้รองรับการใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านได้แบบครบ จบ ในที่เดียว และที่สำคัญคือ มีบริการหลังการขายให้อย่างครบครัน เพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานได้มากที่สุด

ติดตั้งเครื่องชาร์จ EN+ Caro Serie กับ PlugHaus Thailand

มองหาเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านราคาดี พร้อมบริการติดตั้ง เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ใช้งานรถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าทุกชนิด ที่กำลังมองหาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ใช้งานได้อย่างครอบคลุมกับความต้องการ เหมาะกับรถยนต์ EV ที่ใช้อยู่ และมีราคาสบายกระเป๋า สามารถเลือกติดตั้ง EV Home Charger กับทาง PlugHaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรามี EV Charger ให้เลือกหลากหลายรุ่นจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น EN+ Caro Series 7.4 kW, Teison Smart Mini, Wallbox Pulsar Pro, Wallbox Pulsar Plus และ Wallbox Pulsar Max

โดยทาง PlugHaus นอกจากจะมีบริการให้คำแนะนำเรื่องการเลือก Home Charger จากทางทีมงานมืออาชีพ โดยเฉพาะแล้ว เรายังผ่านการรับรองด้านการติดตั้งจากทาง MEA และ PEA โดยวิศวกรไฟฟ้าที่ผ่านการรับรอง ที่มีความเชี่ยวชาญงานระบบโดยตรง ทั้งการวางแผนการติดตั้งให้เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าที่บ้านของคุณใช้ การแนะนำวิธีดูแลรักษา Home Charger ให้ใช้งานได้ยาวนาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายใน และที่สำคัญคือ เรามีบริการรับประกันหลังการติดตั้ง พร้อมประกันวินาศภัยให้เพิ่มเติม สำหรับลูกค้าที่ติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ

ยอดจองรถ Motor Expo 2024 รวม 54,513 คัน BYD มาแรงอันดับ 2

หลังจากปิดฉากงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ทิศทางตลาดรถยนต์ในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะค่ายรถหลาย ๆ ค่าย ที่ถึงแม้จะเพิ่งเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่ก็สามารถทุบสถิติสร้างยอดจองรถในงาน Motor Expo 2024 ได้สูงหลายค่าย โดยในปีนี้ยอดจองรถยนต์ทั้งหมด ปิดยอดจองไปที่ 54,513 คัน โดยแชมป์ก็ยังคงเป็นของพี่ใหญ่อย่าง Toyota เช่นเดิม ในขณะที่ค่ายจีนอย่าง BYD กลับทำสถิติได้ดีมาก ๆ เพราะคว้ารองแชมป์ไปได้เป็นครั้งแรกหลัง ด้วยยอดจองทั้งหมด 6,971 คัน เรียกว่า งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 นี้ มีเม็ดเงินที่สะพัดถึง 5.5 หมื่นล้านบาท

ยอดจองรถ Motor Expo 2024 รวม 54,513 คัน BYD มาแรงอันดับ 2

รวมยอดจองรถ Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41

  • อันดับ 1 Toyota 8,297 คัน
  • อันดับ 2 BYD 6,917 คัน
  • อันดับ 3 HONDA 5,081 คัน
  • อันดับ 4 AION 3,668 คัน
  • อันดับ 5 MG 3,311 คัน
  • อันดับ 6 DEEPAL 2,756 คัน
  • อันดับ 7 MITSUBISHI 2,609 คัน
  • อันดับ 8 NISSAN 2,219 คัน
  • อันดับ 9 GWM 2,060 คัน
  • อันดับ 10 NETA 2,016 คัน
  • อันดับ 11 ISUZU 1,942 คัน
  • อันดับ 12 MAZDA 1,509 คัน
  • อันดับ 13 BMW 1,331 คัน
  • อันดับ 14 FORD 1,154 คัน
  • อันดับ 15 Mercedes-BENZ 1,122 คัน
  • อันดับ 16 SUZUKI 1,012 คัน
  • อันดับ 17 OMODA & JAECOO 1,008 คัน
  • อันดับ 18 ZEEKR 866 คัน
  • อันดับ 19 GEELY 766 คัน
  • อันดับ 20 XPENG 638 คัน
  • อันดับ 21 DENZA 573 คัน
  • อันดับ 22 HYUNDAI 555 คัน
  • อันดับ 23 RIDDARA 532 คัน
  • อันดับ 24 KIA 468 คัน
  • อันดับ 25 WULING 389 คัน
  • อันดับ 26 AVATR 337 คัน
  • อันดับ 27 VOLVO 330 คัน
  • อันดับ 28 MINI 230 คัน
  • อันดับ 29 TESLA 193 คัน*
  • อันดับ 30 AUDI 141 คัน
  • อันดับ 31 LEAPMOTOR 117 คัน
  • อันดับ 32 LEXUS 99 คัน
  • อันดับ 33 PORSCHE 92 คัน
  • อันดับ 34 JUNEYAO 63 คัน
  • อันดับ 35 PEUGEOT 22 คัน
  • อันดับ 36 LOTUS 20 คัน
  • อันดับ 37 MASERATI 15 คัน
  • อันดับ 38 JEEP 11 คัน
  • KING LONG / FOTON / BYD Commercial ไม่มียอด
  • อื่นๆ BRG 40 คัน

ที่มา : บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงาน Thailand International Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41

สรุปยอดจองรถ Motor Expo 2024 โดยบริษัท สื่อสากล จำกัด

ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า BYD Motor Expo 2024 ทุบสถิติคว้ารองแชมป์ปีนี้!

สำหรับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง BYD เอง ก็ถือว่าทำสถิติได้ดีมาก ๆ ในงาน Motor Expo 2024 ปีนี้ เพราะสามารถคว้ารองแชมป์ไปได้ ล้มเจ้าตลาดอย่าง Honda ที่ในแต่ละปีจะมียอดจองเป็นรองลงมาจาก Toyota เสมอมา เรียกว่าเป็นรองเจ้าตลาดตลอดกาลก็ว่าได้ แต่ในปีนี้ทาง BYD กลับแซงหน้าได้อย่างสวยงาม ด้วยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ในงาน Motor Expo 2024 ถึง 6,971 คัน

และถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา จะมีการประกาศหั่นราคาของ BYD Dolphin แต่ก็ยังคงเป็นรุ่นที่มียอดจองสูงมาก ๆ เพราะยอดจอง BYD Dolphin หลังลดราคา ในงานมหกรรมยานยนต์นั้น มียอดจองทั้งหมด 1,189 คัน เป็นรองเพียงแค่รุ่น Sealion 7 ที่มียอดจองสูงสุดของค่าย BYD

ทั้งนี้ ยอดรถยนต์ไฟฟ้าในงาน ทั้งของ BYD และ DENZA ในงาน Motor Expo 2024 มีทั้งหมด 7,042 + 573 รวม 7,615 คัน ได้แก่

