มาแน่! รถยนต์ไฟฟ้า EV ในงาน Motor Expo 2025 ลุ้นเปิดตัวปีนี้!

หนึ่งในไฮไลต์ที่สำคัญและคนรักรถต่างก็รอคอย ก็คือการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ใหม่ในงาน Motor Expo 2025 จากแบรนด์ชั้นนำมากมาย ซึ่งล่าสุดทางผู้จัดงานก็ได้อัปเดตมาให้แล้วเช่นกัน ว่าในปีนี้มีรถยนต์ EV รุ่นไหนบ้าง ที่น่าจับตามอง และน่าจะมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Expo 2025 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ที่กำลังจะถึงนี้

รถยนต์ไฟฟ้า Volvo ES90 ในงาน Motor Expo 2025

1. Volvo ES90

สำหรับ Volvo ES90 เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลต์ภายในงาน Motor Expo 2025 นี้เช่นกัน โดยในรุ่นปัจจุบันนี้เป็นรุ่นที่นำเข้า CBU จากจีน กับการใช้แบตเตอรี่ 800V Technology เป็นรุ่นแรก ความจุแบตเตอรี่ 92 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 755 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC)

โดยมีขุมพลังคือ มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลัง 338 แรงม้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ BMW i5 และ Mercedes – Benz EQE Sedan และที่น่าสนใจกว่าคือ รองรับการชาร์จ DC Ultra – Fast Charging ภายใน 10 นาที ส่วนระบบความบันเทิงภายในก็ครบครัน อาทิ หน้าจอกลางระบบสัมผัส 14.5 นิ้ว และรองรับระบบ Google Buit – in และที่ขาดไม่ได้คือ มีระบบเสียงรอบทิศทา

ราคาจำหน่าย

  • ES90 Ultra – Single Motor Extended Ranger RWD 2,990,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR 009 ในงาน Motor Expo 2025

2. ZEEKR 009

ถึงแม้ว่า ZEEKR 009 Standard จะเปิดตัวไปแล้วในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่น่าติดตามในงาน Motor Expo 2025 เช่นกัน โดยรถตู้ไฟฟ้า ZEEKR 009 เป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด ที่สามารถให้ระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 712 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) และระยะทาง 604 กม. (มาตรฐาน WLTP) ใช้มอเตอร์เดี่ยว ด้วยขุมพลัง 340 แรงม้า แบตเตอรี่ Cell – To – Pack CTP 2.0 CATL 400V ขนาด 116 kWh

โดยไฮไลต์ของ ZEEKR 009 ก็คือการให้ระบบความปลอดภัยและการใช้งานที่ครบครันมากขึ้น โดยเฉพาะเรดาร์ Ultra – long 250M Wave Radar ทั้งยังมีชิปประมวลผล Qualcomm 8295 รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง AI – Mate EVA Voice Assistant และยังมีระบบ Entertainment ที่ครบครัน อาทิ หน้าจอเพดาน OLED ขนาด 17 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร และระบบเสียงรอบทิศทาง Yamaha Surround Sound ที่มาพร้อมลำโพงอีก 30 ตำแหน่ง

ราคาจำหน่าย

  • Standard 7-Seaters 2WD ราคา 2,399,000 บาท (NEW)
  • Premium 7-Seaters Dual Motors AWD ราคา 3,099,000 บาท
  • Flagship 6-Seaters Dual Motors AWD ราคา 3,159,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า MG IM5 ในงาน Motor Expo 2025

3. MG IM5

MG IM5 ก็เป็นหนึ่งในรถยนต์ซีดานไฟฟ้าขนาดกลาง ที่น่าจะมาเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 นี้เช่นกัน ที่มาพร้อมกับความสปอร์ตพรีเมียม แต่ก็ยังคงความมินิมอลเล็ก ๆ เอาไว้ตามสไตล์ยานยนต์ยุคใหม่ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงฟีเจอร์ไฮเทคมากมาย โดยเฉพาะระบบช่วยขับขี่ที่ให้มาแบบไม่มีกั๊กในราคาที่เอื้อมถึง

แน่นอนว่า หาก MG IM5 รุ่นที่เปิดตัวในไทย ใช้สเปกเดียวกันกับที่เปิดตัวและจำหน่ายในออสเตรเลีย ก็ถือว่ามีเทคโนโลยีที่น่าสนใจหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบรก Intelligent Comfort Stop ที่ช่วยปรับการเบรกได้ทุก ๆ สถานการณ์, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ ที่เพิ่มความคล่องตัวเข้ามา,​ ระบบ Advanced Skid Prevention ระบบลดอาการเหินน้ำ และที่ขาดไม่ได้คือ Rainy Night Mode ที่ช่วยแสดงภาพการจราจรและถนนได้อย่างชัดเจน   ส่วนสเปกก็มีหลายเกรดเช่นกัน ดังนี้

  • รุ่น Premium ใช้แพลตฟอร์มแบตเตอรี่ 400V ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 550 กม.
  • รุ่น Platinum ใช้แพลตฟอร์มแบตเตอรี่ 800V ระยะทางวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 625 กม.
  • รุ่นท็อป Performance ใช้แพลตฟอร์มแบตเตอรี่ 800V ระยะทางวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 755 กม. 

ราคาจำหน่าย

  • คาดว่าจะมีราคาต่ำกว่า MG IM6 ที่จำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,399,900 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin ในงาน Motor Expo 2025

4. BYD Dolphin

รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin รุ่นปรับปรุงใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า ที่คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งในจีนเรียกรุ่นนี้ว่า God’s Eye C MY2025 ที่ใช้เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye C – DiPilot 100 โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ที่มี 2 ขุมพลังให้เลือก คือ รุ่นแบตเตอรี่ LFP 44.92 kWh และรุ่นแบตเตอรี่ 60.48 kWh

โดยจุดเด่นของ BYD Dolphin รุ่นปรับปรุงใหม่ จะมาพร้อมกับระบบพลังงานใหม่อย่าง New Configuration ด้วยโครงสร้างอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะของแบตเตอรี่ มีระบบจ่ายไฟนอกและระบบการตั้งเวลาในการใช้งานรถล่วงหน้า ส่วนฟังก์ชันอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ก็ยังครบครันเช่นเดิม อาทิ โหมดเฝ้าระวังอัจฉริยะ, กล้องมองภาพรอบคัน, และระบบมองภาพจากระยะไกล

ราคาจำหน่าย

  • ในจีนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 99,800 – 125,800 หยวน
  • ในไทยคาดว่าจะอยู่ที่ราว ๆ 451,000 – 568,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า MG Maxus eTerron 9 ในงาน Motor Expo 2025

5. MG Maxus eTerron 9

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่น่าจับตาก็คือ MG Maxus eTerron 9 ที่เตรียมเปิดตัวในไทยอย่างมเป็นทางการในงาน Motor Expo 2025 หรือภายในวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่กำลังจะถึงนี้ โดยความน่าสนใจคือ นอกจากจะเป็นรถกระบะไฟฟ้า 100% ที่เตรียมบุกตลาดรถกระบะแล้ว ยังเป็นรุ่นที่ใช้แพลตฟอร์ม GST ที่ได้รับการเปิดเผยในงาน Hannover Auto Show ในประเทศเยอรมนีมาก่อนแล้ว

