ไฮไลท์เด็ดงาน Motor Show 2025 รถ EV มาใหม่เพียบ! เริ่ม 26 มี.ค. 68

เตรียมพบกับอีกหนึ่งมหกรรมด้านยานยนต์สำหรับคนรักรถ กับงาน Bangkok International Motor Show 2025 หรือ มอเตอร์โชว์ 2568 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 46 ในปีนี้ พร้อมยกขบวนรถใหม่มาเปิดตัวแบบจัดเต็ม รวมถึงการเข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรกของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ ที่พร้อมบุกตลาดรถยนต์ EV ในไทยอย่างเป็นทางการ โดยงานนี้นอกจากจะมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ มาเปิดตัวแล้ว ยังมีนวัตกรรมด้านยานยนต์ที่น่าสนใจมากมาย เพราะฉะนั้น มาดูกันว่างาน Motor Show 2025 ปีนี้ มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง พร้อมการเดินทาง และราคาจำหน่ายบัตรเข้างาน

ไฮไลท์งาน Motor Show 2025

Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 กับไฮไลท์ที่ห้ามพลาด!

สำหรับการจัดงาน Motor Show 2025 ในครั้งนี้ ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 46 ภายในธีม ในธีม “The Talk of Sensuous Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” ที่ได้นำเอารถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ทั้งรถยนต์สันดาป และ รถยนต์ไฟฟ้า 2025 หรือ รถยนต์ EV ที่พร้อมเปิดตัวและจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดยในปีนี้มีค่ายรถที่เข้าร่วมเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น OMODA&JAECOO, CHERY, ZEEKR, JUMEYAO, RIDDARA และ KINGGEN

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ บูธสำหรับสายมูตัวจริงเสียงจริงของ อ.ลักษณ์ โหราธิบดี ที่จะมาให้บริการด้านการทำนายโหร พร้อมให้คำปรึกษาฤกษ์ออกรถใหม่สำหรับผู้ที่สนใจเลือกซื้อรถยนต์ภายในงาน มอเตอร์โชว์ 2568 นี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ MU-NIVERSE หรือ “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เรียกได้ว่า ใครเป็นสายมูห้ามพลาด กับบูธนี้ภายในงาน Motor Show อย่างเด็ดขาด

ส่วนทางด้านการให้บริการรถยนต์ใหม่จากค่ายรถ ก็ยังมีสิทธิพิเศษอย่างการ Test Drive หรือการทดลองขับจริง ที่นอกจากจะทำให้ได้สัมผัสกับการขับขี่ตัวรถจริง ๆ แล้ว ยังช่วยให้การตัดสินใจเลือกซื้อรถง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งบริการนี้ครอบคลุมทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ EV ที่เปิดให้จองและชมกันภายในงาน ส่วนทางด้านบูธอื่น ๆ ก็มีให้ติดตามกันอีกเพียบ ทั้งของตกแต่งรถยนต์ บูธรถยนต์มือสอง สินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป และที่ขาดไม่ได้คือ การเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA เป็นครั้งแรกในเมืองไทย

รายละเอียดงาน Motor Show 2025 วันที่จัดงาน และราคาบัตร

รายละเอียดงาน Motor Show 2025 วันที่จัดงาน และราคาบัตร

วันจัดงาน Motor Show 2025

  • รอบสื่อมวลชน จัดขึ้นวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 21.00 น.
  • รอบ VIP จัดขึ้นในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.59 – 18.00 น.
  • งานมอเตอร์โชว์รอบบุคคลทั่วไป เริ่มวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568

ในรอบบุคคลทั่วไป วันธรรมดางาน Motor Show 2025 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 – 22.00 น. ส่วนวันเสาร์ – อาทิตย์ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น.

สถานที่จัดงาน Motor Show 2025

งานมอเตอร์โชว์ 2568 ปีนี้ จะขึ้น ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 และฟอรั่ม ฮอลล์ 4 หรือ Exhibition Hall 4 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ราคาบัตรเข้างาน Motor Show 2025

  • บัตรปกติ ราคา 100 บาท (ใช้ได้วันต่อวัน)
  • บัตร VIP Diamond Lounge Package ราคา 999 บาท

สำหรับบัตร VIP Diamond Lounge Package สามารถใช้สิทธิพิเศษเข้างานได้ทุกวัน ตลอดระยะเวลาจัดกิจกรรม พร้อมรับสิทธิพิเศษที่จอดรถ และบริการ Dimond Lounge

การเดินทางไปงานมอเตอร์โชว์ 2568

1. รถไฟฟ้า BTS

  • ลงสถานีหมอชิต ทางออก 4 ต่อรถตู้สายสวนจุตจักร – เมืองทองธานี
  • รถไฟฟ้าสายสีแดง ลงสถานีหลักสี่ ต่อรถประจำทางสาย 52, 150 และ 356