  • อันดับ 1 : BYD Sealion7 3,853 คัน (50.6%)
  • อันดับ 2 : BYD Dolphin 1,189 คัน (15.6%)
  • อันดับ 3 : BYD Sealion6 863 คัน (11.3%)
  • อันดับ 4 : Denza D9 573 คัน (7.5%)
  • อันดับ 5 : BYD Atto3 446 คัน (5.9%)
  • อันดับ 6 : BYD M6 366 คัน (4.8%)
  • อันดับ 7 : BYD Seal 325 คัน (4.3%)

หมายเหตุ : ยอดจองของทาง BYD ทั้งหมด จะอยู่ที่ 7,042 คัน เมื่อรวมกับแคมเปญภายในงาน โดยยอดจองที่สรุปจากทาง Motor Expo 2024 เป็นตัวเลขที่ได้จากการคำนวณรายการส่งเสริมการขาย “ซื้อรถ ชิงรถ”

ทิศทางตลาดรถ EV ในไทย หลังจบงาน Motor Expo 2024

หลังจากจบงานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41 ไปแล้ว จะเห็นได้เลยว่า ทิศทางของ ตลาดรถ EV ในไทย มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยเฉพาะเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่นอกจากจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแล้ว มาตรการต่าง ๆ ของทางรัฐบาล ก็ยังส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตได้ในปี 2568 ที่จะถึงนี้ ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน

1. ราคารถและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

หากลองสังเกตแล้วจะเห็นได้เลยว่า ในปัจจุบันนี้ราคารถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น Segment ใด ๆ ต่างก็มีการปรับราคาลดลงจากเดิม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาแบตเตอรี่ที่ถูกลง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงตามไปด้วย การปรับราคาเพื่อแข่งขันกันในตลาดจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ค่ายรถยนต์เลือกใช้ นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ แบรนด์ ต่างก็หันมาลุยตลาดรถ EV มากขึ้น ทั้งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ด้วย ยิ่งบวกกับเทรนด์รักษ์โลกในปัจจุบัน ก็ยิ่งส่งผลให้ตลาดรถ EV เติบโตมากขึ้นในปี 2568

2. มีรุ่นรถหลากหลายให้เลือกสรร

หากเป็นแต่ก่อนเราจะคุ้นชินกับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถเก๋ง 4 ประตู หรือรถกลุ่ม Crossover แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาแบตเตอรี่พร้อมตัวรถให้หลากหลายมากขึ้น เข้ากับบริบทการใช้งานในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่จะใช้รถเพื่อการประกอบอาชีพ หรือใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก จึงทำให้มีรถหลากหลายประเภทเปิดตัวพร้อมจัดจำหน่ายในราคาที่เทียบเท่ากับรถยนต์สันดาป อาทิ รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ล่าสุดก็มีการเปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วเช่นกัน โดยรถกระบะไฟฟ้าคันแรกที่เข้ามาบุกตลาดก็คือ RIDDARA RD6 ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมานี้

3. พื้นที่ให้บริการชาร์จไฟรถ EV ครอบคลุมทั่วประเทศ

ถึงแม้ว่าในบางพื้นที่จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ได้หนาแน่นเทียบเท่ากับในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ให้บริการ EV Charger Station จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Evolt, PTT EV Station, PEA Volta, MEA, EA Anywhere หรือแม้แต่ EleX by EGAT ที่ก็มีจุดชาร์จครอบคลุม และมีแอปพลิเคชันค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่ใช้งานง่าย สามารถค้นหาพื้นที่บริการได้อย่างครอบคลุม

ทิศทางตลาดรถ EV ในไทย หลังจบงาน Motor Expo 2024

อย่างไรก็ตาม จากการปิดฉลากงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา นอกจากจะทำให้เห็นทิศทางของตลาดรถยนต์ในเมืองไทยได้กว้างมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เห็นด้วยว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ที่นอกจากค่าย BYD จะทะยานขึ้นเป็นอันดับ 2 แล้ว ค่ายอื่น ๆ ก็มียอดจองที่สูงและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน อาทิ DEEPAL, GWM, AION และ NETA ที่ติด Top 10 ยอดจองสูงสุดในงาน Motor Expo 2024 ในปีนี้ ซึ่งก็ช่วยเป็นเครื่องการันตีได้เช่นกันว่า ทิศทางของตลาดรถ EV ในเมืองไทยเป็นไปในทิศทางที่ดี และผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อรถยนต์ EV มากขึ้นเช่นกัน

รีวิว Leapmotor C10 เผยโฉมครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024

เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาแรงและติด Top การค้นหามากที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับเจ้า “Leapmotor C10” รถยนต์แบรนด์จีนที่อยู่ในเครือของ Stellantis ที่คนรักรถต้องรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น Jeep, Peugeot, Opel, RAM, Alpha Remeo และ Maserati ซึ่งในครั้งนี้ก็ถึงคิวของ Leapmotor C10 SUV 5 ที่นั่ง ที่จะมาบุกตลาดรถ EV ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยโฉมครั้งแรกในงาน Thailand International Motor Expo 2024 และงานนี้ก็ไม่ได้มีแค่การเผยโฉมพร้อมสเปกเท่านั้น แต่ยังประกาศราคาจำหน่าย โดยเริ่มต้นที่ 1,098,000 บาท (นำเข้า CBU)

Review Leapmotor C10 รถไฟฟ้า SUV 5 ที่นั่ง และสเปก

จุดเด่นของ Leapmotor C10 รถ SUV 5 ที่นั่ง

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Leapmotor C10 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถ SUV หรือรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างอรรถประโยชน์ โดยเฉพาะพื้นที่สัมภาระและความกว้างของห้องโดยสาร ที่น่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้รถหลายกลุ่ม มีจุดเด่นหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะฟังก์ชันการใช้งาน สเปกของตัวรถ และอุปกรณ์ภายในที่ครบครัน อาทิ ระบบการชาร์จแบบไร้สาย หรือ Wireless Charger หรือแม้แต่การควบคุมรถระยะไกลผ่านทางแอปฯ นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการ LEAP OS 4.0 ที่จะทำให้การใช้งานง่ายยิ่งขึ้น เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 2024 – 2025 ในกลุ่ม SUV ที่น่าสนใจ และน่าใช้งานอีกหนึ่งรุ่น

Review Leapmotor C10 and Specs

Highlight ของ Leapmotor C10 เข้าไทยครั้งแรกส่งท้ายปี!

  • การออกแบบระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งที่มีความลงตัว
  • ใช้ไฟหน้า LED แบบ “Angle – Wing” ที่มาพร้อมกับ DRL แบบ Sequential
  • มีระบบ Active Grille Shutter (AGS) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแอโรไดนามิกได้ดั
  • ล้ออัลลอยลาย Trident ที่ช่วยเพิ่มลวดลายให้ดูโดดเด่นมากขึ้น
  • ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8115 พร้อม Leap OS 4.0
Review Leapmotor C10 and Specs

มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,739 x 1,900 x 1,680
  • ระยะฐานล้อ 2,825 มม.
  • ระยะจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 190 มม.
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 435 – 900 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)
  • น้ำหนักตัวรถ 1,980 กก.
รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

อุปกรณ์และฟังก์ชันภายในตัวรถ

  • แผงหน้าปีดแบบบุนุ่ม หุ้มด้วยหนัง Soft Touch
  • มือจับแผงบุหลังคา พร้อมกับฟังก์ชันลดแรงสั่นสะเทือน
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน
  • เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมกับ Welcome Seat
  • เบาะนั่งคู่หน้า ที่มีระบบทำความร้อนและระบายอากาศในตัว
  • ไฟตกแต่งภายในกะพริบเป็นจังหวะ มีถึง 64 สี สร้างสีสันภายในห้องโดยสาร
  • จอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมระบบคำสั่งเสียง OTA
  • หน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมกล้อง 360 องศา
  • ใช้เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO – Tex Standard 100 ปลอดภัยต่อเด็กทารก
  • มีหลังคาก Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร
  • ระบบเสียงรอบทิศทาง พร้อมกับลำโพง 12 ตัว
  • ใช้กุญแจ NFC
รีวิว Leapmotor C10 ภายนอกพร้อมไฟ Light Bar

ระบบความปลอดภัยและ Safety

  • ไฟควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ฟังก์ชันไดนามิกเบรก (DBF) และระบบเบรกโอเวอร์ไรด์ (BOS)
  • ระบบช่วยควบคุมการทท่รงตัวขณะออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP)
  • ระบบป้องกันรถไหลอัตโนมัติ (AVH)
  • ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (MCB)
  • ถุงลมนิรภัย พร้อมม่านถุงลงนิรภัยแถว 1 และ 2 (ซ้ายและขวา)
  • ระบบล็อกป้องกันเด็กเปิดประตูแบบ 2 ชั้น
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อลืมปิดประตู
  • การปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน
  • ระบบการควบคุมให้รถอยู่ในเลน (LKA)
  • ระบบการควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISA)
  • การแจ้งเตือนเมื่อพบว่าคนขับเกิดภาวะง่วงซึม (DDAW)
  • ฯลฯ

สเปกและแบตเตอรี่ พร้อมการชาร์จไฟของตัวรถ

Leapmotor C10 ใช้ระบบการขับเคลื่อนล้อหลัง RWD มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor โดยมีพละกำลังที่สูงถึง 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า (PS) โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ยังพ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium – ion ที่ความจุ 69.9 kWh รองรับการชาร์ด้วยหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo ซึ่งหากชาร์จด้วย AC Charger (ไฟฟ้ากระแสสลับ) จะรองรับสูงสุดอยู่ที่ 6.6 kW แต่หากเป็นการชาร์จด้วย DC Charger สามารถรองรับการชาร์จได้ถึง 84 kW (ชาร์จจาก 30 – 80% ในเวลาเพียง 30 นาที) ซึ่งระยะทางวิ่งสูงสุดจะอยู่ที่ 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กม./ชม.

 รีวิว Leapmotor C10 ภายในห้องโดยสาร

สีตัวถังและสีภายในห้องโดยสาร

สีตัวถัง

  • สีเขียว Glazed Green
  • สีดำ Metallic Black
  • สีขาว Pearly White
  • สีเทา Canopy Grey
  • สีเทา Tundra Grey

สีภายในห้องโดยสาร

  • สีน้ำตาล Criollo Brown
  • สีดำ Midnight Aurora
ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 ในไทย

ราคาจำหน่าย Leapmotor C10 อยู่ที่ 1,098,000 บาท

สำหรับราคาจำหน่ายของ Leapmotor C10 69.9 kWh Rear – Wheel Drive มีราคาอยู่ที่ 1,098,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่นำเข้า CBU มาในไทย แต่ที่พิเศษมากกว่าคือ ลูกค้าที่สนใจออกรถในช่วงนี้ และเป็นลูกค้าที่จองรถ 200 ท่านแรก จะได้รับส่วนลดในแคมเปญพิเศษสูงสุดถึง 120,000 บาท

  • เบี้ยประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
  • Home Charger พร้อมบริการติดตั้งฟรี
  • บริการจดทะเบียนรถใหม่
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 5 ปี
  • แพ็กเกจบำรุงรักษาตัวรถนานสูงสุด 5 ปี
  • ฟรีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา
  • รับประกันคุณภาพรถ 5 ปี หรือ 100,000 กม.
  • รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กม.

จะเห็นได้เลยว่า Leapmotor C10 เป็นหนึ่งในรถ SUV 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว และมีความ Luxury สูงมาก ๆ ซึ่งหากเทียบกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่จำหน่ายในไทยอยู่ในตอนนี้ ก็จะอยู่ในไทป์เดียวกันกับ Deepal S07, BYD Sealion7, KIA EV5 และ AION V ที่มีขนาดตัวรถที่ใกล้เคียงกัน และหากเทียบกับราคาจำหน่าย พร้อมโปรโมชั่นในช่วงแคมเปญนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในรถยนต์ EV ที่น่าใช้งานในปี 2025 นี้อีกหนึ่งรุ่น

เพราะนอกจากจะมีสเปกดีมาก ๆ แล้ว เรื่องฟังก์ชันภายในก็ถือว่าครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและการใช้งานภายในรถ ก็มีหลายฟังก์ชันที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ, ระบบเบรก BOS ซึ่งเมื่อใช้งานควบคู่กับช่วงล่างด้านหน้าแบบ McPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi – Link ก็ยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย และหากคนรักรถ EV อยากยลโฉม Leapmotor C10 ที่เข้าไทยเป็นครั้งแรกเพื่อบุกตลาดรถ EV ปี 2025 นี้ ก็สามารถเข้าไปชมพร้อมรับสิทธิพิเศษได้ที่งาน Motor Expo 2024 ได้เลย!

ไฮไลท์เด็ดงาน Motor Expo 2024 งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 “The 41th Thailand International Motor Expo 2024” ในปลายปีนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่หลายคนต่างก็รอคอย โดยเฉพาะผู้ที่สนใจนวัตกรรมยานยนต์ หรือผู้ใช้รถที่มีแพลนอยากจะออกรถใหม่มาใช้งาน ซึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ของปีนี้ ก็มีไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การจัดแสดงโชว์นวัตกรรมยานยนต์ใหม่ ๆ การเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นดีดีเฉพาะลูกค้าที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 อีกเพียบ ลด แลก แจกแถม พร้อมโปรชมงานชิงรถ เรียกว่ามีแต่ไฮไลท์เด็ด ๆ ที่น่าติดตามกันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น PlugHaus Thailand จะพาคุณมาดูกันว่า งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปีนี้ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำกิจกรรมดีดีที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ชมงาน…ชิงรถ

งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Thailand International Motor Expo 2024 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกงานหนึ่งของเมืองไทย โดยทุก ๆ ปี จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี โดยในปีนี้งาน Motor Expo 2024 ก็จัดขึ้นภายในแนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต (INNOVATIVE SPIRIT…Futuristic Vehicles)” โดยการจัดงานในครั้งนี้ อยู่ภายใต้การดูแลและบริหารงานของ บริษัท สื่อสากล จำกัด โดยมีคุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ เป็นประธานการจัดงาน

คุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานการจัดงาน Motor Expo 2024

แบรนด์รถยนต์ที่เข้าร่วมงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้

ในงาน Motor Expo 2024 ปีนี้ ค่ายรถยนต์ที่เข้ามาร่วมจัดแสดงพร้อมเปิดตัวรถใหม่ ก็มีหลายแบรนด์เช่นกัน รวมกว่า 42 ค่าย จาก 9 ประเทศ ที่เข้ามาทำตลาดรถ EV ในเมืองไทย ได้แก่ Aion, Aion, Audi, Avatar, BMW, BYD, BYD Commercial, Deepal, Denza, Ford, Foton, Geely, Great Wall Motor, Honda, Hyundai, Isuzu, Jeep, Juneyao, Kia, King Long, Leapmotor, Lexus, Lotus, Maserati, Mazda, Mercedes-Benz, MG, MINI, Mitsubishi, Neta, Nissan, Omoda & Jaecoo, Peugeot, Pocco, Porsche, Riddara, Suzuki, Tesla, Toyota, Volvo, Wuling, Xpeng และ Zeekr และยังมีชุดแต่งจากผู้นำเข้าอิสระอย่าง M’Z Speed อีกด้วย

แบรนด์รถจักรยานยนต์ ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 ในปลายปีนี้ ก็มีทั้งสิ้น 22 ค่าย จาก 9 ประเทศ ได้แก่ AJ EV, Alpha Volantis, BMW Motorrad, Deco, EM Motor, Felo, Hanway, Harley-Davidson, Honda, Kawasaki, Lambretta, NIU, Rapid, Royal Alloy, Royal Enfield, Solar, Strom, Suzuki, Triumph, Yamaha, Zeeho และ Zontes

แผนผังงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

รวมโปรโมชั่นงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

โปรโมชั่นชมงาน…ชิงรถ ลุ้นรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ภายในงาน

  • “ซื้อรถ…ชิงรถ” เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ มีสิทธิ์ชิงรถ The KIA EV5 รุ่น Light มูลค่า 1,299,000 บาท
  • “ซื้อบัตร…ชิงรถ” ผู้ที่ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถ Mazda CX-3 Base Plus มูลค่า 830,000 บาท
  • “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์รุ่นใดก็ได้ ก็มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์ Triumph รุ่น Scrambler 1200 X มูลค่า 599,000 บาท
  • “ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรางวัล” ลุ้นชิงรถยนต์ Suzuki รุ่น Swift GK มูลค่า 567,000 บาท

กิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชนภายในงาน

  • Skill Driving Experience Junior การอบรมปลูกฝังวินัยจราจรเด็ก
  • Skill Driving Experience กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่รถที่ถูกต้องแก่บุคคลทั่วไป
  • Spirit of the 4×4 Driving School กิจกรรมให้ความรู้ และทดลองขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
  • นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย พร้อมการอวดโฉมรถโบราณทรงคุณค่า นอกจากนี้ ยังได้เปิดโหวตรถประทับใจ ชิง People Choice Award
  • กิจกรรมจากมูลนิธิ “ลมหายใจไร้มลทิน” จัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และเยาวชน
  • Join Boat Platform จัดแสดงเรือ และกิจกรรมทางน้ำ
บรรยากาศงาน Motor Expo 2024 มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41

สถานที่จัดงาน Motor Expo 2024 พร้อมการเดินทาง

สำหรับการจัดงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ www.motorexpo.co.th โดยจำหน่ายใบละ 100 บาท หรือสามารถซื้อบัตรที่หน้างานก็ได้เช่นกัน (รอบสื่อจัดงานพร้อมพิธีเปิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567)

  • วันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์ งานเริ่มเวลา 12.00 – 22.00 น.
  • วันเสาร์ – อาทิตย์ งานเริ่มเวลา 11.00 – 22.00 น.

นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน ยังสามารถรับบัตรฟรีในการเข้าชมงานมหกรรมยานยนต์ได้เช่นกัน อาทิ ลูกค้า AIS สามารถแลกพอยต์รับบัตรเข้าชมงาน Motor Expo 2024 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นซื้อ Motor Expo Exclusive Visitor มูลค่า 1,000 บาท รับข้อเสนอสุดพิเศษรวมกว่า 5,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น บัตร Ultimate 3 ใบ เข้าชมงานได้ทุกวัน, ช่องจอดรถ VIP 3 ชั่วโมง, พื้นที่รับรองพิเศษ, บริการนำชมรถภายในงาน และสิทธิพิเศษซื้อสินค้าที่ระลึกภายในงานลด 10% (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.motorexpo.co.th)

การเดินทางไปยังงาน Motor Expo 2024

1. เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS

  • สายสีเขียว ลงที่สถานีหมอชิต (ทางออก 4) แล้วขึ้นรถตู้สาย สวนจตุจักร – เมืองทองธานี
  • สายสีแดง ลงที่สถานีหลักสี่ แล้วต่อรถโดยสารสาย 52, 150 และ 356
  • สายสีชมพู ลงที่สถานีเมืองทองธานี แล้วใช้บริการรถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซค์

2. เดินทางด้วยรถตู้

  • สายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดจอดตรงข้าม รพ.ราชวิถี
  • สายจตุจักร จุดจอดรถที่ลานจอด BTS หมอชิต ทางออก 4 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 3
  • สายเดอะมอลล์งามวงศ์วาน จุดจอดที่แกรนด์พลาซ่า ตรงข้ามเดอะมอลงามวงศ์วาน
  • สายสนามหลวง ให้บริการเฉพาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.
  • สายสีลม ให้บริการเฉพดาะช่วงเช้า เวลา 06.30 – 07.30 น.

3. เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์)

  • เส้นวิภาวดี – รังสิต, แยกแจ้งวัฒนะ สาย 29, 52, 59, 95, 150, 504, 510 และ 538
  • เส้นห้าแยกปากเกร็ด สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359 และ 367
  • เส้นถนนแจ้งวัฒนะ สาย 52, 150 และ 356
  • เส้นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย 166

4. เดินทางด้วยรถ Shuttle Bus ฟรี

  • BTS หมอชิต ทางออก 2 หรือ MRT จตุจักร ทางออก 4 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • BTS ศรีรัช ทางออก 1 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • MRT หัวลำโพง ทางออก 2 – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.
  • ศูนย์การค้า G12 ฝั่งร้าน AIS – Impact เวลา 11.00 น. – 20.30 น.