โดย MG Maxus eTerron 9 มาพร้อมกับมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวรสองตัว ใช้แบตเตอรี่ LFP 102 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 430 กม.​ (มาตรฐาน WLTP) มาพร้อมกับคุณสมบัติ Vehicle – To – Load หรือ V2L ที่ทำให้ผู้ใช้รถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์และเครื่องมืออื่น ๆ ภายนอกได้ ทั้งยังมีระบบ All – Terrain System (ATS) ที่ประกอบไปด้วยโหมดการขับขี่ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้ 6 โหมด พร้อมตั้งค่าการขับขี่ได้กว่า 400 แบบ

รถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวใหม่ในงาน Motor Expo 2025

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ที่เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็นับว่ามีหลายรุ่นที่น่าสนใจ และคาดว่าน่าจะมีรุ่นอื่น ๆ ให้ติดตามกัน อาทิ Leap Motor Rafa5, Xpeng G6 MC, GEELY EX2, Omoda C3 ส่วนรถยนต์สันดาปและรถยนต์พลังงานทางเลือก จากค่ายรถยนต์ชั้นนำ ก็น่าจะมีการเปิดตัวเช่นกัน อาทิ Nissan X – Trail E – Power และ Deepal S07 Minorchange

ทั้งนี้ คนรักรถสามารถเข้าไปร่วมชมรถยนต์เปิดตัวใหม่ หรือไฮไลต์เด็ด ๆ ของงาน Motor Expo 2025 ในปลายปีนี้ได้เช่นกัน โดยงานจะจัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็คเมืองทองธานี หรือติดตามข่าวสารได้จากทาง Plughaus Thailand ที่พร้อมเสิร์ฟข่าวรถยนต์ไฟฟ้าให้คนรักรถ EV ได้ติดตามกันแบบครบ จบ ทุกประเด็นแน่นอน

หั่นแรง BYD Dolphin 2025 ลดราคาทั้งแผงกว่า 140,000 บาท

งานนี้ถูกใจสาวกค่าย BYD แน่นอน เพราะล่าสุดได้มีการประกาศ ลดราคา BYD Dolphin 2025 ใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นประกอบในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยรอบนี้ปรับลดราคาล่าสุดลงมามากถึง 140,000 บาท ทำให้รุ่นเริ่มต้นมีราคาไม่ถึงครึ่งล้าน โดยเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดมาตรการ EV3.0 พร้อมเคลมข้อเสนอที่ดีที่สุด หากมีใครที่ให้ราคาดีกว่านี้ ทาง BYD พร้อมชดเชย!

BYD Dolphin ลดราคา 2025 ส่งท้ายมาตรการ EV3.0

BYD Dolphin 2025 ลดราคาส่งท้ายมาตรการ EV3.0

สำหรับโปรโมชันลดราคา BYD Dolphin รุ่นประกอบในไทยลงกว่า 140,000 บาท เป็นการส่งท้ายมาตรการ EV3.0 ซึ่งเป็นมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของทางรัฐบาล ที่จะสิ้นสุดในปลายปีนี้ ทาง BYD Dolphin จึงประกาศลดราคาลดลงมา ในรุ่งดังต่อไปนี้

  • BYD Dolphin Standard Range 50.25 kWh เหลือ 449,000 บาท (จาก 569,000 บาท)
  • BYD Dolphin Extended Range 60.48 kWh เหลือ 569,000 บาท (จาก 709,000 บาท)

สำหรับโปรโมชัน BYD Dolphin ลดราคาล่าสุดนี้ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 หรือสิ้นปีนี้ พร้อมกับการลด แลก แจก แถม ทั้งฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อมกับ พ.ร.บ. 1 ปี นอกจากนี้ ยังแถมฟิล์มเซรามิก พร้อมบริการติดตั้งอีกด้วย

BYD Dolphin 2025 ลดราคาลง 140,000 ทุกรุ่น

การรับประกันและของแถม สำหรับโปรลดราคา BYD Dolphin

  • รับประกันคุณภาพตัวรถ นาน 8 ปี หรือ 160,000 km.
  • รับประกันแบตเตอรี่ นาน 8 ปี หรือ 160,000 km.
  • รับประกันระบบขับเคลื่อน นาน 8 ปี หรือ 150,000 km.
  • ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี
  • ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี พร้อม พรบ.
  • ฟรี ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เซรามิก XUV Max III
  • ฟรี สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า VTOL
  • ฟรี สายชาร์จ AC Portable Charger สำหรับรถ
  • ฟรี พรมเข้ารูป กรอบป้าย ฟิล์มหน้าจอ
  • ฟรี ค่าจดทะเบียน

สเปกพื้นฐาน BYD Dolphin 2025

มิติตัวถัง

  • 4,290 x 1,770 x 1,570 มม. (ยาว x กว้าง x สูง)
  • ระยะฐานล้อ 2,700 มม.
  • ระยะต่ำสุดถึงพื้น 130 มม.
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรถสูงสุด 1,310 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง
รีวิวรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin 2025 ลดราคาใหม่

ขุมพลังและแบตเตอรี่รถ

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) มี 2 ขนาด คือรุ่น Standard Range ขนาด 50.25 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า Front – Wheel Drive วิ่งทางไกลได้สูงสุด 435 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนในรุ่น Extended Range ที่ใช้แบตเตอรี่ความจุ 60.48 kWh สามารถให้ระยะทางที่วิ่งไกลได้สูงสุด 490 กม. ตามมาตรฐาน NEDC เช่นกัน

จุดเด่นของการตกแต่งภายนอก   

การออกแบบรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin เป็นรุ่นที่ใช้คอนเซ็ปต์จากศิลปะแห่งท้องทะเล ที่สะท้อนวิถีแห่งโลมา ที่ให้ได้ทั้งความสนุกสนาน ความปราดเปรียว และความคล่องตัวอย่างอิสระ โดยตัวรถมีจุดเด่นจากเส้นสายการออกแบบหลายอย่าง อาทิ   

  • ไฟท้าย Geometric Polyline LED Tail Light ทรงเลขาคณิตที่เป็นเอกลักษณ์ โฉบเฉี่ยวสะดุดตา
  • เพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วย NFC / Keyless Card หรือคีย์การ์ดแบบพกพา
  • ใช้ล้ออัลลอย 17 นิ้ว Sport Alloy Wheel แบบทูโทน ดูแตกต่าง แต่ลงตัวอย่างมีสไตล์
  • โดดเด่นด้วยประโยคสุดคลาสสิก พร้อมตัวอักษร Build Your Dreams ด้านท้ายรถ
โดดเด่นด้วยประโยคสุดคลาสสิก พร้อมตัวอักษร Build Your Dreams ด้านท้ายรถ

จุดเด่นของการตกแต่งภายใน

แน่นอนว่า การตกแต่งภายในเอง BYD Dolphin ก็ถือว่าออกแบบมาได้อย่างลงตัว มีฟังก์​ชันการใช้งานที่ครบครัน คุ้มค่าทั้งรุ่นเริ่มต้นและรุ่นท็อป อาทิ 

  • พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้าน แบบไฟฟ้า EPS
  • หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 5 นิ้ว
  • ระบบกรองฝุ่ง PM2.
  • มือจับประตูออกแบบให้ล้ำสมัยตามสไตล์ Dolphin Design เหมือนได้ดำดิ่งไปกับโลมาในท้องทะเล
  • Innovation Drive Mode หรือสวิตช์ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์​แบบอิเล็กทรอนิกส์ Finger – Touch Electronic Shift
  • ช่องเชื่อมต่อ USB – C และ USB – C อย่างละ 1 ตำแหน่ง ทั้งผู้โดยสารด้านหน้าและด้านหลัง
  • มาพร้อมกล้องมองภาพแบบ 360 องศา เห็นภาพได้รอบคันด้วย Surround Vision View Camera

นอกจากนี้ การตกแต่งภายในของรุ่น Extended Range จะถูกเพิ่มที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย หรือ Wireless Phone Charger และหลังคากระจก Electric Panoramic Glass Roof ในรุ่น Extended Range ที่คลอบคลุมทั้งห้องโดยสาร

BYD Dolphin ราคาใหม่ในไทย ปี 2025

ระบบความปลอดภัย และฟังก์​ชันที่น่าสนใจ

โดยระบบความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin ก็นับว่ามีความครบครันเช่นกัน อาทิ ทั้งถุงลมนิรภัยภายในตัวรถ, เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ (รุ่น Extended เป็นแบบผ่อนแรง), ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง, ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถแบบอัตโนมัติ, ระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่, ระบบควบคุมความเร็ว, ระบบช่วยจอด และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin 2025 ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของรถยนต์ EV ที่น่าสนใจในปีนี้ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งาน ในราคาที่คุ้มค่า เพราะนอกจากจะมีส่วนลดส่งท้ายมาตรการ EV3.0 มูลค่าถึง 140,000 บาทแล้ว ยังมีสิทธิพิเศษให้อีกมากมาย โดยเฉพาะของแถมสำหรับลูกค้า BYD โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าเทียบกับสมรรถนะ ระบบความปลอดภัย และฟังก์ชันในการใช้งาน ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้อีกหนึ่งรุ่นก็ว่าได้

เตรียมแจ้งเกิด “แบรนด์ EV แห่งชาติ” พร้อมเปิดตัวรถใหม่ 3 ตัวถัง

ปลายปีนี้รอเลย! สำหรับการเตรียมแจ้งเกิดรถไฟฟ้าแบรนด์ไทย หรือ “แบรนด์ EV แห่งชาติ” ที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงได้ เพราะนับตั้งแต่ที่ตลาดรถ EV ในไทยเติบโต และมีค่ายรถมาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงทำให้รัฐบาลมองเห็นโอกาสที่จะยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ ฮับ EV ในภูมิภาค

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์ EV แห่งชาติ นับว่าเป็นก้าวสำคัญ ของการผลิตรถไฟฟ้าแบรนด์ไทยอย่างเป็นทางการ ที่ก่อนหน้าก็มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันบ้างแล้ว ว่าจะเป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์, ค่ายรถยนต์ CHERY, KING GEN และ สวทช. เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ในภูมิภาคอาเซียน หรือเป็น H​UB ใหญ่ในภูมิภาค

โดยการจับมือร่วมกันระหว่างภาครัฐกับค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน ถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี EV รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนรถในประเทศไทย ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้า EV ในราคาที่เป็นมิตรและง่ายมากขึ้น การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย เพราะมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์และมาตรฐานของรถที่ผลิตในประเทศ

สำหรับการสร้างแบรนด์รถ EV ของไทย ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในแง่ของภาษี เพราะเมื่อเป็นรถยนต์สัญชาติไทย ก็สามารถกำหนดเพดานราคาที่เหมาะสมสำหรับการจำหน่ายยานยนต์ได้ รวมถึงการกระตุ้นห่วงโซ่การผลิตในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพราะไม่ได้มีข้อดีแค่การผลิตรถในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจ้างงานและการพัฒนาเครือข่ายและการบริการที่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่า ในเบื้องต้นช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ในปี 2568 นี้ จะเป็นช่วงที่มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ครบถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งบริษัท กิจการร่วมค้าหรือบริษัทร่วมทุน และพันธมิตรทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของทาง Chery Automobile และ KGEN ก็ได้มีการเจรจาร่วมกันแล้ว ส่วนทางรัฐบาลไทยเรายังคงต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะมาตรการต่าง ๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ

เตรียมแจ้งเกิด แบรนด์รถ EV ของไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

พร้อมเปิดตัวรถ EV แบรนด์ไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

สำหรับรถยนต์ EV แบรนด์ไทย ตามการวางแผนด้านการลงทุนนั้น จะเริ่มเดินสายการผลิตด้วยการเปิดตัวรถยนต์ 3 Segments  หรือ 3 ตัวถัง ได้แก่ รถตู้อเนกประสงค์ (MPV), รถกระบะ (Pickup) และรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) โดยรถทุกรุ่นจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศกว่า 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ทำให้ราคารถยนต์ EV แบรนด์ไทย มีราคาที่ถูกลงกว่ารถที่นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาประกอบในไทย

โดยตัวถังของรถยนต์ EV แบรนด์ไทย นับว่าเป็นตัวถังที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดรถยนต์บ้านเราพอสมควร โดยเฉพาะการเลือกใช้รถยนต์อเนกประสงค์ ที่มีพื้นที่สัมภาระที่กว้างขวาง เหมาะทั้งการใช้งานทั่วไปและการสัมภาระของ และที่ขาดไม่ได้คือ การผลิตตัวถังที่เป็น รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ก็เป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นรถยนต์ที่หลาย ๆ คนนำมาใช้ในการประกอบอาชีพและการพาณิชย์  

ภาพรวมตลาดรถ EV ในไทย และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าในไทย

จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน ที่พร้อมจะผลิตรถยนต์ EV สัญชาติไทย ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถ EV ในไทยพอสมควร เพราะตลาดรถในไทยยังถือว่ายังเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะจากการลงทุนสร้างโรงงานและการทุ่มทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ที่ทาง CHERY และ OMODA & JAECOO ได้วางแผลการลงทุนพร้อมสร้างโรงงานที่ จ.ระยอง บนเนื้อที่ 104 ไร่ ก็น่าจะทำให้เห็นภาพรวมของตลาดรถ EV ในไทยได้เป็นอย่างดี

และสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะยังเติบโต ก็คือการดูจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 (มกราคม – มิถุนายน) โดยมียอดจดทะเบียนทั้งหมด 58,590 คัน นำโดยค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD ซึ่งยอดจดทะเบียนแยกตามแบรนด์ทั้งหมด 10 อันดับแรกของปีนี้ ได้แก่