2. รถไฟฟ้า MRT

  • ลงสถานีสวนจตุจักร ทางออก 3 แล้วต่อรถตู้สายสวนจุตจักร – เมืองทองธานี

3. รถไฟฟ้าสายสีชมพู

  • ลงสถานีศรีรัช แล้วใช้บริการ Shuttle Bus เดินทางมางาน Motor Show ฟรี

4. รถโดยสารประจำทาง

  • เส้นวิภาวดี – รังสิต และแยกแจ้งวัฒนะ ใช้สาย 29, 52, 59, 95, 150, 504, 510 และ 538
  • เส้นห้าแยกปากเกร็ด ใช้สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359 และ 367
  • เส้นแจ้งวัฒนะ ใช้สาย 52, 150 และ 356
รายละเอียดงาน Motor Show 2025 และรถเปิดตัวใหม่

เปิดลายแทงรถ EV เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Show 2025

แน่นอนว่า ไฮไลท์สำคัญของงาน Motor Show 2025 นี้ ก็คงหนีไม่พ้นรถเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่พร้อมจะมาบุกตลาดรถ EV ในเมืองไทย โดย PlugHaus Thailand จะมาป้ายยาแบบง่าย ๆ กัน ว่าในงานMotor Show ปีนี้ มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่เตรียมมาเผยโฉมในงานนี้

  • BYD Shark 6
  • BYD Atto 2
  • MG IM6
  • Aion UT
  • ZEEKR 7X
  • Deepal S05

ส่วนทางด้านรถยนต์พลังงานทางเลือกรูปแบบอื่น ๆ เช่น PHEV อย่าง JAECOO 7 ที่ก็เตรียมเปิดตัวในงาน ส่วนทางด้านค่าย Nissan ก็เตรียมเปิดตัวรถใหม่ที่ใช้ระบบอี-พาวเวอร์ อย่าง Nissan Serena e-Power และ Nissan Kicks 2025 หรือแม้แต่ทาง MG HS 2025 ก็มีแพลนจะเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เช่นกัน

ติดตามข่าวรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์รถ EV ก่อนใครที่ PlugHaus

สำหรับงาน Motor Show 2025 นี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานยานยนต์ที่น่าติดตามมาก ๆ สำหรับคนรักรถ โดยเฉพาะชาวแก๊ง EV ที่ก็มีหลายคนต่างก็รอลุ้นว่าในปีนี้จะมีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจและน่าใช้งาน เพราะฉะนั้น หากไม่อยากพลาดข่าวสารวงการยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์รถ EV แบบเรียลไทม์ อย่าลืมติดตาม PlugHaus Thailand เพื่ออัปเดตข่าวสารในวงการรถอีวีได้ก่อนใคร

7 รถยนต์ไฟฟ้า 2025 มาใหม่ พร้อมราคาจำหน่ายในไทยปีนี้

ในบรรดารถยนต์ EV ที่กำลังทำตลาดในเมืองไทยนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งราคาจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงสเปกที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งาน ซึ่งในบรรดา รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ก็มีทั้งการเปิดตัวในปลายปีหรือในงาน Motor Expo 2024 รวมถึงการเปิดตัวในต้นปี 2025 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาเจาะสเปกรถยนต์ไฟฟ้ากัน ว่าในปีนี้มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ สรุปข้อมูลฉบับรวบรัด พร้อมราคาจำหน่ายในตอนนี้

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 BYD Sealion 7

1. BYD Sealion 7

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงและได้รับความนิยมมาก ๆ ในปี 2025 นี้ ก็คือ BYD Sealion 7 จากค่าย BYD ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม C-SUV ทรง Fastback ที่มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ 8 in 1 โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำ มาพร้อมกับสเปกที่น่าสนใจพร้อมกับฟังก์ชันที่โดดเด่น โดยเฉพาะระบบมัลติมีเดียภายใน และหลังคา Panoramic Glass Roof ที่ลดความร้อนได้พร้อมทั้งการกรองแสง UV ภายในตัว สำหรับแบตเตอรี่มีความจุ 82.5 kWh ขับขี่ได้สูงสุด 567 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย BYD Sealion 7

  • BYD Sealion 7 รุ่น Premium ราคา 1,249,900 บาท
  • BYD Sealion 7 รุ่น AWD Performance ราคา 1,399,900 บาท

หมายเหตุ : มีการปรับราคาขึ้นหลังช่วงโปรโมชั่น Early Bird จากงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Geely EX5

2. Geely EX5

สำหรับ Geely EX5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวมาแล้วได้รับกระแสที่ดีไม่แพ้กับรุ่นดังอย่าง BYD ATTO 3 และ NETA X โดยตัวรถใช้โมเดลสถาปัตยกรรม Geely Electric (GEA) โดยมีจุดเด่นคือ เทคโนโลยี Short Blade Battery ติดตั้งแบบ CTB Cell – to – Body ผลิตโดย SVOLT พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ 11 in 1 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ให้สมรรถนะที่ทรงพลัง โดยตัวรถถูกออกแบบให้มีความอเนกประสงค์ ด้วยการเพิ่มพื้นที่ของห้องโดยสารมาให้กว้างมากขึ้น

