แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้รถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญอย่าง “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็ต้องมีความพร้อมในการใช้งานเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายปัจจัยเช่นกันที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาผู้ใช้รถมาดูกันว่า แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง แล้วอาการรถไฟฟ้าแบตเสื่อมสังเกตได้อย่างไร สรุปจบง่าย ๆ สำหรับผู้ใช้รถโดยเฉพาะ

ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

6 ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

ในบรรดาปัจจัยที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว ถือว่ามีหลายสาเหตุพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิในการทำงานของแบตเตอรี่รถ รอบการใช้งาน และที่ขาดไม่ได้คือ การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพ และ Charge Cycle โดยตรง

1. อุณหภูมิการใช้งาน

โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานได้ดีที่สุดในอุณหภูมิ 30 – 60 องศาเซลเซียส หากสูงมากกว่านี้ก็จะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ เช่น ชาร์จไฟในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือการจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เซลล์แบตเตอรี่เสียหายแล้ว ยังทำให้ความจุแบตลดลงด้วย

2. รอบการใช้งาน หรือรอบการชาร์จ

ซึ่งโดยปกติจะมีรอบการชาร์จรถ EV ตั้งแต่ 3,000 รอบขึ้นไป ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10 – 20 ปี นั่นหมายความว่า ยิ่งมีรอบการชาร์จมากเท่าไหร่ อายุการใช้งานก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ควรชาร์จไฟทุกวันหากไม่จำเป็น

3. การชาร์จไฟแบตรถยนต์ EV ด้วยระบบ DC Charging

สำหรับการชาร์จด้วยระบบ DC Charging หรือ Fast Charging บ่อยเกินไป ก็ส่งผลต่อการเสื่อมของตัวแบตได้ไวเช่นกัน เพราะการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไวนั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรเลือกชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC Charging เป็นหลักจะดีกว่า ส่วนการชาร์จด่วนสามารถชาร์จได้เมื่อมีระยะเวลาจำกัด

4. ปล่อยให้แบตเหลือ 0%

การใช้รถจนแบตเหลือน้อยมาก ๆ จนเกือบจะเป็น 0% อยู่บ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมสภาพได้ไว เพราะการปล่อยให้แบตเหลือน้อย ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักมากขึ้น ตัวแบตมีความร้อนสูง จึงทำให้อายุการใช้งานแบตน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. การชาร์จไฟบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น

โดยปกติแล้วควรจะรักษาระดับแบตเอาไว้ให้อยู่ที่ระดับ 25 – 75% นั่นหมายความว่า หากแบตเตอรี่ไม่ได้เหลือน้อยก็ยังไม่จำเป็นต้องชาร์จ และหากต้องจอดรถไว้นาน ๆ ก็ควรมีการกระตุ้นไฟเข้าแบตเตอรี่ด้วยการสตาร์ทรถทิ้งไว้บ้าง เพื่อป้องกันอาการ Over Discharge

6. พฤติกรรมการใช้รถ

โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่แบบกระชาก ออกตัวแรง เร่งแรง และเบรกแรงบ่อย ๆ รวมถึงการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้น เพราะตัวแบตมีความร้อนสะสม ทำให้เสื่อมสภาพได้ไว อายุการใช้งานก็น้อยลงตามไปด้วย

จะเห็นได้เลยว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ Charge Cycle หรือ Cycle Life ของแบตเตอรี่รถยนต์ EV โดยตรง ยังไม่นับรวมการจอดรถกลางแจ้ง หรือพฤติกรรมการขับขี่ ที่ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV มีอายุการใช้งานที่น้อยลง

การดูแลรักษาและยืดอายุการใช้งานแบตรถ EV)

วิธีเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเรื่อมเสื่อม

สำหรับการเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ EV เสื่อมหรือไม่ สามารถเช็กจากอาการรถไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ในระหว่างการขับขี่ หรือจากการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ดังนี้

  • ระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดน้อยลงอย่างชัดเจน อาทิ ปกติชาร์จไฟรถ EV ไว้ที่ระดับ 80 – 90% จะสามารถขับขี่ได้ในระยะทาง 400 กม. แต่หลัง ๆ เริ่มวิ่งได้ไม่เกิน 350 กม. ให้สันนิษฐานเอาไว้ได้เลยว่านี่คืออาการแบตรถ EV เริ่มเสื่อมแน่นอน
  • ระยะเวลาการชาร์จไฟนานมากขึ้น หรือเร็วกว่าปกติ ทั้งการชาร์จแบบ AC และ DC Charging ซึ่งปกติแล้วเราจะคาดเดาได้คร่าว ๆ อยู่แล้ว ว่ารถที่ขับใช้เวลาชาร์จมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ลองสังเกตเวลาในการชาร์จไฟดู ว่าเวลาคลาดเคลื่อนจากปกติหรือไม่
  • ชาร์จไฟแล้วแบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ซึ่งอาการนี้คือการบอกว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถจัดการกับความร้อนได้ดีเท่าที่ควร
  • ประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วลดน้อยลง แต่ต้องดูควบคู่ไปกับลมยางรถยนต์ไฟฟ้า และการบรรทุกในครั้งนั้น ๆ ด้วย หากลมยางปกติ และไม่ได้บรรทุกเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของอาการแบตรถ EV เสื่อม
  • ใช้งานแบบเดิมแต่เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการนี้จะค่อนข้างชัด เพราะหมายถึงแบตเตอรี่ไม่สามารถทำงานได้ดีเหมือนเคย
วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้ยาวนาน

วิธีการถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้นาน

1. ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟให้เต็ม 100% ทุกวัน  

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จเมื่อถึงระดับที่เหมาะสม และควรรักษาช่วงการชาร์จเฉลี่ยให้อยู่ที่ 20 – 80% ของความจุแบต ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมากกว่าการชาร์จให้เต็ม 100% ทุกครั้ง และหากแบตเตอรี่ไม่ได้ลดลงมากก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จเพิ่มเสมอไป (ในรถยนต์ EV บางรุ่น จะกำหนดเอาไว้เลยว่า ให้ชาร์จไฟที่ระดับ 80% เท่านั้น)

2. อย่าปล่อยให้แบตเหลือน้อย หรือเกือบ 0% บ่อย ๆ

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ที่ค่ายรถยนต์พัฒนาขึ้นมา หลักการในการยืดอายุการใช้งานที่ดีที่สุด คือ ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยมาก ๆ หรือว่าเปอร์เซ็นต์ต่ำเกือบ 0% บ่อยเกินไป เพราะทำให้แบตทำงานหนักมากขึ้นจนเกิดความร้อนสูง และส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเช่นกัน

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

โดยหลักการนี้ครอบคลุมทั้งการจอดและการชาร์จในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ระบบการจัดการความร้อนของแบตทำงานได้ปกติ ไม่มีการรบกวนจากภายนอกเกินไป และยังรวมไปถึงการชาร์จไฟในขณะที่มีอุณหภูมิสูง ที่ไปเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในชุดแบตเตอรี่

4. ชาร์จไฟด้วย DC Charging ให้น้อยลง

อย่างที่อธิบายไปในข้างต้นว่า การชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ DC Charging คือตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อม เพราะเป็นการอัดประจุเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้น หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น แนะนำให้ชาร์จไฟแบบ AC Charging เป็นหลัก เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมไว

5. ตรวจลมยางรถ EV เสมอ ดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี

อีกหนึ่งวิธีการยืดอายุแบตเตอรี่ที่ทำได้ง่าย ๆ คือ การตรวจสอบลมยางรถยนต์ไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ ไม่ให้ลมยางต่ำเกินไปจนทำให้แบตรถ EV ทำงานหนัก และในควรใช้รถให้ถูกวิธี ไม่ขับกระชากเกินไป และควรตรวจสภาพรถตามระยะการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของระบบต่าง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน 

สรุป

สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ แบตรถ EV ไม่ให้เสื่อมไว ก็ถือว่ามีหลายวิธีที่ผู้ใช้รถไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะทำให้แบตมีอายุการใช้งานนานมากขึ้นแล้ว ยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งระบบด้วยเช่นกัน และหากใครที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ก็ควรเลือกติดตั้ง Home Charger เอาไว้ที่บ้าน เพราะนอกจากจะชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นการชาร์จไฟด้วยระบบ AC ที่ไม่ทำให้แบตเสื่อมไว และที่สำคัญคือ ไม่ต้องเสียค่าบริการที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟอีกด้วย

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อยู่ได้นานกี่ปี? พร้อมค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบต

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนรถ EV ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีประเด็นของแบตเตอรี่รถไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะประเด็นของอายุการใช้งาน และราคาค่าเปลี่ยนแบต ที่หลายคนมองว่ามีราคาสูงเกินไป จนอาจเกิดความลังเลว่า จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าดีไหม จะคุ้มค่าหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาคุณมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV กันให้มากขึ้น ว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่ แล้วการถนอมแบตมีวิธีไหนบ้าง