  • BYD รวม 19,677 คัน
  • MG รวม 6,437 คัน
  • GAC AION รวม 6,345 คัน
  • GWM ORA รวม 3,471 คัน
  • DEEPAL รวม 3,226 คัน
  • TESLA รวม 2,637 คัน
  • DENZA รวม 2,377 คัน
  • NETA รวม 2,191 คัน
  • CHANGAN รวม 1,515 คัน
  • GAC HYPTEC รวม 1,385 คัน

และในช่วง 7 เดือนของปีนี้ มียอดจดทะเบียนรถไฟฟ้า BEV สะสมรวมทั้งหมด 81,179 คัน เพิ่มขึ้น 35.08% (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ) ซึ่งก็น่าจะเป็นทิศทางที่สำคัญ ที่ทำให้เห็นว่ารถยนต์ EV ในไทย ยังคงเติบโตและยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันในบางกลุ่ม ที่มีการลดจำนวนการผลิตลง อาทิ รถกระบะ ที่ยอดผลิตเพื่อขายในไทยลดลง 6.54% และส่งออกลดลง 8.61% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบและความเข้มงวดของการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะ อันเป็นผลมาจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวต่ำ

นอกจากนี้ ในมุมมองของการวิจัยเอง ยังมองว่าในช่วงปี 2567 – 2569 รถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่เป็นไฟฟ้า 100% หรือกลุ่มรถ EV Fleet จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งไฟฟ้า ที่จากการคาดการณ์มองว่ามียอดจดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 96,000 คัน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่จำนวน 190,000 คัน/ปี (ที่มา : บทความวิจัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี)

ส่วนรถโดยสารไฟฟ้าและรถฟลีท ก็อาจมียอดจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,200 และ 1,200 คัน ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการลดภาระและค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง ที่ในปัจจุบันก็มีหลาย ๆ ธุรกิจที่หันมาใช้โมเดล EV Fleet Solutions แล้วเช่นกัน และในบางธุรกิจก็หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแล้วในปัจจุบันนี้

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าของไทย

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า จากการเตรียมผลิตแบรนด์รถ EV สัญชาติไทย หรือ แบรนด์ EV แห่งชาติ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าเข้าสู่ Net Zero ได้ไวมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อยานยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน ด้วยราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกลง ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค และที่ขาดไม่ได้คือ การให้บริการ EV Charger ในพื้นที่ต่าง ๆ เรียกว่า เป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยมีรากฐานการผลิตของรถอีวีที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเลยก็ว่าได้

มัดรวมไฮไลต์เด็ด Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

ในช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้ งานใหญ่สำหรับคนรักรถอย่าง Motor Expo 2025 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็เตรียมส่งไฮไลต์เด็ด ๆ พร้อมกับโปรสุดคุ้มค่าส่งท้ายปี! บอกเลยว่าปีนี้งานมหกรรมยานยนต์มาในธีม “อลังการงานแสดง” ที่มีทั้งการขนทัพรถยนต์มาใหม่ โปรออกรถ และสิทธิพิเศษมากมาย โดยงานนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ที่กำลังจะถึงนี้

ไฮไลต์ Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

Motor Expo 2025 กับธีมงาน “อลังการงานแสดง”

สำหรับงาน Thailand International Motor Expo 2025 หรืองาน มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ มาในธีมงานที่น่าสนใจอย่าง “อลังการงานแสดง The Magnificent Motor Expo” ที่จะนำแสง สี เสียง และนวัตกรรมมาไว้ในงานเดียว เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่ที่งาน Motor Expo ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องถึง 4 ทศวรรษ

และในคำว่า “อลังการงานแสดง” ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวงานเท่านั้นที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังหมายรวมไปถึง การใช้พื้นที่อลังการ, มีบริษัทที่เข้าร่วมอลังการ และคนที่ซื้อของในงานก็อลังการไม่แพ้กัน เพราะในปีนี้นอกจากจะมีบริษัทเข้าร่วมมากกว่างาน Motor Expo 2024 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังการันตีได้ว่า โปรโมชันก็อลังการและจัดเต็มยิ่งกว่าปีที่แล้วทั้งหมดตามธีมงานในปีนี้  (ที่มา FB : Thailand International Motor Expo)

ไฮไลต์งาน Motor Expo อลังการงานแสดง

มัดรวมไฮไลต์ในงาน Motor Expo 2025 ปลายปีนี้

ไฮไลต์หลัก ๆ ของงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 หรือ Motor Expo 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นในปลายปีนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นโปรโมชันและกิจกรรมพิเศษ ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกกัน ทั้งการแจกรถภายในงาน ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถ และอื่น ๆ อีกมากมาย

Motor Expo 2025 แจกรถยนต์และบิ๊กไบค์

1. Motor Expo 2025 แจกใหญ่รถยนต์ 3 คัน!

ในปีนี้ทาง IMC สื่อสากล ที่เป็นผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็ได้เปิดรายละเอียดมาแล้วว่า งาน Motor Expo 2025 ปีนี้ จะมีการแจกรถยนต์ทั้งหมด 3 คัน โดยเป็นการมอบโชคคืนกำไรให้กับผู้ชมงาน ดังนี้

  • ผู้ชมหรือผู้ที่เข้าร่วมงาน ที่จองหรือซื้อรถยนต์ในงาน Motor Expo 2025 จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในกิจกรรม “ซื้อรถ…ชิงรถ” โดยมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ AVATR 11 รุ่น Standard Range รถยนต์ SUV ไฟฟ้าพรีเมียม มูลค่า 2,099,000 บาท
  • ผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชมงานมูลค่า 100 บาท จะได้สิทธิ์ชิงโชคในรายการ “ซื้อบัตร…ชิงรถ” โดยได้ลุ้นรับรางวัล Mitsubishi Xforce รุ่น Ultimate มูลค่า 1,059,000 บาท
  • ผู้ชมที่ดาวน์โหลด Motor Expo Application พร้อมลงทะเบียนและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมกับรับชมงานผ่านทางแอปฯ จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ไฟฟ้า Wuling Binguo รุ่น DC Icon มูลค่า 429,000 บาท

2. ลุ้นรับรถบิ๊กไบค์ 1 คัน เมื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ในงาน

สาวกคนรักรถมอเตอร์ไซค์ ที่เข้าร่วมงานและซื้อมอเตอร์ไซค์ภายในงาน Motor Expo ก็จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในแคมเปญ “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิ๊กไบค์” โดยจะได้รับเป็นรถจักรยานยนต์รุ่น Suzuki รุ่น GGX – 8R มูลค่า 419,000 บาท

3. เปิดตัวรถยนต์ใหม่ พร้อมนวัตกรรมที่น่าสนใจเพียบ!