หมายเหตุ : สำหรับบริการ Shuttle Bus ไป – กลับ งาน Motor Expo 2024 รอบเดินทางกลับรอบแรกเวลา 12.00 น. และรอบสุดท้ายคือเวลา 22.30 น. ทุกสาย

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารวมงาน Motor Expo 2024 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 สามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ www.motorexpo.co.th และหากไม่อยากพลาดข่าวสารเด็ด ๆ รวมถึง รีวิวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารวงการรถยนต์ EV จากทาง PlugHaus Thailand ที่พร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารเด็ด ๆ และรีวิวรถใหม่แบบจัดเต็มให้กับคนรักรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

ส่องรถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ พร้อมบุกตลาดรถ EV ในไทย ปี 2024 – 2025

จะสิ้นปี 2024 แล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงปลายปี 2024 และทำตลาดในช่วงปี 2025 นี้ ซึ่งบางรุ่นก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว ในขณะที่บางแบรนด์ก็เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย พร้อมทำตลาดอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้น ชาวอีวีก็ไม่ควรพลาด มาดูกันว่าในช่วงนี้ Timeline การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในไทย มีรุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม มีครบทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่และแบรนด์น้องใหม่ที่จะมาเข้าร่วมในศึกตลาดรถ EV แน่นอน

Update! รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ล่าสุดปี 2024 ในไทย

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BEV, HEV และ PHEV ที่กำลังจะเปิดตัวและทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2024 ไปจนถึงปี 2025 ในตอนนี้ก็มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งบางรุ่นก็มีแววว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2024 ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 – 10 ธันวาคม 2567 นี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทาง PlugHaus Thailand จะพาคุณมา Check List ดูกันว่า ตอนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่น่าติดตาม และกำลังจะมาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย บอกเลยว่าแต่ละรุ่นน่าใช้และสเปกจัดเต็มไม่แพ้กัน

รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ BYD Seal 2025

1. BYD Seal 2025

รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ และสดใหม่ก็ต้องยกให้กับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 อย่าง BYD Seal หรือ เจ้าแมวน้ำจากค่าย BYD ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองจีนไปแล้วในปีนี้ พร้อมการอัปเกรดครั้งใหญ่ ครบทั้งภายในและภายนอก และที่สำคัญคือ มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่น่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง โดยเฉพาะแชสซีใหม่ที่มาพร้อมกับระบบ Disus – C ที่เพิ่มความสามารถได้หลายอย่าง เช่น ความเสถียร ความสะดวกสบาย และระบบกันสะเทือน

จุดเด่นของ BYD Seal 2025

  • ขนาดตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 4,800 x 1,875 x 1,460 มม.
  • e-Platform 3.0 EVO อัปเกรดระบบไฟฟ้าจาก 400 เป็น 800 โวลต์ ชาร์จแบตได้ตั้งแต่ 10% – 80% โดยใช้เวลาเพียงแค่ 25 นาที
  • มีเทคโนโลยี LiDAR การตรวจจับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งกีดขวาง วัตถุ ฯลฯ ที่แม่นยำมากขึ้น
  • เป็นที่สุดของขุมพลัง EV โดยรุ่นท็อปมีกำลัง 390 กิโลวัตต์ 523 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD)
  • เปลี่ยนโลโก้ใหม่ จากคำว่า Build Your Dreams เหลือแค่ BYD เท่านั้น
  • มีแบตเตอรี่ 2 ขนาด คือ ขนาด 61.44 kWh วิ่งได้สูงสุด 510 กม. และขนาด 80.64 kWh วิ่งได้สูงสุด 650 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • 510 Standard Edition
  • 650 Long Range Edition
  • 650 Intelligent Driving Edition
  • 600 4WD Intelligent Driving Edition
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ JAECOO 6

2. JAECOO 6

ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับสายออฟโรดโดยเฉพาะ สำหรับเจ้า JAECOO 6 ที่มีการอัปเกรดขุมพลังให้แกร่งขึ้น โดยเฉพาะระบบการทำงานของ i-WD ที่กระจายแรงไปยัง 4 ล้อ ในโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงระบบ Ground Clearance ที่ช่วยทำให้ขับลุยน้ำได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งแบบ On-Road และ Off-Road โดยเฉพาะ

จุดเด่นของ JAECOO 6

  • เป็นตัวถังระบบ B-SUV ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% มีทั้งรุ่น 2WD และ 4WD
  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,406 x 1,910 x 1,715 มม.
  • ใช้ไฟหน้า LED ชนิด Matrix LED ปรับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ และไฟ DRL รูปแบบตัว i
  • โดดเด่นเรื่องระยะมุมเข้าและมุมจากตัวรถ ทำให้ขับขี่บนทางลาดชัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีกล่องเก็บสัมภาระด้านหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ได้ดี
  • มีฟังก์ชันนวดเพื่อผ่อนคลายสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า
  • ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP จาก CATL ความจุ 65.7 kWh ขับไกล 426 กม. และความจุ 69.8 kWh ขับได้ไกล 418 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
  • มีการขับขี่สูงสุด 9 โหมด โดยเฉพาะในโหมด All road ที่ให้รถจัดการตัวเองได้ทั้งหมด

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Long Range 2WD ราคา 1,099,000 บาท
  • Long Range 4WD ราคา 1,249,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ GAC AION V II

3. GAC AION V II

สำหรับ GAC AION V II เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกร ที่กำลังจะมาทำตลาดในไทยในปลายปีนี้ (คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้) โดยเป็นรถ SUV ที่มีสมรรถนะให้เลือกใช้ 2 ขุมพลัง คือรุ่นที่ให้กำลัง 201 แรงม้า และ 221 แรงม้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2567 ที่งาน Beijing Auto Show 2024 ที่ผ่านมา โดยมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 7 รุ่น โดยไฮไลต์หลัก ๆ ของตัวรถก็คือ การพัฒนาขึ้นมาใหม่บนแพลตฟอร์ม AEP Pure Electric Digital Platform ของทาง GAC เอง

จุดเด่นของ GAC AION V II

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 4,605 x 1,854 x 1,660 มม. และระยะฐานล้อ 2,775 มม.
  • มีการออกแบบใหม่ เรียกว่า Blade Shadow Potential Energy
  • ออกแบบโลโก้ใหม่ของ AION ด้วยรูปแบบตัวอักษร
  • ออกแบบคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ให้มีความคล้ายกับเกล็ดมังกร
  • มีการติดตั้งตู้แช่เย็นขนาด 6.6 ลิตร บริเวณคอนโซลกลาง ทำความร้อน ความเย็น และแช่แข็งได้
  • ระบบเครื่องเสียงมีลำโพง 9 ตำแหน่ง และซับวูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว
  • มีระบบผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานบนระบบ AI รวมถึง iFlytek หรือเครื่องแปลภาษาอัจฉริยะ
  • มีมอเตอร์ขนาด 150 kW และ 165 kW
  • มีซิลิกอนคาร์ไบด์ ที่ช่วยให้ชาร์จได้ไวขึ้น 60% ชาร์จ 15 นาที วิ่งได้ 370 กม.