เรียกได้ว่า Geely EX5 เป็นรถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์คนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า EV สำหรับการใช้งานในครอบครัว นอกจากนี้ ตัวรถยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง Hello Geely และที่ขาดไม่ได้คือ มีหลังคากระจก Panoramic Roof ส่วนแบตเตอรี่เองก็ถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดี เพราะใช้แบตเตอรี่ LFP แบบ Aegis short blade 60.22 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 495 กม. (มาตรฐาน CLTC) สำหรับรุ่น Pro

ราคาจำหน่าย Geely EX5

  • Geely EX5 Pro ราคา 899,000 บาท
  • Geely EX5 Max ราคา 989,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Aion V

3. Aion V

สำหรับ Aion V ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาแรงของปี 2025 นี้ เพราะเป็นรถ SUV 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบให้มีความสมบุกสมบันมากขึ้น พร้อมลุยได้มากกว่า Aion Y Plus โดยโหมดการขับขี่มี 4 รูปแบบ คือ Comfort, Sport, Eco และ Max Eco ส่วนระบบ Regenerative Braking ก็ปรับได้ถึง 3 ระดับเช่นกัน

และในด้านของแบตเตอรี่ ใช้ Magazine Battery Lithium-ion (LFP) ความจุ 75.3 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front – Wheel Drive ให้กำลังสูงสุด 224 แรงม้า วิ่งได้ไกลสูงสุด 602 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) และที่ขาดไม่ได้คือ ภายในรถมีหลังคากระจก Panoramic Roof แบบ Fixed และตู้เย็นคอนโซลกลางที่ทำความเย็น – ร้อน ได้ตั้งแต่ -15 ไปจนถึง 50 องศา

ราคาจำหน่าย Aion V

  • Aion V ราคา 1,029,900 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Tesla Model Y Juniper 2025

4. Tesla Model Y 2025

ถ้าหากให้นึกถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ยังคงเป็นกระแสและได้รับความนิยมในไทย ก็คือ Tesla Model Y 2025 หรือ New Model Y Juniper ที่ต่อยอดมาจากโมเดล Y ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายอันดับ 1 ของโลก โดยในรุ่นปี 2025 นี้ มีการอัปเกรดความสามารถในการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ระยะทางในการขับขี่ หรือแม้แต่ห้องโดยสารที่เงียบยิ่งกว่าเดิม โดยที่ยังคงความเรียบหรูตามสไตล์เทสล่าเช่นเดิม

แต่ที่โดดเด่นคือ ไฟหน้าส่องสว่างตอนกลางวันที่ไร้รอยต่อ พร้อมกับไฟท้ายแบบ Halo Tailight ที่ผลิตโดยการแพร่กระจายของแสงทางอ้อม ทอดเป็นแนวยาวตลอดทั้งชิ้นเป็นรุ่นแรกของโลก ส่วนการขับขี่มีการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ทั้งหมด ทำให้มีความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น เก็บเสียงได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการใช้พวงมาลัยใหม่ที่ตัดก้านคันเกียร์ออกจากรุ่นเดิม ส่วนแบตเตอรี่ใช้ลิเธียมไอออน LEP 62.5 kWh วิ่งได้ไกล 466 กม. และ NMC 78.4 kWh วิ่งได้ไกล 551 กม. (มาตรฐาน WLTP)

ราคาจำหน่าย Tesla Model Y 2025

  • Tesla Model Y 2025 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ราคาเริ่มต้น 1,769,000 บาท
  • Tesla Model Y 2025 รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาเริ่มต้น 2,069,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Leapmotor C10

5. Leapmotor C10

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Leapmotor C10 2025 ก็เป็นอีกหนึ่งรถ EV รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน โดยเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024 นำเข้า CBU จากจีน ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม SUV 5 ที่นั่ง เน้นการใช้งานที่มีพื้นที่สัมภาระกว้างขวาง แต่ไม่กระทบกับห้องโดยสาร มีอุปกรณ์การใช้งานที่ครบครัน และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบปฏิบัติการ LEAP OS 4.0 ที่พัฒนามาเพื่อการใช้งานรถยนต์โดยเฉพาะ ส่วนการใช้งานภายในรถก็ครบครันด้วยระบบมัลติมีเดีย อาทิ จอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมคำสั่งเสีย OTA ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีให้ไม่อั้น ทั้งการควบคุมความเร็ว การป้องกันรถพลิกคว่ำ และระบบปลดล็อกเมื่อมีการชน ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Lithium – ion 69.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 577 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย Leapmotor C10

  • Leapmotor C10 ราคา 1,098,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 Deepal E07

6. Deepal E07

รถยนต์ไฟฟ้า 100% จากค่าย ChangAn Thailand ก็ต้องยกให้กับ Deepal E07 2025 ที่มีจุดเด่นคือ ดีไซน์ทันสมัย หรูหรา และมีความอเนกประสงค์ตามสไตล์ของรถ SUV โดยตัวรถมีฟังก์ชันการใช้งานที่ช่วยเรื่องการขับขี่หลายตัว แต่ที่พิเศษมากกว่าก็คือ การออกแบบให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมระหว่างรถ Pickup และ SUV ส่วนภายในและภายนอกก็ยังคงสไตล์การออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิลล่าเคลื่อนที่” มีหลังคา Panoramic Glass Roof พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า มีโหมดการขับขี่ให้ใช้ 4 โหมด คือ ECO, Comfort, Sport และ Customize ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Ternary Lithium (NMC) ความจุ 89.98 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 640 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย Deepal E07