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ในปัจจุบันนี้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีการเรียกชื่อหลายแบบมาก ๆ ซึ่งหากจำแนกออกเป็นประเภทจริง ๆ แล้ว สามารถแบ่งออกได้ถึง 7 ประเภท ได้แก่

1. แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด

หรือ Lead – Acid Battery ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดนี้มีมาตั้งแต่ยุครถยนต์สันดาป แต่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า โดยในท้องตลาดจะมี 3 ชนิดย่อยลงไป คือ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง และแบตเตอรี่กึ่งแห้ง ซึ่งแบตชนิดนี้จะนิยมนำมาใช้เป็นแบตสำรองเท่านั้น เพราะมีอายุการใช้งานที่สั้น มีการดูแลหลายส่วน ทำให้ส่งผลต่อการบำรุงรักษาในระยะยาว

2. แบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล – เมทัลไฮไดรด์

สำหรับแบตเตอรี่ Nickel-metal Hydride / Ni-MH เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์ประเภท HEV และ PHEV หรือก็คือรถที่ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน โดยมีอายุการใช้งานที่นานกว่าแบตลิเธียม แต่ว่าเก็บพลังงานได้น้อยกว่า ซึ่งรถที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ก็มีหลายรุ่น เช่น Toyota Camry Hybrid

3. แบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม

สำหรับแบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม หรือ Nickel-Cadmium Battery / Ni-Cd เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง ค.ศ. 90 จุดเด่นคือ สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้เยอะ มีรอบการชาร์จ หรือ Cycle อยู่ที่ 500 – 1,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดคือ ต้องใช้พลังงานให้หมดก่อนถึงจะสามารถชาร์จใหม่ได้ ทั้งยังมีประเด็นเรื่องการรั่วไหลของสารแคดเมียม จึงทำกลายเป็นแบตเตอรี่ต้องห้าม และไม่มีการใช้ในรถยนต์ EV

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

4. แบตเตอรี่ลิเฮียมไอออน

แบตเตอรี่ Lithium Ion หรือ Li – ion เป็นแบตเตอรี่รถ EV ที่พบเจอกันได้บ่อยมาก ๆ และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับการใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ สมาร์ตโฟน ซึ่งข้อดีคือมีอายุการใช้งานที่มากกว่า และรองรับการชาร์จแบบเร็ว หรือ Fast Charge ทั้งยังนำกลับมาใช้ซ้ำได้  ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีรอบการชาร์จอยู่ที่ 500 – 10,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และหากมีอุณหภูมิที่ต่ำหรือสูงเกินไปก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานตามไปด้วย

5. แบตเตอรี่แบบตัวเก็บประจุไฟฟ้า

โดยแบตชนิดนี้แทบจะไม่ใช่แบตเตอรี่แบบ 100% มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าแบตอิเล็กโทรไลต์แบบเหลว มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และทนทาน ชาร์จไฟได้เร็วกว่าแบตแบบปกติมาก ทั้งยังมีรอบการชาร์จสูงถึง 100,000 – 1,000,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ จ่ายไฟไม่เสถียร เก็บพลังงานได้น้อย ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งปัจจุบันนำไปใช้เป็นแค่ตัวช่วยในการรีดอัตราเร่งเท่านั้น ยังไม่ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ EV แต่อย่างใด

6. แบตเตอรี่โซลิดสเตต

เป็นแบตเตอรี่ที่สร้างกระแสได้เยอะมาก ๆ ในวงการแบตรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งตัวแบตเป็นแบบแข็ง ให้ความจุและประสิทธิภาพสูงกว่าแบตทุกชนิด รวมถึงอิเธียมไอออนถึง 10 เท่า และที่สำคัญคือ มีโอกาสติดไฟต่ำ เพราะไม่มีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้ ยังมีความเสถียรมากกว่าแบตชนิดอื่น ส่งผลให้ชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วมากขึ้น แต่ข้อจำกัด คือ ต้นทุนการผลิตสูง และการใช้งานจริงอาจเสี่ยงต่อการแตก หัก หรือได้รับความเสียหายจากการกระแทกจากการขับขี่ได้

7. แบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน

ตัวแบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน หรือ Sodium Ion Battery / Na-Ion Battery เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แบตเกลือ” มีข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ต้นทุนการผลิตที่ถูกมากกว่า Li – Ion สามารถชาร์จไฟได้เกือบ 100% ภายในเวลาเพียง 20 นาที ทนความร้อนได้สูง มีรอบการชาร์จ 8,000 – 10,000 ครั้ง แต่ว่าข้อจำกัดคือให้พลังงานได้น้อยกว่า เพราะมี Energy Density ที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีรอบการวิ่งระยะสั้น ๆ

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้งาน)

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ได้กี่ปี?

อายุของแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV จะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตที่ใช้ รวมถึงปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่ลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานของแบตรถไฟฟ้า EV จะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10 – 20 ปี และโดยปกติแล้วผู้ให้บริการหรือค่ายรถยนต์ไฟฟ้า จะมีการรับประกันอายุการใช้งานอยู่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 – 180,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 8 ปี อย่างเช่น ค่ายรถยนต์ BYD ก็มีการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี หรือระยะทาง 160,000 กิโลเมตร

ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า!

สำหรับค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับค่ายรถที่เลือกใช้ รวมถึงประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ EV ด้วยเช่นกัน โดยทาง Plughaus จะสรุปราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ของรภยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นมาให้ดูกัน ว่าในปัจจุบันแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่บ้าง?

  • รถยนต์ไฟฟ้า NETA V ราคา 420,000 บาท
  • BYD Dolphin ราคาเริ่มต้น 309,364.49 บาท
  • BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 320,121.50 บาท
  • BYD Seal ราคาเริ่มต้น 451,289.72 บาท
  • MG ZS EV ราคา 450,000 บาท
  • ORA Good Cat ราคา 445,000 – 580,000 บาท

ทั้งนี้ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ EV รุ่นอื่น ๆ อาทิ Tesla, Deepal จากแบรนด์ใหม่อย่าง ChangAn ยังไม่มีการเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่ทางหากเป็นราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถไฟฟ้า BYD มีการปรับราคาลดลงมาตามที่ระบุไว้ข้างต้น

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า และราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า EV นั้น มีหลายชนิดมาก ๆ ซึ่งในปัจจุบันค่ายรถยนต์ก็มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาคุณภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น มีความทนทานกว่าเดิม รวมถึงการจัดแคมเปญต่าง ๆ เช่น การรับประกันแบตเตอรี่ แต่หากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต้องการความมั่นใจที่มากขึ้น ก็อาจเลือกใช้ประกันรถยนต์ EV ที่มีความครอบคลุมในหลาย ๆ ส่วนร่วมด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ ใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน หรือติดตั้ง Home Charger ไว้ที่บ้าน เพื่อลดการชาร์จแบบ Fast Charge บ่อย ๆ เพราะส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging ที่คนใช้รถยนต์ EV ควรรู้!

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยระบบไฟ AC Charging หรือ ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ นับเป็นการชาร์จไฟแบบพื้นฐานที่ผู้ใช้รถ EV ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับการชาร์จไฟแบบ AC กันให้มากขึ้น พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างการชาร์จไฟ AC กับ DC แบบไหนที่จะดีต่อแบตเตอรี่มากกว่า แล้วช่วยยืดอายุการใช้งานได้จริง

ข้อดีของการชาร์จไฟแบบ AC Charging สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

รู้จักการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วย AC Charging

ระบบการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC Charging (Alternating Current / Normal Charge) เป็นการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ กระแสไฟฟ้าจะไหลสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ชาร์จ ไม่มีขั้วบวกหรือว่าขั้วลบ ซึ่งระบบจะรับไฟฟ้าเข้าสู่ Wallbox ก่อนนำกระแสเข้าสู่ On Board Charger ในตัวรถ ก่อนแปลงไฟฟ้าเป็นไฟฟ้ากระแสตรง แต่หากเป็นการชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ DC Charging จะเป็นการนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เลยโดยที่ไม่ต้องผ่าน On Board Charger จึงทำให้ได้เปอร์เซ็นต์แบตที่ไวมากกว่า และแบตเตอรี่เต็มเร็วกว่าในการชาร์จไฟรถยนต์ EV

ชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ดีกว่ายังไง?

  • เป็นการชาร์จไฟที่ไม่ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่ในระยะยาว เพราะผ่านตัวกลางก่อน
  • เป็นระบบการชาร์จไฟที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จไว้ที่บ้าน ที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ส่วนตัว
  • สามารถชาร์จไฟข้ามคืนได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อม
  • การชาร์จไฟด้วยระบบ AC มีค่าไฟที่ถูกที่สุด
  • ใช้งานได้ง่าย เพียงแค่เสียบปลั๊กก็สามารถชาร์จไฟได้ทันที
  • รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุดถึง 22 kW ซึ่งเพียงพอต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน
  • การชาร์จ AC นอกบ้านตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีราคาที่ถูกกว่าการชาร์จแบบ DC
  • หัวชาร์จรองรับกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น โดยเฉพาะหัวชาร์จ AC Type 2 ที่นิยมในปัจจุบัน