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • ที่เปิดตัวในจีนมีทั้งหมด 7 รุ่นย่อย ส่วนรุ่นที่จำหน่ายในไทยต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Wuling Binguo 2024

4. Wuling Binguo

หากใครเป็นสาวกรถไซซ์มินิ ก็ต้องไม่พลาดกับ Wuling Binguo 2024 รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปิดตัวมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม B-Segment ที่เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Timeless ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be The Icon” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิกและเรียบง่าย ตอบโจทย์การใช้งานภายในเมืองโดยเฉพาะ และที่สำคัญคือ มีการรับประกันมอเตอร์ แบตเตอรี่ และคอนโทรลเลอร์ตลอดอายุการใช้งาน หรือ Passive Lifetime Warranty

จุดเด่นของ Wuling Binguo

  • มิติตัวรถ (ยาว x กว้าง x สูง) 3,950 x 1,780 x 1,580 มม.
  • แถมฟรี Wallbox Home Charger 7 kW พร้อมบริการติดตั้ง
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
  • มีกล้องบันทึกข้อมูลการขับขี่ DVR 1080p Full HD
  • ใช้แบตเตอรี่ Lithium – ion (LFP) ขนาด 31.9 kWh
  • สามารถวิ่งได้ไกล 333 กม. ต่อการชาร์จ (มาตรฐาน NEDC)
  • รองรับหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo
  • มีรูปแบบการขับขี่ 4 โหมด คือ ECO+ / ECO / Normal / Sport
  • มีระบบสตาร์ทอัตโนมัติ พร้อมระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
  • ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว หรือ Drive Away Locking

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • Wuling Binguo SR AC ราคา 419,000 บาท
  • Wuling Binguo SRD DC ราคา 449,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ Tesla Model Y Juniper 2025

5. Tesla Model Y Juniper 2025

ในช่วงต้นปี 2025 ที่จะถึงนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมวางจำหน่ายก็คือ Tesla Model Y Juniper 2025 ที่มาพร้อมกับการปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด มีความโดดเด่นที่เป็นจุดขายอันดับแรก ๆ คือ การออกแบบไฟหน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก XPENG ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ซึ่งเบื้องต้น Tesla Model Y Juniper จะเริ่มผลิตที่โรงงาน Giga Shanghai ในปลายปี 2024 นี้ พร้อมส่งมอบรถในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดออกมาแบบ 100% มีเพียงข้อมูลแบบคร่าว ๆ ของตัวรถเท่านั้น เรียกว่า สาวกคนรักเทสล่าสต้องติดตามกันแบบวันต่อวัน สำหรับข่าวสารของรถรุ่นนี้กันเลยทีเดียว

จุดเด่นของ Tesla Model Y Juniper 2025

  • มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ ด้วยการนำแถบไฟ LED แบบใหม่มาใช้ คล้ายการออกแบบของ XPENG
  • ยังคงคอนเซ็ปต์การออกแบบที่โดดเด่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และออปชั่นที่ครบครันเช่นเดิม
  • อาจมีสีใหม่ คือ Ultra Red และ Stealth Gray เพิ่มมาจากสีเดิมที่มีอยู่ในตอนนี้
  • คาดว่ามีการออกแบบแผงหน้าปัดใหม่ พร้อมระบบ Infotainment แบบจอสัมผัสหมุนได้
  • ภายในมีความคล้ายกับ Tesla Model 3 แต่แผงหน้าปัดมีการปรับปรุงให้เข้ากับห้องโดยสาร
  • คาดว่ามีการพัฒนาแบตเตอรี่ชุดใหม่ ที่อาจวิ่งได้ไกลถึง 400 ไมล์ มีความจุแบต 62.5 kWh

รุ่นย่อยที่วางจำหน่าย

  • มีการเปิดเผยว่าจะมีการอัปเกรดรถรุ่นใหม่ พร้อมพัฒนารถที่มีราคาจับต้องได้

ติดตามทุกข่าวสารสดใหม่ ในแวดวงรถยนต์ EV ที่ PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่า ในบรรดารถยนต์ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่จะเตรียมมาทำตลาดในไทย นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 ไปจนถึงต้นปี 2025 นี้ ก็มีหลายรุ่นที่น่าสนใจ และมีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าใช้งาน ทั้งรถที่ออกแบบมาเพื่อสายออฟโรด หรือรถอีวีที่ออกแบบมาเพื่อคนใช้รถในเมืองโดยเฉพาะ นอกจากนี้ แบรนด์ชั้นนำอย่าง Tesla เอง ก็พร้อมที่จะตีตลาดพร้อมพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ให้มีราคาที่เอื้อมถึงได้

บอกเลยว่า กระแสรถยนต์ EV ในตอนนี้ ก็ยังคงคึกคักและน่าติดตามกันมาก ๆ และหากคุณไม่อยากพลาดข่าวสารวงการรถยนต์ไฟฟ้า หรือเทรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ก็อย่าลืมมาติดตามกับทาง PlugHaus Thailand ตัวจริงเรื่อง Home Charger บอกเลยว่า นอกจากเราจะมีข่าวสารวงการรถยนต์ EV อัปเดตกันแบบเรียลไทม์แล้ว เรายังมีสาระความรู้ที่น่าสนใจให้คุณได้ติดตามอีกเพียบ!

วิธีเลือก “ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า” ให้คุ้มครองรถ – แบต ฉบับชาวแก๊ง EV

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ากังวลมากที่สุดในการใช้รถยนต์ EV นั้น ก็คือเรื่องของ “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” เพราะต้องเลือกประกันที่สามารถคุ้มครองได้ทั้งแบตและตัวรถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอย่างมากมาย เช่น การลดความคุ้มครองแบตเตอรี่ หรือหากต้องซื้อประกันที่คุ้มครองได้ทั้งหมด ก็ต้องดูค่าเบี้ย ความคุ้มครอง และราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าให้ดี ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายหรือไม่ คุ้มครองกรณีไหนบ้าง เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น พร้อมวิธีเลือกประกันให้ถูกใจคนใช้รถ

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร?

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คือ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่สามารถคุ้มครองการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยตัวประกันจะมีความคล้ายและใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่จะมีความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ตามเบี้ยประกันภัย แต่ความแตกต่างของประกันรถยนต์ EV คือ สามารถคุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์และระบบไฟฟ้าร่วมด้วย ทั้งยังรวมถึงการคุ้มครองหัวชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน โดยประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการพิจารณาเงื่อนไขต่างจากรถยนต์ทั่วไป แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงคุ้มครองทุกภัย (All Risk) อาทิ น้ำท่วม ไฟไหม้ รถหาย ยกเว้นกรณีที่เกิดสงครามและการจลาจล

เกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV คปภ. ปี 2567

ประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ BEV ฉบับใหม่ ปี 2567

ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้เลยว่า ประเด็นเรื่องประกันรถยนต์ไฟฟ้านั้น เป็นที่ถกเถียงและมีให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle-BEV) ตามที่ คปภ. ประกาศล่าสุด ก็ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ให้ใช้เกณฑ์ดังกล่าวเป็นมาตรฐานเดียวกันนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นมา (เกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น ไม่รวมรถที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป)