  • Deepal E07 Plus RWD ราคา 1,699,000 บาท
  • Deepal E07 Performance AWD ราคา 2,099,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 JAECOO 6

7. JAECOO 6

และอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% สัญชาติจีนที่มาแรง จากเครือ Chery ก็คือ JAECOO 6 รถ EV ตัวถัง B-SUV ที่ออกแบบในสไตล์แบบกล่อง ดูบึกบึน แข็งแรง และมีความทรงพลังในตัว โดยตัวรถถูกออกแบบมาให้มีความเป็นรถสายออฟโรด ที่อยู่ในไซซ์ใกล้เคียงกับ BYD ATTO 3, ZEEKR X และมีขนาดใหญ่กว่า OMODA C5 EV แต่ก็ยังมีไซซ์ที่เล็กกว่า NETA X เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับตัวรถมาพร้อมกับเรดาร์สำหรับการขับเหลือระบบการขับของรถ ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน โดดเด่นด้วยหลังคา Panoramic Sunroof องศาของรถออกแบบมาให้มีความกว้าง ทำให้ขึ้น – ลง ทางลาดชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกล่องสำหรับเก็บสัมภาระด้านหลังที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 10 กิโลกรัม ส่วนประตูท้ายเปิดออกแบบด้านข้างเหมือนประตูตู้กับข้าว ส่วนแบตเตอรี่ใช้ LFP ความจุ 65.69 kWh วิ่งได้ไกล 426 กม. ในรุ่น 2WD และแบตความจุ 69.77 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 418 กม. ในรุ่น 4WD วิ่งได้ไกลสูงสุด 418 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ราคาจำหน่าย JAECOO 6

  • JAECOO 6 รุ่น Long Range 2WD ราคา 1,099,000 บาท
  • JAECOO 6 รุ่น Long Range 4WD ราคา 1,249,000 บาท

มองหา Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก Plughaus

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้อ่านรีวิว รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ที่เปิดตัวในไทย พร้อมราคาจำหน่ายกันไปแล้ว มีความสนใจเลือกซื้อรถยนต์ EV ก็สามารถไป Test Drive หรืออ่านสเปกเพิ่มเติมตามรุ่นย่อยที่ต้องการได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศไทย และหากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่อยากติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน ไว้รองรับการใช้รถยนต์ EV ในที่พักอาศัย สามารถเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านในราคาสุดพิเศษกับทาง Plughaus Thailand ได้แล้ววันนี้ การันตีการติดตั้งที่มีมาตรฐาน จากทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

มาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP คืออะไร ทำไมคนใช้รถต้องรู้จัก

หลังจากที่มีกระแสข่าวการทดสอบมาตรฐานของ NETA V รถยนต์ไฟฟ้าราคาสุดประหยัด ในด้านมาตรฐานการชนของ ASEAN NCAP ที่ได้คะแนนการทดสอบไป 0 ดาว ก็ทำให้มาตรฐานความปลอดภัย NCAP ได้รับการพูดถึงมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมารู้จักกับมาตรฐานดังกล่าวนี้กันให้มากขึ้นว่า ASEAN NCAP คืออะไร มีการทดสอบอะไรบ้าง แล้วมีความสำคัญอย่างไรต่อผู้ใช้รถ

มาตรฐานความปลอดภัย NCAP Rating การชน

รู้จักมาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP คืออะไร?

คำว่า NCAP (New Car Assessment Program) คือ โครงการประเมินรถยนต์ใหม่ ที่จะใช้ทดสอบและประเมินความปลอดภัยของรถยนต์ โดยจะทำการทดสอบในหลาย ๆ ด้าน ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยการทดสอบ “การชน” ที่จะทำให้เห็นถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในรถ อาทิ การทดสอบเรื่องระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบการเตือนการชน ระบบควบคุมความเร็วโดยอัตโนมัติ ฯลฯ รวมถึงการปกป้องผู้โดยสารและผู้เดินถนน ซึ่งจะมีการประเมินในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป

โดยมาตรฐาน NCAP ที่คุ้นชินกันมากที่สุด คือ EURO NCAP ที่ภูมิภาคยุโรปใช้ ในขณะที่ภูมิภาคออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะเรียกกันว่า AUSTRALASIAN NCAP และทางด้านภูมิภาคอาเซียนของเรา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย จะใช้มาตรฐาน ASEAN NCAP ที่เริ่มใช้ทดสอบรถมานับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา

การทดสอบ Tesla Model Y โดย EURO NCAP

รูปแบบการทดสอบรถ ด้วยคะแนน NCAP Rating

ในการทดสอบ NCAP ไม่ว่าจะเป็นของภูมิภาคใด ๆ ก็ตาม หลักการทดสอบจะนำรถที่จำหน่ายมาทดสอบร่วมกับหุ่นจำลองคล้ายมนุษย์ เพื่อแทนที่ผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก ซึ่งในการทดสอบการชน จะแบ่งการทดสอบออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ พร้อมการระบุสีจากการทดสอบการชน โดยสีเขียวคือปลอดภัย สีเหลืองคือดี สีส้มคือพอใช้ สีน้ำตาลคือต่ำ และสีแดงคือต่ำมาก

  • การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ หรือ AOP (Adult Occupant Protection) คิดเป็น 40%
  • การปกป้องผู้โดยสารเด็ก หรือ COP (Child Occupant Protection) คิดเป็น 20%
  • การปกป้องคนเดินเท้าหรือคนเดินถนน (Vulnerable Road Users Protection) คิดเป็น 20%
  • ระบบความปลอดภัยขั้นสูง (Advanced Safety Assistance) คิดเป็น 20%

ในการทดสอบของ NCAP จะมีการประเมินคุณภาพและให้คะแนน NCAP Rating ทั้งหมด 5 ระดับ โดยแทนคะแนนด้วยรูปดาว ซึ่งคะแนน 5 ดาว จะหมายถึงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูง อาทิ ในการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y 2022 โดย EURO NCAP ได้รับดาวทั้งหมด 5 ดวง ในขณะที่หากเทียบกับการทดสอบของ Neta V โดย ASEAN NCAP ที่เป็นประเด็นนั้น อยู่ในระดับ 0 ดาว โดยสัดส่วนของคะแนนถือว่าน้อยมาก ๆ เพราะสามารถทำคะแนนรวมไปได้ทั้งหมดเพียง 28.55 คะแนนเท่านั้น

การทดสอบ Neta V โดย ASEAN NCAP

ความสำคัญของมาตรฐานการชน NCAP ต่อยานยนต์

  • ทำให้เห็นถึงมาตรฐานความปลอดภัย เพราะ NCAP ถือเป็นมาตรฐานสากลในการควบคุมคุณภาพของรถยนต์ทุกประเภท ทำให้ผู้บริโภคสามารถเทียบระดับความปลอดภัยของรถยนต์ได้
  • ช่วยให้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้ง่ายขึ้น เพราะในการใช้รถต้องคำนึงถึงระบบความปลอดภัยเป็นหลัก รวมถึงการปกป้องทั้งผู้ใช้และผู้ร่วมถนน เช่น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันต้องสามารถลดความเสียหายต่อชีวิตได้ เป็นต้น
  • ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตเห็นพัฒนารถที่มีคุณภาพและปลอดภัย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ตระหนักถึงความสำคัญในด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ขับขี่โดยตรง
  • เพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เพราะผู้บริโภคสามารถเลือกรถที่มีความปลอดภัย ในงบที่ตัวเองเอื้อมถึงได้
  • เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะรถยนต์ที่ได้รับคะแนน NCAP Rating อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและปลอดภัย จะได้รับความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคมากกว่า คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะผู้ขับขี่จะต้องคำนึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก มากกว่าการเลือกรถที่มีฟังก์ชันเด่น ๆ หรือเทคโนโลยีภายในรถ

ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่าลืมดูมาตรฐาน NCAP ทุกครั้ง

ถึงแม้ว่ามาตรฐาน ASEAN NCAP และ EURO NCAP ยังไม่ได้มีการบังคับหรือว่ามีผลตามกฎหมายในการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน ที่ผู้ใช้รถควรนำมาเป็นแนวทางในการเลือกใช้รถยนต์ หรือการเลือกซื้อรถใหม่ในครั้งต่อไป โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ตัวแบตเตอรี่เองก็มีราคาสูงเกือบ 50% ของราคารถ ที่หากมีมาตรฐาน NCAP มาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย ก็น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้รถได้ไม่มากก็น้อย

รีวิว Riddara RD6 กระบะไฟฟ้าคันแรกในไทย เริ่ม 899,000 บาท

Riddara RD6 เป็นรถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกของไทย ที่เปิดตัวมาพร้อมจัดจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยเป็นรถกระบะที่ส่งตรงจากเครือ Geely ที่ออกแบบมาเพื่อสายออฟโรดโดยเฉพาะ ภายในโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อกเหมือนกับรถเก๋ง เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นรถ SUV ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถกระบะที่ใช้น้ำมัน เพราะฉะนั้น หากใครที่กำลังมองหา รถกระบะไฟฟ้า บอกเลยว่า Geely Riddara RD6 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งประสิทธิภาพการใช้งาน การบรรทุก และที่สำคัญคือ ลุยน้ำได้จริง! กับราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 899,000 บาท