หมายเหตุ: อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟแบบ AC และ DC จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และแต่ละสถานีก็จะมีค่าชาร์จไฟต่อหน่วยที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องเช็กค่าบริการก่อนทุกครั้ง

ข้อจำกัดของการชาร์จไฟแบบ AC Charging

  • ใช้ระยะเวลาการชาร์จที่นานมากกว่าการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC Charging
  • อาจไม่สะดวกในการใช้งานสำหรับบางสถานการณ์ เช่น การเดินทางไกล หรือเวลาเร่งรีบ
  • ปัจจุบันเครื่องชาร์จไฟด้วยระบบ AC Charging ยังรองรับการชาร์จเพียงแค่ 3 – 22 kW เท่านั้น
การชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

ชาร์จไฟรถยนต์แบบ AC ด้วยการติดตั้ง Home Charger

จะเห็นได้เลยว่า การชาร์จไฟแบบ AC หรือการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นรูปแบบการชาร์จที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เพราะสามารถชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ มีราคาค่าไฟต่อหน่วยถูกกว่า และที่สำคัญคือ สามารถเสียบหัวชาร์จกับตัวรถค้างคืนได้ ไม่ต้องรอถอดหัวชาร์จออกจากตัวรถเมื่อแบตเตอรี่เต็ม และหากติดตั้ง Home Charger ที่สามารถตั้งค่าการชาร์จไฟได้ผ่านทาง Application ก็สามารถควบคุมการชาร์จได้โดยไม่ต้องเดินมาที่ตัวรถ เช่น เมื่อแบตเตอรี่เต็มก็สามารถหยุดการชาร์จได้ผ่านแอปฯ

นอกจากนี้ การชาร์จไฟแบบ AC ยังมีข้อดีคือ การประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟ โดยเฉพาะผู้ที่ติดตั้ง Home Charger ที่ใช้ควบคู่กับมิเตอร์ TOU ที่เมื่อชาร์จไฟในเวลา Off – Peak ก็จะช่วยลดคอร์สค่าใช้จ่ายลงไปได้อีกหลายเท่า ชนิดที่ว่าต่อให้ใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเท่าเดิม มีเพิ่มเติมมาแค่การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าทุกวัน แต่หากชาร์จไฟในเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าต่ำ ตามรูปแบบของมิเตอร์ TOU ด้วยแล้ว ก็จะพบว่าค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนถูกลงจนเห็นได้ชัด

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

ติดตั้ง Home Charger ที่บ้าน ด้วยเครื่องชาร์จรถจาก Plughaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น Home Charger รุ่นดังอย่าง Teison Smart Mini, EN+ Caro Pro และ Caro Series ทั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 1 และ/หรือการติดตั้งแบบวงจรที่ 2 กับทางทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ตามมาตรฐาน กฟผ. และ กฟน. เพียงแค่ติดต่อมาที่ Plughaus Thailand วันนี้ รับทันทีสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งโปรโมชันสุดคุ้ม และประกันหลังการติดตั้ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เครื่องชาร์จรถ EV สามารถมั่นใจได้มากขึ้น ว่าจะได้รับการติดตั้งที่มีมาตรฐาน ทั้งยังมีการการันตีทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง

มัดรวม 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ที่คนใช้รถ EV ควรโหลด!

บอกต่อแอปพลิเคชันสำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ควรโหลด กับ 5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จรถไฟฟ้า ใกล้ฉัน! ที่ใช้งานง่าย ตามหา EV Station ได้ทั่วประเทศ พร้อมเช็กสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time สถานีชาร์จไหนว่างบ้าง อัปเดตกันได้ไวทันใจ! พร้อมรีวิวการใช้งานแบบง่าย ๆ สำหรับแอปฯ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ที่มีติดมือถือไว้แล้วทำให้การใช้รถอีวีสะดวกมากยิ่งขึ้น เดือนทางไปไหนก็ตามหาจุดชาร์จที่ใกล้ที่สุดได้ทันที

แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Evolt App EV Station และ MEA

5 แอปฯ ค้นหาจุดชาร์จไฟรถ EV ที่ใช้แล้วดีจริง!