  • หากได้รับความเสียหายและต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด ชดเชยสินไหมตามอายุการใช้งาน โดยลดอัตราการชดใช้ตามความเสื่อมของแบตเตอรี่ปีละ 10% ต่ำสุด 50%
  • คุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ทั่วไป แต่จะไม่คุ้มครองความเสียภายจากปัจจัยภายนอก (Cyber Breach) ที่ทำให้ระบบปฏิบัติการเสียหาย (Software)
  • ไม่คุ้มครองเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากเครื่องชาร์จที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตโดยตรง (สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้)
  • สามารถทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่ใน 2 ปี เพื่อความยืดหยุ่นต่อบริษัทประกันภัย
  • บังคับให้ระบุชื่อผู้ขับขี่สูงสุดได้ถึง 5 คน หากเกิดอุบัติเหตุแล้วชื่อผู้ขับขี่ไม่ตรงกับกรมธรรม์ จะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า Excess สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท
  • ผู้ขับขี่ที่มีประวัติดีสามารถรับส่วนลดค่าเบี้ยได้สูงสุด 40% (โดยใช้เกณฑ์ประวัติผู้ขับขี่แย่ที่สุดเป็นตัวคำนวณ)

ในการเคลมแบตเตอรี่จากบริษัทประกันภัย ทาง คปภ. ได้กำหนดเอาไว้ด้วยว่า หากได้รับความเสียหายบางส่วน อาจตกลงกันว่าจะมีการซ่อมหรือว่าเปลี่ยนรถที่มีสภาพเดียวกันทดแทนได้ และหากมีการเปลี่ยนแบตตามอัตราที่กำหนดไว้ในเกณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จะถือว่าซากแบตเตอรี่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เอาประกันภัยและบริษัท โดยจะยึดตามสัดส่วนหรืออัตราการชดใช้ค่าสินใหม่ทดแทนในตัวแบตเตอรี่

วิธีเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

เลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหน ให้คุ้มครองได้ทั้งแบตและรถ?

การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้รถยนต์อีวีทุกชนิด หลักการสำคัญคือการพิจารณาค่าเบี้ยประกัน ว่ามีความคุ้มค่าต่อการคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน เพราะค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้า ถือว่ามีราคาสูงมากกว่าเบี้ยประกันรถยนต์ทั่วไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV และมาตรฐานต่าง ๆ ยังอยู่ในช่วงที่ต้องนำองค์ประกอบหลายส่วนมาพิจารณาประกอบกัน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากราคาค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่สูงเกือบจะ 70% – 80% ของมูลค่ารถ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประกันรถยนต์ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป

1. เลือกจากความคุ้มครองของประกันภัย

จากเกณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV ของทาง คปภ. ที่กำหนดออกมานั้น จะสังเกตได้ว่า ครอบคลุมเฉพาะรถที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เท่านั้น จะไม่ครอบคลุมรถยนต์ที่พัฒนาหรือดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป เพราะฉะนั้น การพิจารณาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า BEV ต้องพิจารณาวงเงินและความคุ้มครองในส่วนของตัวแบตเตอรี่ร่วมด้วย เพราะกรมธรรม์ฉบับใหม่ไม่ได้คุ้มครองทุกภัย (All Risk) ดังนั้น ต้องดูรายละเอียดความคุ้มครองให้ครอบคลุม ว่าไม่ครอบคลุมในกรณีไหนบ้าง ควรจะซื้อความคุ้มครองเพิ่มหรือไม่

2. เลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากกรมธรรม์

หากคุณใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วต้องการติดตั้ง EV Charger ที่ไม่ได้มาพร้อมกับตัวรถที่ซื้อ แนะนำว่าควรซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมจากทางบริษัทประกันภัย เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้นในการใช้รถ เพราะตามเกณฑ์ความคุ้มครองของประกันแล้ว จะไม่คุ้มครองความเสียหายจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตรถ เช่น ติดตั้งไปแล้วระบบของหัวชาร์จส่งผลต่อระบบปฏิบัติการ จนทำให้แบตเตอรี่มีปัญหา กรณีนี้ก็อาจจะเคลมประกันไม่ได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เมื่อมีการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน แล้วไม่ต้องการซื้อความคุ้มครองประกันรถยนต์ EV เพิ่มเติม ก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องชาร์จที่ติดตั้งนั้นมีมาตรฐาน ผ่านเกณฑ์ของทาง PEA และ MEA รวมถึงมาตรฐานอื่น ๆ เช่น มีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น รวมถึงการประกันวินาศภัยร่วมด้วย ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณของเงินในกระเป๋าด้วย ว่าสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ไหม แล้วบริษัทที่รับติดตั้ง Home Charger มีความน่าเชื่อถือหรือไม่

3. ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าชั้น 1 ไว้อุ่นใจกว่า

จริงอยู่ที่ว่าประกันรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายแบบให้เลือก แต่อย่าลืมว่าตัวรถยนต์ไฟฟ้ามีการทำงานที่ต่างจากรถยนต์สันดาป ดังนั้น เพื่อให้ผู้ใช้รถสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ แนะนำว่าให้เลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 จะดีที่สุด เพราะมีความครอบคลุมมากกว่า รองรับความเสี่ยงได้หลายปัจจัย รวมถึงการเกิดเหตุทั้งแบบที่มีคู่กรณีและแบบไม่มีคู่กรณี นอกจากนี้ บางบริษัทประกันภัยยังมีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ให้กับผู้ใช้รถที่เลือกซื้อประกันชั้น 1 อีกด้วย

และข้อดีของการใช้ประกันชั้น 1 ที่เห็นได้ชัด สำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ การใช้บริการที่ศูนย์ซ่อมบริการ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายังถือว่าใหม่ในตลาดรถเมืองไทย ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด เข้าใจปัญหาและระบบของตัวรถได้จริง ก็คือศูนย์บริการหรือค่ายรถโดยตรง ซึ่งโดยส่วนมากแล้วประกันชั้น 1 จะสามารถใช้บริการซ่อมห้างได้ ทำให้เวลาเคลมประกันหรือการสั่งอะไหล่มีความง่ายมากกว่าอู่ข้างนอก ทั้งยังประหยัดเวลาในการรอมากกว่าเช่นกัน

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus

ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร้กังวล ด้วย Home Charger จาก PlugHaus

จะเห็นได้เลยว่าการเลือกซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ในปัจจุบันมีเกณฑ์การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จากทาง คปภ. เข้ามามีบทบาทร่วมด้วย จึงทำให้ผู้ใช้รถต้องพิจารณาการเลือกประกันรถยนต์ EV ให้มากขึ้น ทั้งเรื่องความคุ้มครองตัวรถและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการติดตั้ง Home Charger ไว้สำหรับใช้งานที่บ้าน ที่อาจจะมีความกังวลว่าประกันจะคุ้มครองหรือไม่หากเกิดปัญหาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รถยนต์ EV ที่อยากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านดีดีสักเครื่อง มีมาตรฐาน MEA และ PEA ก็สามารถเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง PlugHaus Thailand ได้เช่นกัน โดยในปัจจุบันเรามี Home Charger ให้เลือกหลากหลายรุ่น อาทิ Wallbox Pulsar Max, Wallbox Pulsar Plus, Wallbox Pulsar Pro, En+ Caro Series และ Teison Smart mini ซึ่งแต่ละรุ่นก็ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ที่สำคัญคือ มีฟังก์ชันและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น และที่ขาดไม่ได้คือ เมื่อติดตั้ง EV Charger หรือ Home Charger ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็ได้กับทาง PlugHaus คุณจะได้รับประกันวินาศภัยให้อีก 30 ล้านบาท

