สรุปแล้ว! สำหรับยอดจองรถยนต์ใหม่ในงาน Motor Expo 2025 หรืองานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ที่ปิดฉากอย่างสวยงาม และในงาน Motor Expo ปีนี้ จัดขึ้นที่ Challenger Hall 1 – 3 เมืองทองธานี โดยปิดยอดจองงาน Motor Expo 2025 ไปอย่างสวยงามทั้งหมด 81,147 คัน เพิ่มขึ้นจากงาน Motor Expo 2024 ถึง 48.5% โดยในรอบนี้พี่ใหญ่ Toyota หวนคืนแชมป์ได้สำเร็จ หลังจากที่ปี 2024 เสียแชมป์ให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนอย่าง BYD เรียกว่าปีนี้งานมอเตอร์เอ็กซ์โปคึกคักกันเป็นอย่างมาก

20 อันดับ ยอดจองรถสูงสุดในงาน Motor Expo 2025
- อันดับ 1 Toyota ยอดจอง 10,872 คัน
- อันดับ 2 BYD ยอดจอง 10,031 คัน
- อันดับ 3 OMODA JAECOO ยอดจอง 7,266 คัน
- อันดับ 4 Honda ยอดจอง 6,278 คัน
- อันดับ 5 GAC ยอดจอง 5,019 คัน
- อันดับ 6 GEELY ยอดจอง 4,827 คัน
- อันดับ 7 MG ยอดจอง 4,827 คัน
- อันดับ 8 GWM ยอดจอง 4,609 คัน
- อันดับ 9 DEEPAL ยอดจอง 4,586 คัน
- อันดับ 10 Mitsubishi ยอดจอง 2,988 คัน
- อันดับ 11 Isuzu ยอดจอง 2,389 คัน
- อันดับ 12 Chery ยอดจอง 2,009 คัน
- อันดับ 13 Mazda ยอดจอง 1,899 คัน
- อันดับ 14 Nissan ยอดจอง 1,508 คัน
- อันดับ 15 Zeekr ยอดจอง 1,129 คัน
- อันดับ 16 AVATR ยอดจอง 1,103 คัน
- อันดับ 17 XPENG ยอดจอง 1,089 คัน
- อันดับ 18 BMW ยอดจอง 1,070 คัน
- อันดับ 19 Ford ยอดจอง 914 คัน
- อันดับ 20 Mercedes-Benz ยอดจอง 911 คัน
ป้ายยา 5 รถใหม่งาน Motor Expo 2025 ที่มาแรงที่สุด
1. GEELY EX2
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงในงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็คือ GEELY EX2 ที่เปิดตัวในราคา 399,990 – 429,990 บาท (สำหรับ 2,000 คันแรก) มี 2 รุ่น คือ EX2 และ EX2 MAX ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว พละกำลังสูงสุด 116 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium – ion ความจุ 39.4 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 395 กม. ตามมาตรฐาน NEDC รองรับทั้งการชาร์จ AC และ DC จัดเต็มระบบความบันเทิงและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครัน

2. JAECOO 5 EV
อีกหนึ่งรุ่นรถยนต์ EV ที่มาแรงในงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็คือ JAECOO 5 EV กับราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 589,000 – 639,000 บาท โดยเป็นรุ่นรถนำเข้า CBU จากจีน มี 2 รุ่นย่อย คือ JAECOO 5 EV Dynamic และ JAECOO 5 EV Max ซึ่งเป็นราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยตัวรถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว พละกำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิด 288 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 58.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 400 กม. ตามมาตรฐาน WLTP และระยะทาง 461 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

3. BYD Atto 3
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายอดฮิตในงาน Motor Expo 2025 ก็คือ BYD Atto 3 ที่ก็ติดโผมาแรงทั้งก่อนและหลังงาน โดยมีส่วนลดสูงสุดถึง 200,000 บาท ทำให้ราคาจำหน่ายในรุ่น Premium เหลือ 629,900 บาท กับแบตเตอรี่ความจุ 50.25 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 410 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนรุ่น Extended เหลือราคาเพียง 699,900 บาทเท่านั้น กับแบตเตอรี่ความจุ 60.48 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 480 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

4. Toyota Hilux Travo – e
เรียกว่ากระบะไฟฟ้าจากพี่ใหญ่โตโยต้าอย่าง Toyota Hilux Travo – e เป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน Motor Expo 2025 ปีนี้ เพราะเป็นการเปิดตัวพร้อมลุยตลาดรถกระบะไฟฟ้าครั้งแรกอย่างเป็นทางการ โดยเปิดตัวมาในราคา 1,491,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นผลิดในไทย มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ 59.2 kWh แรงดันไฟฟ้า 296 V พร้อมกับระบบส่งกำลัง e – Axle ขับเคลื่อน 4 ล้อ วิ่งได้ไกลสูงสุด 315 กม. ตามมาตรฐาน NEDC มีโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Eco, Normal และ Sport ทั้งยังลุยน้ำได้สูงสุด 700 มิลลิเมตร

5. BYD Ti7
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงาน Motor Expo 2025 ก็คือการเผยโฉมรถ SUV สไตล์ Adventure อย่าง BYD Ti7 รถปลั๊กอินไฮบริด PHEV เป็นครั้งแรก โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ความจุแบตเตอรี่ 35.6 แบบ Cell – to – Body หากขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวสามารถขับขี่ได้ไกลสูงสุดที่ 155 กม. ตามมาตรฐาน NEDC แต่ยังไม่มีการเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแค่การโชว์ตัวก่อน แต่ก็ทำให้ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก ๆ ของทางค่าย BYD ในงาน Motor Expo ในปีนี้

สรุป
สำหรับยอดจองรถยนต์ใหม่งาน Motor Expo 2025 ในปีนี้ ก็ทำให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ในไทยคึกคักเป็นอย่างมากในรอบ 10 ปี เพราะที่ผ่านมางาน Motor Expo ยังไม่สามารถปิดยอดจองไปได้มากกว่า 6 หมื่นคัน แต่ในปีนี้กลับทุบสถิติยอดจองถึง 81,147 คัน ส่วนค่ายรถหลาย ๆ ค่ายก็สามารถสร้างสถิติด้วยยอดจองที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้เช่นกัน
อาทิ Toyota ที่สามารถปิดยอดจองไปได้ถึง 10,872 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ถึง 2,575 คัน ในขณะที่ทาง BYD ก็สามารถทุบสถิติยอดจองไปถึง 10,031 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2,989 คัน และที่สำคัญคือ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนมาแรงมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อการใช้รถยนต์ EV มากกว่าที่ผ่านมา ทั้งคุณภาพรถและการขยายสถานีชาร์จที่เพียงพอในปัจจุบัน