Evolt EV Station App

สำหรับแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ของทาง Evolt ถือว่าเป็นหนึ่งในแอปที่มีความครอบคลุมมากที่สุด ในการให้บริการด้านการชาร์จไฟที่สถานีชาร์จ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดต่าง ๆ ทั้งประเทศไทย โดยในปัจจุบันทางอีโวลท์ได้มีการอัปเกรดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเวอร์ชันใหม่ ที่มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น ทั้งยังเช็กสถานะในการชาร์จไฟได้แบบ Real Time

จุดเด่นของแอปฯ Evolt

  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ทั่วประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศอย่าง European Zone
  • มีข้อมูลสถานีชาร์จไฟที่ครบครัน รวมถึงรูปแบบการชาร์จไฟอย่าง AC และ DC Charger
  • สามารถเลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติมเข้าแอปฯ ได้ เริ่มต้นเพียง 200 บาท เท่านั้น
  • ในหน้าแอปฯ EV Station จะบอกสถานะของหัวชาร์จว่าว่างจำนวนเท่าไหร่บ้าง
  • ติดตามการชาร์จไฟได้โดยตรงผ่านทางแอปฯ ไม่ต้องเฝ้ารถ ก็สามารถดูสถานะได้ตลอด

2. MEA EV

แอปชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า MEA EV เป็นแอปที่อยู่ภายใต้การให้บริการของการไฟฟ้านครหลวง โดยจุดเด่นคือ มีความครอบคลุมด้านการให้บริการสถานีชาร์จที่ครอบคลุมในประเทศไทย โดดเด่นมากที่สุดคือในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยเฉพาะตามสถานที่สาธารณะประโยชน์ องค์กรภาครัฐ และปั๊มน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งหมด 86 สถานีชาร์จ และมีทั้งในรูปแบบ AC และ DC เช่นกัน

จุดเด่นของแอปฯ MEA EV

  • ให้บริการในพื้นที่ทำการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างครอบคลุมตามเขตต่าง ๆ
  • อัตราค่าบริการเพียงแค่ 7.5 บาท/หน่วย
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่สาธารณประโยชน์ และอาคารจอดรถของสถานีรถไฟฟ้า
  • รองรับการชำระอัตราค่าบริการด้วยเมนู MEA Wallet เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • ติดตามสถานะในการชาร์จไฟได้ตลอดเวลา รวมถึงการกด Start และ Stop ในแอปฯ
  • ผู้ใช้แอปฯ จะทราบปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า PEA, EA Anywhere และ PluZ

3. PEA Volta

แอปพลิเคชัน PEA Volta เป็นแอปฯ ให้บริการการชาร์จไฟโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งตู้ชาร์จไฟรถ EV ในสำนักงานของ PEA เป็นหลัก รวมถึงปั๊มน้ำมันบางจากในพื้นที่ต่าง ๆ การอัดประจุมีทั้งแบบ AC และ DC โดยทุกสถานีที่ติดตั้งจะใช้มาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของ กฟภ. โดยตรง ส่วนอัตราค่าบริการจะใช้ระบบการเติมเงินแบบ Prepaid ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวกมากขึ้น

จุดเด่นของแอปฯ PEA EV

  • โดดเด่นเรื่องการให้บริการในพื้นที่สำนักงานของ กฟผ. และปั๊มน้ำมัน
  • ส่วนมากจะให้บริการในพื้นที่ต่างจังหวัด รองรับผู้ใช้รถ EV ทั่วประเทศ
  • มีการเปิดให้บริการสถานีชาร์จใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อรองรับผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น
  • อัตราค่าบริการค่าชาร์จไฟในช่วง Off Peak เฉลี่ยเริ่มต้นที่ 5.30 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
  • ค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทาง Application ได้ทั่วประเทศ
  • มีฟังก์ชัน Trip Planner สำหรับการวางแผนการเดินทางของผู้ใช้รถ

4. EA Anywhere

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็คือแอปฯ EA Anywhere ที่ในปัจจุบันมุ่งเน้นการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าด้วยระบบ DC Charging แบบหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยการให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในโซนต่างจังหวัด อาทิ สถานีชาร์จในภาคอีสาน โดยตัวแอปสามารถใช้วงเงินจาก Wallet สำหรับการชำระค่าบริการได้ โดยจุดเด่นของแอปที่น่าจะถูกใจผู้ใช้รถ คือ การจองหัวชาร์จล่วงหน้า ที่ช่วยให้วางแผนในการเดินทางได้อย่างเป็นระบบ และไม่ต้องต่อคิวชาร์จ

จุดเด่นของแอปฯ EA Anywhere

  • มีความโดดเด่นเรื่องการจองสถานีชาร์จล่วงหน้า เหมาะสำหรับคนที่เดินทางบ่อย ๆ
  • เมื่อจองสถานีชาร์จเอาไว้แล้ว จะมีระบบนำทางพาไปยังสถานีชาร์จ
  • มีระบบการแจ้งเตือนก่อนหมดเวลา 30 นาที
  • สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้ผ่านทางแอปฯ
  • มีการอัปเกรด Application ใหม่ สามารถใช้ User ID เดิมได้
  • รองรับการใช้คู่กับรถไฟฟ้าหลายประเภท ทั้ง BEV และ PHEV