รีวิว Riddara RD6 กระบะไฟฟ้า 100% คันแรกในไทย

Riddara RD6 กระบะไฟฟ้า 100% โดดเด่นด้วยการขับขี่แบบ Off-Road

รถกระบะไฟฟ้า Geely Riddara RD6 (ริดดาร่า) เป็นรถกระบะที่เพิ่งเข้ามาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดรถ EV ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานใหม่ NEV ที่มียอดขายมากที่สุดในจีน ด้วยส่วนแบ่งถึง 61.5% ซึ่งในประเทศไทยนั้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 และได้เผยโฉมให้ประชาชนได้มาสัมผัสคันจริงในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา

โดยจุดเด่นของตัวรถ Riddara RD6 คือการออกแบบมาให้มีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานตามยุคสมัยยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ ด้วยสเปกที่ครอบคลุมการขับขี่ ทั้งยังโดดเด่นด้วยไฟโลโก้ RIDDARA ด้านหน้าขนาดใหญ่ ชนิดที่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าเป็นรถกระบะ Riddara RD6 Thailand นอกจากนี้ ตัวด้านหน้ารถรุ่นท็อป 86 kWh ก็ยังมีช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า ที่มีความจุถึง 70 ลิตรมาให้อีกด้วย

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

สำหรับตัวรถออกแบบให้เป็นรถกระบะ 4 ประตูทุกรุ่น และรุ่นย่อยแต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกันที่ระบบขับเคลื่อน และขนาดแบตเตอรี่เท่านั้น ส่วนเรื่องการออกแบบตัวรถกระบะ RD6 นั้น มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม M.A.P (Multiplex Attached Platform) โดย Riddara RD6 ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 815 มม. และขับเคลื่อนขึ้นทางลาดชันได้สูงสุด 95% (รุ่น Horizon 4WD) เรียกว่า เป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์สาย Off-Road แบบเต็มสตรีมเลยก็ว่าได้

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

มิติตัวรถ Geely Riddara RD6

  • มิติตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง) 5,260 x 1,900 x 1,880 มม.
  • มิติกระบะ (ยาว x กว้าง x สูง) 1,525 x 1,450 x 540 มม.
  • ระยะฐานล้อ 3,120 มม.
  • ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

แบตเตอรี่ Riddara RD6 และระยะทางวิ่งสูงสุด

  • Riddara RD6 2WD แบตเตอรี่ 63 kWh วิ่งได้ระยะทาง 373 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 2WD แบตเตอรี่ 73 kWh วิ่งได้ระยะทาง 461 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 4WD แบตเตอรี่ 73 kWh วิ่งได้ระยะทาง 424 กม./ชาร์จ (NEDC)
  • Riddara RD6 4WD แบตเตอรี่ 86 kWh วิ่งได้ระยะทาง 455 กม./ชาร์จ (NEDC)
รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%)

สีตัวถังและสีภายในห้องโดยสาร

สีตัวถังหรือสีภายนอก

  • สีเขียว หลังคาดำ Nordic Green / Black Top
  • สีขาว หลังคาดำ White Cloud / Black Top
  • สีดำ Black Night
  • สีเงิน Moonlit Silver
  • สีน้ำเงิน Serene Blue

สีภายในห้องโดยสาร

  • สีทูโทน น้ำตาล สลับดำ
  • สีทูโทน เขียวเข้ม สลับดำ
สเปกรถกระบะไฟฟ้า Riddara RD6 และการลุยน้ำ

ความสามารถของ Riddara RD6 ด้านการบรรทุก และลุยน้ำ

รุ่นมอเตอร์ 1 ตัว

  • รองรับการบรรทุกสูงสุด 1,030 กิโลกรัม
  • รองรับน้ำหนักการลากจูงสูงสุด 2,500 กิโลกรัม
  • ความสามารถในการลุยน้ำลึก 500 มิลลิเมตร

รุ่นมอเตอร์ 2 ตัว

  • รองรับการบรรทุกสูงสุด 1,030 กิโลกรัม
  • รองรับน้ำหนักการลากจูงสูงสุด 3,000 กิโลกรัม
  • ความสามารถในการลุยน้ำลึก 815 มิลลิเมตร
รีวิวภายใน Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100%

ระบบ Entertainment และความบันเทิง

โดยตัวระบบ Entertainment ภายในรถ Riddara RD6 นั้น ถือว่ามีให้มาแบบไม่มีกั๊ก แต่ในรุ่นย่อยจะมีความแตกต่างกันพอสมควร เช่น หน้าจอกลางในรุ่น 63 kWh จะมีขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนในรุ่น 73 kWh มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็น 14.6 นิ้ว เช่นเดียวกับตัวลำโพงที่ในรุ่นย่อยก็จะให้จำนวนมาไม่เท่ากัน โดยรุ่นท็อปมีถึง 8 ตำแหน่ง แต่ที่น่าสนใจคือ มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย 50 W มาให้ (ตั้งแต่รุ่น 73 kWh ขึ้นไป) พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รองรับการเชื่อมต่อหลายแบบ ทั้ง Wi-Fi, Apple CarPlay และ Carbit Link เรียกว่า มีให้ครบและจบภายในคันเดียว ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นท็อปสุดกันเลยก็ว่าได้