อีกหนึ่งไฮไลต์หลัก ๆ ของงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็คือการเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน ทั้งรถยนต์ทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้า ที่ในปีนี้ก็น่าจะมีรถรุ่นใหม่ ๆ เปิดตัวพร้อมเตรียมตัวบุกตลาดรถยนต์ในไทยกันหลายรุ่น โดยรถยนต์ EV ที่น่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้ ก็มีหลายรุ่นที่มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง จัดเต็มทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปจากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งผู้ที่สนใจรถสามารถมาทดลองนั่ง ทดลองขับ และสัมผัสคันจริงได้ภายในงาน โดยที่มีทีมงานและเจ้าหน้าที่มืออาชีพคอยให้บริการแบบจัดเต็ม  

โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีโอกาสจะเปิดตัวในงาน ก็มีทั้ง BYD Dolphin, BYD Atto 3 Minorchange, Isuzu D-Max EV, Denza Z9 GT และ Mazda EZ – 6 ส่วนค่ายรถที่เข้าร่วมงานก็ขนทัพมาครบ ทั้งค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Honda, Mazda, Mitsubishi, Ford, Nissan, Volvo และยังมีแบรนด์รถไฟฟ้ายอดฮิตอีกเพียบ Volt, Tesla, Omoda & Jaecoo, Wiling, Aion และ Xpeng

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

สำหรับงาน Motor Expo 2025 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 โดยในรอบสื่อจะจะขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 – 22.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็คเมืองทองธานี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถซื้อบัตรเข้างานได้ ในราคาเพียง 100 บาทเท่านั้น โดยจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ www.motorexpo.co.th และที่หน้างาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารยานยนต์ หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time อย่าลืมติดตามข่าวสารจากทาง Plughaus Thailand บอกเลยว่า เราพร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารที่สดใหม่ พร้อมอัปเดตข่าวเด็ดในวงการรถยนต์ EV ให้แบบไม่มีกั๊ก เพื่อเอาใจสาย Go Green โดยเฉพาะ

รถยนต์ไฟฟ้า EV ใหม่ 2025 – 2026 เตรียมเปิดตัวในไทยไม่เกินปลายปีนี้

ส่องลิสต์รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 2025 – 2026 ที่เตรียมเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ ไม่เกินปลายปีนี้ ว่ามีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ กับรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เตรียมบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในปลายปี เพราะฉะนั้น มาส่องกันให้ไว กับรถใหม่ที่เตรียมเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย สรุปให้ทั้งดีไซน์ สเปก และออปชั่นแบบเข้าใจง่าย พร้อมราคาจำหน่ายรถไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ เพื่อคนรักรถ EV โดยเฉพาะ

ส่อง 5 รถยนต์ EV ใหม่ 2025 – 2026 ในไทย

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 202

1. BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 2025

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 2025 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขุมพลัง Plug – in Hybrid ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมกับประกาศราคาจำหน่ายเฉพาะในช่วง Eary Bird เพียง 699,900 บาท เท่านั้น โดยตัวรถถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้า BEV แบบ 100% แต่ก็เป็นรถยนต์ที่ใช้แบตตอรี่ที่ให้ระยะทางในการขับขี่ที่ไกล ไม่แพ้กับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

โดยสมรรถนะของตัวรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร ส่งกำลัง 98 แรงม้า กับแรงบิด 122 นิวตันเมตร เมื่อรวมกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถให้พละกำลังถึง 218 แรงม้า ส่วนตัวแบตเตอรี่ใช้ Lithium – ion (LFP) Blade Batter ความจุสูงสุดรุ่น Premium 18.3 kWh รองรับการชาร์จไฟแบบ AC Charging Type 2 สูงสุด 6.6 kW และหากใช้เฉพาะไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 120 กม. (มาตรฐาน NEDC) แต่หากรวมกับน้ำมัน (E20) สามารถให้ระยะทางรวม 1,000 กม.

หมายเหตุ : ในรุ่น Standard ความจุ 13.08 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้สูงสุดที่ 80 กม. (NEDC)

โดยฟังก์ชันในการใช้งาน ก็ถือว่ามีความครบครันไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบกุญแจแบบ Digital Key (NFC Card), ระบบ Keyless Entry, รองรับการอัปเดต Software แบบ OTA, ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ส่วนระบบด้านความปลอดภัยก็ถือว่ามีความครบครันตามสไตล์ BYD เช่นเดิม

รุ่นย่อย และราคาจำหน่าย

  • BYD Seal 5 DM-i Standard แบตเตอรี่ 13.08 kWh (ยังไม่เปิดเผยราคา)  
  • BYD Seal 5 DM-i Premium แบตเตอรี่ 18.3 kWh ราคา Early Bird 699,900 บาท (จากปกติ 769,900 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Jaecoo 5 EV 2025

2. Jaecoo 5 EV 2025

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เตรียมจ่อคิวรถเปิดตัวในเมืองไทยในปีนี้ ก็ต้องยกให้กับรถยนต์ไฟฟ้า Jaecoo 5 EV 2025 รถยนต์ไฟฟ้าไซซ์ B – SUV ส่งตรงจาก Omoda & Jaecoo Thailand ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีดีไซน์พรีเมียม เน้นความ Luxury ในทุก ๆ มิติ พร้อมกับสเปกที่คาดการณ์ว่าจะสามารถให้ระยะทางวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 461 กม.

สำหรับรุ่นย่อยคาดว่ามีทั้งหมด 2 รุ่น คือ รุ่นปกติ และรุ่นที่เน้นการใช้งานแบบ Off – Road โดยการออกแบบภายนอกจะใช้รูปทรงเหลี่ยม ดูทันสมัย เหมาะกับการใช้งานทั้งสายลุยและการใช้ในครอบครัว เพราะมีตัวถังขนาดใหญ่ กับความยาว 4,380 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,6550 มม. ส่วนระยะความสูงใต้ท้องรถยังอยู่ที่ 174 มม.

แต่ที่ต้องยอมรับเลยว่า Jaecoo 5 EV 2025 มีความพิเศษและโดดเด่นก็คือ กระจังหน้าแบบโปร่งใสพร้อมกับชื่อแบรนด์ J A E C O O ที่ช่วยทำให้ตัวรถดูเด่นมากขึ้น เส้นสายเน้นความเรียบหรูและทันสมัย  มีการติดตั้งดิฟฟิวเซอร์สีดำ ทำให้ตัวรถมีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และพื้นที่สัมภาระด้านท้ายยังมีความจุอยู่ที่ 480 ลิตร โดยที่สามารถขยายได้ถึง 1,284 ลิตร ในกรณีที่พับเบาะด้านหลัง

ส่วนขุมพลังสามารถให้กำลังสูงสุดที่ 211 แรงม้า แรงบิด 288 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 7.7 วินาที มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 60.9 kWh ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 470 กม. ตามมาตรฐานระยะทาง NEDC ส่วนราคาจำหน่ายในไทยนั้น เบื้องต้นคาดว่าราคา Jaecoo 5 EV 2025 จะไม่เกิน 6.9 แสนบาท

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Jaecoo 6T 2025

3. Jaecoo 6T 2025

สำหรับรถใหม่ในไทยปี 2025 ที่น่าจับตาอีกหนึ่งรุ่น ส่งตรงจากค่าย Omoda & Jaecoo Thailand เช่นกันก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า Jaecoo 6T 2025 (เจคู 6 ที) หรือ J6 T ที่มาพร้อมกับตัวถังไซซ์บึกบึน กับพื้นฐานที่ใช้ร่วมกับ Jaecoo 6 แต่มีความดุดันและดูเท่มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ซุ้มโป่งล้อขนาดใหญ่ พร้อมการปรับกระจังหน้าไฟฟ้า ไฟหน้า ชุดกันชน ทำให้มีความแตกต่างจากรุ่นเดิม เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV สายลุย ที่น่าจะถูกใจสายซิ่งที่อยากได้รถไซซ์​ Off – Road มาใช้งานสักคัน