5. EV Station PluZ

ปิดท้ายกันด้วยแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่อยู่คู่คนใช้รถอย่าง EV Station PluZ แอปค้นหาสถานีชาร์จในเครือ ปตท. ที่ในปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ด้วยการให้บริการที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. โดยตรง ทำให้มีจุดชาร์จไฟที่ครอบคลุมมากที่สุดในไทย ซึ่งล่าสุดทาง EV Station PluZ ก็ได้ขยายจุดชาร์จครบ 1,000 แห่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกว่าเป็นการขยายจุดชาร์จรถ EV แบบหน้ากว้างที่รวดเร็วเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

จุดเด่นของแอปฯ EV Station PluZ

  • พื้นที่ให้บริการส่วนมากอยู่ในปั๊ม ปตท. (PTT) ทำให้มีความครอบคลุมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
  • รองรับการจองเพื่อใช้บริการล่วงหน้า ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้รถที่ต้องการจองก่อนชาร์จ
  • สามารถทำการยกเลิกการจองใช้บริการที่สถานีชาร์จ EV Station ได้ (อย่างน้อย 2 ชม.)
  • เมื่อมีการยกเลิกการจอง จะมีการคืนค่าจองกลับมาในรูปแบบของคูปองภายในแอปฯ
  • มีบริการหัวชาร์จ Ultra – Fast Charger รวม 6 หัวจ่าย กำลังไฟ 480 kWh
แนะนำแอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จรถ EV ทั่วประเทศไทย

สรุป

สำหรับแอปพลิเคชันชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถอีวี ไม่ว่าจะเป็นแอปของทาง PEA และ MEA หรือแม้แต่ Evolt Application เอง ก็นับว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน รวมถึงอัตราค่าบริการ EV Charging Station ของแต่ละผู้ให้บริการด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถยนต์ EV อย่าลืมดาวน์โหลดแอปเช็กสถานีชาร์จรถไฟฟ้า มาติดไว้ในมือถือให้พร้อม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเลือกใช้บริการที่สถานีชาร์จรถ EV ที่สะดวกและใกล้เคียงที่สุดได้ทั่วประเทศ

มาตรฐานการติดตั้ง ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้!

ในปัจจุบันนี้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในครัวเรือน นับว่าได้รับความนิยมมากขึ้น ตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในเมืองไทย ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องมาคู่กับ Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ที่ต้องมีการติดตั้งสำหรับชาร์จไฟ เพื่อเป็นพลังงานในแบตเตอรี่รถยนต์เช่นกัน ซึ่งการติดตั้งเครื่องชาร์จก็มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาควบคู่กัน หนึ่งในนั้นก็คือ “ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2” ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในตอนนี้

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2

ระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 คืออะไร?

ระบบไฟฟ้าวงจร 2 คือ การเดินวงจรไฟฟ้าใหม่คู่ขนานกับวงจรเดิม โดยเป็นการเดินระบบไฟฟ้าจากมิเตอร์บ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยจะเป็นวงจรที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อใช้สำหรับการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งการติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 มีข้อดีคือ ไม่ต้องรื้อระบบไฟฟ้าใหม่ และมีความปลอดภัยในการชาร์จไฟทุกครั้ง หากติดตั้งตามมาตรฐานของการไฟฟ้าที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วเช่นกัน ทำให้ควบคุมค่าไฟของครัวเรือนได้ง่ายยิ่งขึ้น

ข้อดีของการติดตั้งวงจรที่ 2 สำหรับ EV Charger

การแยกวงจรไฟฟ้า หรือ การติดตั้งระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 นั้น นอกจากจะช่วยแยกวงจรไฟฟ้าสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV ได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไฟฟ้าลัดวงจร หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาไฟฟ้าเกิดพิกัด หรือ Overload ซึ่งการติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า ไฟในบ้านจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานของสมาชิกในบ้าน ชาร์จไฟเวลาไหนก็ได้ประสิทธิภาพทั้งหมด และที่สำคัญคือ วงจรที่ 2 จะไม่ไปยุ่งกับระบบไฟฟ้าเดิม การติดตั้งจึงง่ายและรวดเร็ว