รีวิว Riddara RD6 รถกระบะไฟฟ้า

ฟังก์ชันและระบบความปลอดภัย Riddara RD6

อุปกรณ์พื้นฐาน และฟังก์ชันการใช้งาน

  • ระบบ V2L สูงสุด 6 kW (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบระบายอากาศอัตโนมัติ Dual-Zone
  • แท่นชาร์จมือถือไร้สาย (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay
  • ระบบ Carbit link
  • กุญแจแบบสมาร์ทคีย์
  • ระบบ Keyless Entry (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone
  • ระบบปรับอากาศสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบกรองอากาศ PM2.5 และ CN95 (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • เบาะปรับเอนแบบ One-touch
  • การควบคุมระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน
รีวิวระบบความปลอดภัย รถกระบะ Riddara RD6

ระบบความปลอดภัย

  • กล้องมองหลังขณะถอยจอด (เฉพาะรุ่น 63 kWh)
  • กล้องมองภาพรอบคัน 540° พร้อมภาพใต้ท้องรถ (ยกเว้นรุ่น 63 kWh)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB
  • ระบบ Auto Hold
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)
  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
  • ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS)
  • รุ่น 63 kWh มีถุงลมนิรภัย 4 จุด นอกนั้น 6 จุด
  • ระบบติดตั้งคาร์ซีทแบบ ISOFIX มาตรฐานสากล

ระบบช่วยเหลือการขับขี่

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA)
  • ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
  • ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
  • ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (FDA)
รีวิวสเปก Riddara RD6 และราคาจำหน่ายในไทย

ราคาจำหน่าย Riddara RD6 2025

  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 63 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 899,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 73 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 999,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 73 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,149,000 บาท
  • RIDDARA RD6 รุ่นแบตเตอรี่ 86 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,299,000 บาท

สรุป

สำหรับรถกระบะไฟฟ้า Riddara RD6 คันนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีความอรรถประโยชน์มากขึ้น ใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ ลุยน้ำได้จริง โดยไม่ต้องกังวลเวลาขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ สำคัญคือ รองรับการขับขี่แบบ Off-Road นอกจากนี้ ยังมีระยะทางขับขี่ที่ไกล ด้วยระบบการขับเคลื่อนทั้งแบบ 2WD และ 4WD เรียกได้ว่า Geely Riddara RD6 Thailand เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจับตามองมาก ๆ ในปี 2025 นี้ ชนิดที่ว่าอาจแบ่งยอดขายจากรถกระบะที่ใช้เชื้อเพลิงมาได้พอสมควร

รีวิว BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ราคา 1,149,000 บาท

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่ฮอตฮิตมาก ๆ ในตอนนี้ สำหรับ BYD Sealion 7 ที่นอกจากจะเปิดตัวพร้อมเฉยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมาแล้ว ยังสามารถทุบสถิติยอดจอง BYD Sealion ได้สูงสุดของค่ายอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand ก็ไม่พลาด ที่จะมาเจาะลึกทุกข้อมูลเด็ด ด้วยการ รีวิว BYD Sealion 7 2025 ให้กับชาว EV Lovers กัน ว่ามีสเปกที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน อัตราสิ้นเปลืองเป็นอย่างไร สามารถขับขี่ได้ไกลแค่ไหนต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และที่สำคัญคือ มีราคาจำหน่ายเท่าไหร่ แล้วรุ่นย่อยมีรุ่นไหนบ้าง สรุปให้ครบทุกข้อมูลแน่นอน!

รีวิว BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า EV 100%

จุดเด่นของ BYD Sealion 7 รถยนต์ EV 100%

สำหรับจุดเด่นของเจ้า BYD Sealion 7 รถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นใหม่จากค่าย BYD นั้น ก็คือการเป็นรถ C-SUV ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ใช้รูปทรงแบบ Fastback เน้นฐานล้อต่ำ เพื่อให้ความโฉบเฉี่ยว พร้อมระบบส่งกำลังอัจฉริยะแบบ 8 in 1 ที่เมื่อบวกกับเทคโนโลยีการประกอบแบตเตอรี่ Cell-to-Body และระบบห้องโดยสารอัจฉริยะด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รีวิวสเปก และจุดเด่นของ BYD Sealion 7

โดยการออกแบบของ Sealion 7 ได้แรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำ และมวลอากาศ โดยด้านหน้าออกแบบด้วยดีไซน์ “Ocean X” กับรูปทรงตัว X ที่ให้ความทันสมัยและทรงพลัง ส่วนไฟหน้าดีไซน์แบบ “Double U” ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ นอกจากนี้ BYD Sealion 7 สามารถวิ่งได้ไกลถึง 567 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง เรียกว่า เป็นอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ดีมาก ๆ ในรถกลุ่มรถยนต์ EV 100% ประเภท C-SUV ที่จำหน่ายในไทยตอนนี้

รีวิวภายนอก BYD Sealion 7

รุ่นย่อยของ BYD Sealion 7 และราคาจำหน่าย

  • รุ่น Premium ราคา 1,149,900 บาท
  • รุ่น AWD Performance ราคา 1,249,900 บาท

สีตัวถัง

  • Quantum Black
  • Horizon White
  • Space Grey
  • Shark Grey (เฉพาะรุ่น AWD Performance)
รีวิวภายนอก และมิติตัวถัง BYD Sealion 7