และแน่นอนว่า ตัวรถหากยึดตามสเปกในเบื้องต้น จะเป็นรถที่มีมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง อยู่ที่ 4,380 x 1,916 x 1741 มม. ระยะฐานล้อ 2,715 มม. ที่มีการจัดสรรพื้นที่ภายในห้องโดยสารมาอย่างพิถีพิถัน มีพื้นที่ใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน โดยฟังก์ชันภายในตัวรถ ใช้มาตรวัดขนาด 9.2 นิ้ว พร้อมกับหน้าจอควบคุมส่วนกลางขนาด 15.6 นิ้ว รองรับ Muti – Touch รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง I – VA ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8155 พร้อมระบบเสียงจาก Infinity (เฉพาะรุ่น 4WD)

สำหรับขุมพลังใช้มอเตอร์เดี่ยว 135 kW ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง และอีกหนึ่งรุ่นใช้มอเตอร์คู่ 205 kW ให้กำลัง 279 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยในการชาร์จหากชาร์จด้วย DC ใช้เวลาเพียง 30 นาที ส่วนแบตเตอรี่ใช้ลิเธียมไอรอน ฟอสเฟส (LEP) กับความจุ 69.77 kWh ให้ระยะทางสูงสุดที่ 591 กม.

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย BYD Dolphin 2025

4. BYD Dolphin 2025

และในปีนี้รถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในแวดวงคนใช้รถยนต์ EV ก็ต้องยกให้กับเจ้า BYD Dolphin 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ล่าสุด ที่ในประเทศจีนมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 3 รุ่น โดยสเปกของรุ่นที่จะจำหน่ายในเมืองไทย คาดว่าอาจมีเพียง 2 รุ่น คือรุ่นที่ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า และรุ่น 204 แรงม้า ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 ในปลายปีนี้

  • รุ่น 95 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 44.928 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 420 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
  • รุ่น 177 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 44.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 401 กม. ตามมาตรฐาน CLTC (เฉพาะในจีน)
  • รุ่น 204 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 60.48 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 520 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

สำหรับการชาร์จไฟสามารถใช้ DC Charging ได้สูงสุดที่ 80 kW และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบ Vehicle – to – Load หรือ V2L ที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ภายนอกได้ ส่วนภายในห้องโดยสารก็ยังคงคอนเซ็ปต์มีอุปกรณ์ครบครันตามสไตล์ของ BYD เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น การอัปเกรดหน้าจอที่มีขนาด 8.8 นิ้วใหม่ ให้คมชัดและละเอียดมากขึ้น พร้อมกับหน้าจอ Infotainment ขนาด 12.8 นิ้วตรงกลางรถ รองรับการเชื่อมต่อ 5G และนอกจากนี้ ยังมีตู้เย็นขนาดเล็กตรงกลาง ที่ปรับอุณหภูมิได้ต่ำสุดที่ -6 องศาเซลเซียส

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Isuzu D-Max EV 2025

5. Isuzu D-Max EV 2025

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV 2025 ที่น่าจับตามาก ๆ ในปีนี้ก็คือ รถกระบะไฟฟ้า Isuzu D-Max EV 2025 ที่ก็น่าจะมาบุกตลาดในไทยเช่นกัน หลังจากที่รถปิกอัพ Riddara RD6 เปิดตัวไปแล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาด เพราะนอกจากจะเป็นรถกระบะไฟฟ้าคันแรกในไทยแล้ว ยังเป็นรถกระบะสายออฟโรดที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เต็มสมรรถนะ และแน่นอนว่าเจ้าตลาดรถกระบะอย่าง Isuzu D-Max ก็น่าจะส่งรถ EV มาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเช่นกัน หลังจากที่เผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน Motor Show 2024

โดยจากข่าวล่าสุดนั้น เจ้า Isuzu D-Max EV ได้เริ่มต้นผลิตในไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นรุ่นที่จำหน่ายในยุโรปเป็นหลัก ด้วยสเปกที่น่าสนใจ เพราะใช้แบตเตอรี่ 66.9 kWh สามารถวิ่งได้ไกลถึง 361 กม. (มาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จเร็วแบบ DC สูงสุดที่ 50 kW และในปลายปีนี้รถกระบะ Isuzu D-Max EV ก็จะเริ่มผลิตรุ่นพวงมาลัยขวาแล้วเช่นกัน

ส่วนสเปกของ Isuzu D-Max EV 2025 จะเป็นรถกระบะที่คงความสามารถของการลากจูง และการสัมภาระเทียบเท่ากับรถดีแม็คซ์ที่ใช้น้ำมัน เพราะสามารถลากจูงได้ถึง 3.5 ตัน รองรับน้ำหนักได้ถึง 1 ตัน ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full Time 4D ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเฟืองท้ายแบบ eAxle ที่เป็นการพัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งในปัจจุบันการผลิต D-Max EV เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรปและตลาดอื่น ๆ ส่วนในไทยก็ต้องลุ้นกันต่อว่าในปีนี้จะเปิดตัวพร้อมจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2025 นี้หรือไม่

สรุป

สำหรับรถใหม่ 2025-2026 หรือรถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นใหม่ล่าสุดทั้ง 5 รุ่น ที่เตรียมเปิดตัวและวางจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ก็นับว่ามีหลาย ๆ รุ่น ที่มีทั้งสเปกที่น่าสนใจ และราคาจำหน่ายที่ก็น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ EV คึกคักมาก ๆ ไม่แพ้กัน และนอกจาก 5 รุ่น ที่ทาง Plughaus Thailand เอามารีวิวกันแล้ว ก็ยังมีรุ่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน อาทิ ZEEKR 5X รถยนต์ SUV ไฟฟ้า 100% หรือแม้แต่ Volvo EX30 Cross Country 2025 ที่ก็น่าจะมาบุกตลาดไทยพร้อมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 นี้เช่นกัน

ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV มีค่าบำรุงรักษาอะไรบ้างที่ต้องจ่าย?

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ถึงแม้จะไม่มีรายการเช็กระยะบางอย่างเหมือนกับรถน้ำมัน แต่การเมนเทนและการบำรุงรักษารถ EV ก็ยังเป็นหนึ่งใน Check List ที่คนใช้รถต้องทำ แน่นอนว่า ค่าบำรุงรักษารถ EV ก็จะมีความแตกต่างจากรถยนต์น้ำมันพอสมควร เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาดูกันว่า การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ามีอะไรบ้างที่สำคัญ แล้วต้องจ่ายค่าเซอร์วิสเท่าไหร่บ้างของแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BYD, Tesla, GWM และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ที่มีจำหน่ายในไทย

การบำรุงรักษารถ EV มีอะไรบ้าง

การบำรุงรักษารถ EV มีอะไรบ้างที่ต้องเช็ก?