รีวิว 3 เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ ถูกใจสาย Go Green

การเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ไว้ใช้งานภายในบ้านหรือที่พักอาศัยนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะนอกจากจะช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ในการไปชาร์จไฟตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกด้วย และทาง PlugHaus Thailand ก็ไม่พลาด ที่จะมาแนะนำ Home Charger หรือเครื่องชาร์จรถ EV ดีดี ที่ใช้งานแล้วปลอดภัย คุ้มค่า ที่สำคัญ ราคาจับต้องได้ มีมาตรฐานที่ผ่านการรับรองแบบครบครันทุกรุ่นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

1. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Max

หากใครที่กำลังมองหา เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ที่น่าใช้งานและมีดีไซน์สุดมินิมอล ก็ต้องยกให้กับ Wallbox Pulsar Max ที่รองรับการใช้งานทั้งรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ Plug-in Hybrid มาพร้อมกับการควบคุมการใช้งานผ่านทางแอปฯ พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมาย เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ง่าย และตอบโจทย์กับบ้านยุคใหม่ เรียกว่า เป็นหนึ่งใน Home Charger ที่ขื้น Best Seller ที่ขายดีและได้รับความนิยมกว่า 100 ประเทศทั่วโลกกันเลยทีเดียว

รีวิว Wallbox Pulsar Max

  • เป็น EV Charger ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม และมีขนาดกะทัดรัด
  • มีมาตรฐาน ปลอดภัย ผลิตจากประเทศสเปน
  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 198 x 201 x 99 มิลลิเมตร
  • สามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 7.4 – 22 kW (รองรับทั้งไฟ 1 เฟส และ 3 เฟส)
  • รองรับการใช้งานและควบคุมการชาร์จไฟผ่านแอปฯ my Wallbox
  • ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2
  • สายชาร์จมีความยาว 5 ถึง 7 เมตร
  • มาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP55 / IK10
  • มี 2 สีให้เลือก คือ ขาว และดำ
  • มีเทคโนโลยี Power Boost และ Dynamic Power Sharing
  • มี Eco Smart สามารถใช้กับโซลาร์เซลล์ได้
  • หน้าจอระบบสัมผัส สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth, Wi-Fi (2.4GHz และ 5GHz)

ราคาจำหน่าย พร้อมติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • รุ่นขนาด 7.4 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 54,900 บาท
  • รุ่นขนาด 22 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 68,900 บาท
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus

2. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox รุ่น Pulsar Plus

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox Pulsar Plus เป็นรุ่นที่มีจุดเด่นคือ สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งรถไฟฟ้าประเภท PHEV และ รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ใช้แบตเตอรี่แบบ 100% หรือก็คือ BEV โดยตัวเครื่องมีเทคโนโลยีที่ค่อนข้างหลากหลาย เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ก็มีการใส่เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ Home Charger ในรุ่น Pulsar Plus มีประสิทธิภาพการชาร์จถึง 22 kW รองรับทั้งหัวชาร์จ Type 1 และ Type 2

รีวิว Wallbox Pulsar Plus

  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 116 x 163 x 82 มิลลิเมตร
  • มี 2 สีให้เลือก คือ ขาว และดำ
  • มี 2 ขนาดให้เลือก คือ 7.4 kW และ 22 kW
  • กระแสไฟตั้งแต่ 6 A ถึง Rate Current
  • มีมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP54 / IK10
  • มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสไฟตกค้างหรือไฟรั่ว
  • รองรับการใช้งานผ่านทางแอปฯ myWallbox
  • เชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth
  • ตั้งเวลาในการชาร์จได้ง่าย ๆ ที่เครื่องชาร์จ
  • มีระบบการคำนวณค่าไฟภายในตัว
  • สามารถดูสถิติการชาร์จไฟได้
  • มีสถานะไฟ LED เพื่อแสดงสถานะเครื่องชาร์จ
  • ใช้รูปแบบการชาร์จไฟแบบ Mode 3 (การชาร์จไฟกระแสสลับ)

ราคาจำหน่าย พร้อมติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • รุ่นขนาด 7.4 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 49,000 บาท
  • รุ่นขนาด 22 kW ราคาพร้อมติดตั้ง เริ่มต้น 63,900 บาท
เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series

3. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Series

อีกหนึ่งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้งานมาก ๆ ก็คือ EN+ Caro Series ที่มาพร้อมกับดีไซน์สุดหรูหรา การันตีด้วยรางวัล Red Dot Design Award 2023 พร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่พร้อมให้ความสะดวกสบายต่อผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดีที่สุด ที่สำคัญคือ มีราคาเริ่มต้นการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านในราคาประหยัด ที่สำคัญคือ มีระบบการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

รีวิว EN+ Caro Series

  • มีระบบควบคุมพลังงาน Dynamic Load Management ชาร์จไฟได้อย่างปลอดภัย ไม่เกินพิกัด
  • ตัวเครื่อง EV Charger มีขนาด 344 x 192 x 100 มิลลิเมตร
  • ใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Type 2
  • มีการเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, 4G และ Ethernet
  • มีมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP55 / IK8
  • มีกำลังไฟ 7 – 11 kW
  • รองรับการใช้ไฟสำหรับ 1 เฟส
  • ความยาวสาย 7 เมตร
  • มี 2 สีให้เลือก คือ สีขาว และสีดำ
  • รองรับการใช้งานร่วมกับโซลาร์เซลล์ ด้วย PV Charging
  • PV Charging

ราคาจำหน่าย พร้อมราคาติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน

  • ราคาเครื่อง 7kW พร้อมบริการติดตั้ง เพียง 29,900 บาท
ติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เลือก PlugHaus

ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน เลือก PlugHaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น PHEV หรือ BEV ที่กำลังมองหา “เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” ที่มีมาตรฐาน พร้อมบริการติดตั้งให้ถึงหน้าบ้านจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพียงเลือกติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน หรือ Home Charger กับทาง PlugHaus วันนี้ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ติดตั้งภายในบ้าน หรือการให้คำแนะนำในด้านระบบไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อการติดตั้งเครื่องชาร์จรถ EV

นอกจากนี้ เรายังมีบริการและจัดจำหน่ายที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Wallbox Pulsar Max, Wallbox Pulsar Plus และ เครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EN+ Caro Series ที่เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีราคาย่อมเยา แต่มีคุณภาพและมีเทคโนโลยีที่อัดแน่น ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ด้วยดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใคร เพราะฉะนั้น ลงทะเบียนและรับข้อมูลของ Home Charger วันนี้ได้เลยที่ PlugHaus Thailand