สเปกและอุปกรณ์ของตัวรถ

มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4,830 x 1,925 x 1,620
  • ระยะฐานล้อ 2,930 มม.
  • ความพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 500 ลิตร
  • ระยะจากพื้นถึงตัวรถ รุ่น Premium 157 มม. รุ่น AWD Performance 163 มม.
  • น้ำหนักตัวรถ รุ่น Premium 2,225 กก. รุ่น AWD Performance 2,340 กก.
รีวิวภายนอก และมิติตัวถัง BYD Sealion 7

รูปแบบการชาร์จไฟ

  • รองรับ Home Charger ประเภท AC Type 2 (กำลังสูงสุด 11 kW) หรือ DC CCS 2 (กำลังสูงสุด 150 kW)

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกรถ

  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ฟังชันหน่วงเวลาการปิดไฟหน้า Follow – Me – Home
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟตัดหมอกด้านหลัง
  • ระบบไฟเลี้ยวหน้า – หลัง แบบ Sequential
  • ประตูท้ายระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี
  • กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ พร้อมระบบไล่ฝ้า
  • ระบบบันทึกตำแหน่งกระจกมองข้าง
  • กระจกด้านหน้าเก็บเสียงแบบสองชั้น
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ
  • กระจกด้านหลังพร้อมระบบทำร้อนร้อนไล่ฝ้า
รีวิว BYD Sealion 7

อุปกรณ์และฟังก์ชันภายในตัวรถ

  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ที่พักขาปรับได้ 2 ทิศทาง
  • เบาะนั่งพร้อมกับ Welcome Seat
  • เบาะนั่งโดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • มีระบบกรองอากาศ PM2.5 ระดับ CN95 พร้อม IONIZER
  • หน้าจอเรือนไมล์แบบ LCD 3 มิติ ขนาด 10.25 นิ้ว
  • หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว พร้อมระบบแสดงผลบนกระจกหน้า
  • ใช้ระบบเครื่องเสียง CYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง
  • หลังคา Panoramic Glass Roof ลดความร้อนพร้อมกรองแสง UV
  • ไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสาร 128 เฉดสี
  • ใช้เบาะหุ้มหนังแท้ Nappa
  • กระจกกันเสียง Acoustic พร้อมฟิล์ม PVB Resin ในกระจกบังลมหน้า
  • ใช้วัสดุฉนวนกันเสียงรอบคัน รวมถึงฉวนกันเสียงรอบมอเตอร์
รีวิวภายใน BYD Sealion 7

ขุมพลัง BYD Sealion 7 และระยะทางการขับขี่สูงสุด

สำหรับ BYD Sealion 7 นอกจากจะมีขุมพลังที่สูงและให้พละกำลังที่ดีแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้คือ การใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone และด้านหลังแบบ Multi – link ที่ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือน พร้อมปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD (Frequency Selective Damping) ที่ช่วยปรับระดับความหนืดของโช้คอัดตามสภาพถนน ทำให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง ส่วนสเปกของขุมพลังนั้น ในรุ่น Premium และ AWD Performance จะมีความแตกต่างกัน ดังนี้

BYD Sealion 7 รุ่น Premium

สำหรับรุ่นย่อย Premium เป็นรุ่นเริ่มต้นของ BYD Sealion 7 ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ (323 PS) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน – เมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 6.7 วินาที ใช้แบตเตอรี่ Blade Battery ความจุ 82.5 kWh ที่สามารถทำระยะทางขับขี่สูงสุดได้ถึง 567 กม. (มาตรฐาน NEDC)

BYD Sealion 7 รุ่น AWD Performance

โดยรุ่นย่อย AWD Performance ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ (530 PS) ให้แรงบิดสูงสุด 690 นิวตัน – เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที ส่วนแบตเตอรี่ Blade Battery มีความจุ 82.5 kWh ขับขี่ได้สูงสุดที่ 542 กม. (มาตรฐาน NEDC)

รีวิวภายใน BYD Sealion 7

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Sealion 7 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ EV ที่มาแรงมาก ๆ ในปลายปี 2024 นี้ และคาดว่าจะเป็นรถรุ่นหลักที่สร้างยอดขายได้ดีของค่าย BYD ทั้งสเปกที่ครอบคลุมการใช้งาน มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้งยังมีราคาที่ไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งมากนัก หากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าในไซซ์เดียวกันกลุ่ม C-SUV อาทิ Leapmotor C10 ที่เปิดตัวพร้อม ๆ กันในงาน Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,098,000 บาท

นอกจากนี้ หากคุณมีรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ไว้ใช้งานที่บ้านอยู่แล้ว ต้องการติดตั้ง Home Charger ที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ เพียงเลือกติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านกับ PlugHaus Thailand วันนี้ รับสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งบริการหลังการขาย พร้อมประกันวินาศภัยในราคาที่จับต้องได้!