ก่อนที่จะไปดูราคา ค่าบำรุงรักษารถ EV ก่อนอื่นเราต้องมาดูกันก่อนว่า โดยปกติแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีรายการอะไรบ้างที่ต้องเช็กในการนำรถเข้าไปเช็กระยะ เพื่อตรวจสอบระบบและการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ โดยปกติแล้วการเช็กระยะของรถยนต์ EV จะมีตารางระบุอย่างชัดเจน โดยการตรวจเช็กระยะนั้น ประกอบไปด้วย

  • ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า
  • ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่รถ EV
  • ระบบกรองอากาศภายในรถ
  • ระบบเบรก และยางรถยนต์ไฟฟ้า

โดยทั้ง 4 ระบบนี้ เป็นระบบหลักของการเช็กระยะรถยนต์ EV ที่จะต้องตรวจเช็กทุกครั้งที่นำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งหากระบบใดระบบหนึ่งมีปัญหา ก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของตัวรถเช่นกัน อาทิ หากระบบระบายความร้อนทำงานได้ไม่ดี ก็จะส่งผลต่อตัวแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตามไปด้วย

การเช็กระยะ และค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ปี 2025

สำหรับอัตราค่าบริการของการเช็กระยะ หรือการบำรุงรักษารถยนต์ EV จะขึ้นอยู่กับระยะทางที่ต้องนำรถเข้าไปเช็กระยะ โดยทางแบรนด์รถยนต์ส่วนมากจะแบ่งการเข้ารับบริการเช็กระยะรถยนต์ไฟฟ้าออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันครั้งแรก และการบำรุงรักษาเชิงป้องกันถัดไปทุก ๆ 12 เดือน โดยทาง Plughaus จะมาสรุปให้ดูกันว่า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์ มีค่าเช็กระยะเท่าไหร่บ้าง

ค่าเช็กระยะ และตารางบำรุงรักษารถ BYD

1. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า BYD

แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า BYD จะมีการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษา โดยการเช็กระยะในครั้งแรกคือรอบ 3 เดือน หรือระยะ 5,000 กม. ซึ่งการเช็กระยะครั้งแรกจะเป็นการตรวจเช็กระบบของรถโดยภาพรวม ว่าสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ มีระบบไหนที่ทำงานผิดปกติ หรือมีปัญหาไหม หากมีก็จะได้แก้ไขทันที โดยการตรวจเช็กระยะรถยนต์ไฟฟ้า BYD สามารถแบ่งได้ตามระยะ ดังนี้

  • ระยะ 3 เดือน หรือ 5,000 กม.
  • 12 เดือน (1 ปี) หรือ 20,000 กม.
  • 24 เดือน (2 ปี) หรือ 40,000 กม.
  • 36 เดือน (3 ปี) หรือ 60,000 กม.
  • 48 เดือน (4 ปี) หรือ 80,000 กม.
  • 60 เดือน (5 ปี) หรือ 100,000 กม.
  • 72 เดือน (6 ปี) หรือ 120,000 กม.
  • 84 เดือน (7 ปี) หรือ 140,000 กม.
  • 96 เดือน (8 ปี) หรือ 160,000 กม.

โดยค่าบำรุงรักษาของทาง BYD ผู้ใช้รถจะไม่ได้ชำระค่าแรงและค่าอะไหล่ในการบำรุงรักษา (เฉพาะในรายการที่กำหนด) โดยจะไม่รวมกับอะไหล่สิ้นเปลือง อะไหล่ที่ใช้งานหนัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดจากการใช้รถ หรือการเปลี่ยนอะไหล่ที่ไม่ตรงตามระยะการบริการ โดยเฉลี่ยแล้วค่าบำรุงรักษาจะอยู่ที่ 3,000 – 10,000 บาท/ปี

ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า GWM

2. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า GWM

ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง GWM ก็เป็นค่ายที่มีบริการ GWM CARE Service Inclusive (GCSI) ด้วยแพ็กเกจฟรีค่าแรงสำหรับการบำรุงรักษาตามระยะทางสูงสุด 10 ครั้ง ตลอด 5 ปี ระยะทางไม่เกิน 75,000 กม. นอกจากนี้ ยังมีการรับประกันแบตเตอรี่รถ EV ให้ตลอดระยะเวลา 8 ปี หรือ 180,000 กม. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้รถ ว่าจะไม่ได้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากจนเกินไป โดยเฉพาะกรณีที่เกิดปัญหาจากตัวรถ ซึ่งการเช็กระยะของรถยนต์ไฟฟ้า GWM จะเริ่มที่ระยะ 12 เดือน หรือ 15,000 กม. ดังนี้

  • ระยะ 12 เดือน หรือ 15,000 กม.
  • ระยะ 24 เดือน หรือ 30,000 กม.
  • ระยะ 36 เดือน หรือ 45,000 กม.
  • ระยะ 48 เดือน หรือ 60,000 กม.
  • ระยะ 60 เดือน หรือ 75,000 กม.
  • ระยะ 72 เดือน หรือ 90,000 กม.
  • ระยะ 84 เดือน หรือ 105,000 กม.
  • ระยะ 96 เดือน หรือ 120,000 กม.
  • ระยะ 108 เดือน หรือ 135,000 กม.
  • ระยะ 120 เดือน หรือ 150,000 กม.

สำหรับอัตราค่าบริการรถยนต์ไฟฟ้า GWM ยกตัวอย่างในรุ่น ORA Good Cat / GT จะมีค่าบำรุงรักษาตามระยะทางที่กำหนดเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,000 – 2,000 บาท แต่จะมีเพียงในระยะ 60,000 กม. และ 120,000 กม. จะมีราคาค่าบำรุงรักษาอยู่ที่ประมาณ 5,560 บาท ซึ่งสาเหตุที่มีราคาสูงกว่าระยะอื่น ๆ เนื่องจากการชำระค่าน้ำยาหม้อน้ำ น้ำมันเกียร์ และแหวนรองเกียร์ที่เพิ่มเข้ามา นอกเหนือจากค่าแรงและการเปลี่ยนไส้กรองแอร์

ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า Tesla

3. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า Tesla

การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ไม่ว่าจะเป็นโมเดลไหน ๆ ก็ตาม จะมีระยะการตรวจเช็กที่เหมือน ๆ กันคือ ในทุก 4 ปี จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกเสมอ และในทุก ๆ ปี จะต้องมีการทำความสะอาดและหล่อลื่นก้ามปูเบรก (Brake Caliper) ตามมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla และที่ขาดไม่ได้คือ ในทุก ๆ 10,000 กม. จะต้องสลับยางรถ EV ทุกครั้ง หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง กรณีที่พบว่าความลึกของดอกยางแตกต่างกันมากกว่า 1.5 มม.