ขั้นตอนการติดตั้งวงจรที่ 2

การติดตั้งวงจรที่ 2 จะต้องทำระบบวงจรไฟฟ้า สำหรับการติดตั้งรถยนต์ EV จากมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านมายังตู้ไฟโรงจอดรถ โดยในตู้ไฟจะต้องมีการติดตั้งเมนเซอร์กิตเบรกเกอร์ (Main Circuit Breaker) แบบ 2 Pole พิกัด 50A รวมถึงติดตั้ง RCD กันดูด และระบบกราวด์ความลึก 2.4 เมตร เบื้องต้นหากต้องการติดตั้งวงจรที่ 2 ต้องติดตั้งตามมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

โดยการขออนุญาตจะต้องไปทำเรื่องขอมิเตอร์ชาร์จรถไฟฟ้า โดยมิเตอร์ต้องมีขนาด 30(100) A ขึ้นไป หรือระดับ 50(150) A เพื่อให้เพียงพอต่อการเดินสายไฟสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ EV และการติดตั้ง EV Charger เมื่อมีการแจ้งการไฟฟ้าแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบมาตรฐานการติดตั้ง พร้อมการเปลี่ยนมิเตอร์ตัวใหม่ขนาด 30(100) A ให้ แต่หากที่บ้านเป็นมิเตอร์ขนาด 30(100) อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดมิเตอร์เพื่อติดตั้ง Home Charger

ติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

อุปกรณ์สำหรับติดตั้ง EV Charger สำหรับวงจรที่ 2

1. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)

สำหรับตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) เป็นอุปกรณ์ทำใช้สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟต่าง ๆ เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) ลูกย่อยแบบ 1 Pole และกันดูด RCD โดยต้องมีมาตรฐาน มอก. หรือ IEC โดยแนะนำว่าสามารถรองรับการติดตั้งเพิ่มในอนาคตได้ โดยที่นิยมคือแบบ 4 – 7 ช่องสำหรับวงจร 2

2. เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Breaker)

เป็นอุปกรณ์สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อมีวงจรไฟฟ้ามีปัญหา โดยที่นิยมจะใช้เป็นขนาด 50A ชนิด 2 Pole โดยต้องรองรับทั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส สำหรับเซอร์กิตเบรกเกอร์สามารถเลือกใช้แบรนด์ไหนก็ได้ตามมาตรฐาน มอก. หรือ IEC เช่น ABB, Scheider, Panasonic, Haco, NANO ฯลฯ

3. สายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน

โดยสายไฟสำหรับการเดินวงจรเมน สำหรับการติดตั้งวงจรที่ 2 ควรมีขนาด 16 มม. ขึ้นไป ชนิด THW มีคุณสมบัติไม่ลามไฟและมี มอก. รองรับ โดยในตลาดที่นิยมกันคือยี่ห้อ Yazaki, TripleN PKS และ บางกอกเคเบิ้ล

4. หลักดิน

การเลือกใช้หลักดินสำหรับติดตั้งระบบไฟฟ้า วงจรที่ 2 ควรเป็นแท่งเหล็กหุ้มด้วยทองแดง หรือแท่งทองแดง หรือ แท่งเหล็กอาบสังกะสี ที่มีมาตรฐานตาม ว.ส.ท. โดยต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 5/8 นิ้ว

5. เครื่องตัดไฟรั่ว (RDC)

การใช้เครื่องตัดไฟรั่วในการติดตั้ง วงจรที่ 2 โดยควรเป็นกันดูดชนิด Type B ที่สามารถตัดไฟได้ทั้งการรั่วของกระแสตรงและกระแสสลับ แต่หากเครื่องชาร์จตัดไฟกระแสตรงได้ สามารถใช้ RCD กันดูด Type A ได้

หมายเหตุ : การติดตั้งวงจรที่ 2 สามารถติดต่อการไฟฟ้าได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมทำเรื่องยื่นขอมิเตอร์ตัวที่ 2 สำหรับ EV

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อม Home Charger

ติดตั้งวงจรที่ 2 พร้อมเครื่องชาร์จไฟ Home Charger

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน พร้อมระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 สามารถเลือกใช้บริการและติดตั้ง Home Charger ในรูปแบบของ AC Charging สำหรับรถยนต์ EV กับทาง PlugHaus Thailand ได้ทุกรุ่น ด้วยบริการแบบ One Stop Service ที่นอกจากจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายแล้ว ยังมีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟที่บ้านจากทีมงานมืออาชีพ โดยทางเราจะมีทั้งการตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟฟ้า พร้อมการวางระบบไฟให้อย่างครบวงจร ที่สำคัญคือ มีประกันอัคคีภัยพร้อมประกันหลังการติดตั้งให้เช่นกัน