นอกจากนี้ การบำรุงรักษารถยนต์ของทางเทสล่า ตามการเข้าเช็กระยะ ยังรวมไปถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบัน ในกรณีที่ผู้ใช้รถยังไม่ได้อัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งโดยปกติแล้วตัวรถจะสามารถอัปเดตได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการส่งข้อมูลผ่านทางเดียวเทียม เพียงแค่เชื่อมต่อ Wi – Fi และใช้แอปมือถือ Tesla เท่านั้น

หมายเหตุ: การเช็กระยะและบำรุงรักษาของรถยนต์ Tesla ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขแบบตายตัวแต่อย่างใด แต่จากการเปิดเผยข้อมูลจากผู้ใช้จริง พบว่าค่าซ่อมแซมเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 15,000 บาท (หรืออาจน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับโมเดลและแพ็กเกจการเมนเทนรถยนต์ EV)

สรุป

จากข้อมูลอัตราค่าบริการสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า EV ทั้งจากของ GWM, BYD และ Tesla เอง สามารถอนุมานได้ในเบื้องต้นว่า หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะมีค่าบำรุงรักษาสูงกว่าค่ายรถยนต์สัญชาติจีน ในขณะที่ทาง GWM และ BYD มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,000 – 3,000 บาท สำหรับการเช็กระยะทั่ว ๆ ไป แต่จะมีเพียงบางระยะที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาราว ๆ 2 – 3 เท่าจากเดิม

ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะการเปลี่ยนถ่ายของเหลว และอุปกรณ์บางอย่างของตัวรถตามอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับทางรถยนต์ไฟฟ้า NETA V และ V – II ที่มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 – 2,000 บาท ในรอบเช็กระยะปกติ แต่หากเป็นรอบระยะทาง 40,000 กม. และ 80,000 กม. จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3,800 บาท ซึ่งแบรนด์อื่น ๆ ก็น่าจะมีอัตราค่าบริการและค่าเช็กระยะที่ใกล้เคียงกัน อาทิ GAC, Wuling หรือแม้แต่ Changan

มัดรวมรถยนต์ไฟฟ้าน่าซื้อ ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท ฉบับปี 2025

หลังจากที่ทาง Plughaus Thailand ได้แนะนำรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้ในปี 2025 แบบจัดเต็มครบทุกรุ่นดังกันไปแล้ว งานนี้เราจะมาเอาใจคนงบน้อยโดยเฉพาะ ด้วยการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท ปี 2025 เพื่อเอาใจคนรักรถ EV ที่อยากมีรถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งานในงบเบา ๆ บอกเลยว่า มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ที่ถึงแม้จะเป็นรถไฟฟ้าราคาถูก แต่สเปกและสมรรถนะ ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานไม่ใช่น้อย และที่สำคัญ ดีไซน์ทันสมัยในงบไม่เกินครึ่งล้าน!

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท BYD Dolphin

1. BYD Dolphin Standard Range

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก 2025 ที่เป็นกระแสและอยู่ในงบไม่เกิน 5 แสนบาทรุ่นแรก ที่เราอยากแนะนำมากที่สุดก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin Standard Range ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 70 kW ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP ให้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 44.9 kWh มีดีไซน์ที่ทันสมัย และจัดเต็มด้วยออปชั่นการใช้งาน โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยที่ถึงแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ได้ครบทุกระบบเหมือนกับรุ่นท็อปอย่าง Extended

ส่วนดีไซน์ภายนอกออกแบบมาให้สะท้อนถึงวิถีแห่งโลมา ด้วยศิลปะแห่งท้องทะเล ให้ความรู้สึกสนุกสนานและดูปราดเปรียวในคราวเดียวกัน ทั้งยังโดดเด่นด้วยไฟท้าย Geometric Polyline LED Tail Light ทรงเลขาคณิต ที่มีความทันสมัยและโฉบเฉี่ยว ทำให้ตัวรถให้ความโดดเด่นทุกองศา เช่นเดียวกับกุญแจที่ใช้แบบ Keyless Card พร้อมระบบ Keyless Entry และ Keyless Start ที่ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายตั้งแต่เริ่มต้น

ราคา BYD Dolphin Standard Range

  • ราคาจำหน่าย 499,900 บาท (ลดราคาจาก 569,900 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท Wuling Air EV

2. Wuling Air EV

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 5 แสนบาท อีกหนึ่งรุ่นที่อยากแนะนำเลยก็คือ Wuling Air EV รถยนต์อีวีขนาดเล็ก ด้วยการเป็น Hatchback 3 ประตู 4 ที่นั่ง มีไซซ์ที่กะทัดรัด มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 40 แรงม้า มีความจุตั้งแต่ 16.3 kWh ไปจนถึง 26.7 kWh ในรุ่นท็อป โดยตัวรถมาพร้อมกับการออกแบบไฟหน้า LED ให้มีความน่ารักเข้ากับสมัยนิยม พร้อมกับโลโก้ที่ด้านหน้ารถ ใช้ดีไซน์ตามสไตล์ Kei Car ที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น มีประตู 2 บาน รวมกับประตูด้านหลังเป็น 3 บาน

สำหรับตัวรถสามารถขับขี่ได้ไกลสูงสุด 200 กม. ในรุ่น Standard Range และในรุ่น Long Range ขับขี่ได้ไกล 300 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนความเร็วสูงสุดคือ 106 กม./ชม. ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LEP รองรับการชาร์จ AC Type 2 โดยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยก็ถือว่าครบครัน อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, รถบบกระจายแรงเบรก และเซนเซอร์ช่วยจอด ส่วนกุญแจใช้ระบบ Immobilizer

ราคา Wuling Air EV

  • Wuling Air EV รุ่น Standard Range ราคา 395,000 บาท
  • Wuling Air EV รุ่น Long Range ราคา 465,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท AION UT

3. AION UT

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไซซ์มินิราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่าง AION UT ถือเป็นคู่แข่งที่ออกมาท้าชนกับ BYD Dolphin โดยเฉพาะ ที่น่าจะเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่กำลังจะถึงนี้ มาพร้อมกับขุมพลัง 2 แบบ ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 50 kWh และ 60 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 500 กม./ชาร์จ โดยตัวรถมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ หน้าจอสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว, แท่นชาร์จโทรศัพท์ Wireless Charger รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay

และที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า AION UT ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าที่แข็งแรงสูง คิดเป็น 71% ของตัวถัง พร้อมกับ Magazine Battery 2.0 ที่ปลอดภัยสูง ทนต่อแรงบิดในระดับ 180 องศาได้ โดยที่ไม่เกิดประกายความร้อน ทำให้ปลอดภัยในการขับขี่ในทุก ๆ สภาวะ รวมถึงในช่วงที่อากาศมีความร้อนสูง

ราคา AION UT

  • ราคาอย่างเป็นทางการ รถยนต์ไฟฟ้า AION UT คาดว่าเริ่มต้นที่ 499,900 บาท ในรุ่นเริ่มต้น
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท VOLT City EV

4. VOLT City EV

รถยนต์ไฟฟ้าไซซ์มินิอย่าง VOLT City EV มี 2 รุ่น คือ รุ่น 3 ประตู​ FOR – Two และรุ่น 5 ประตู FOR – Four จัดจำหน่ายโดยบริษัท EV Primus ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความร่วมมือของ 3 บริษัทชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น DongFeng Motor, Zhengzhou Nissan และ Beijing Hongrui Automotive Technology โดยมีอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน อาทิมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล, โหมดการขับขี่ Economy และ Sport, ช่องจ่ายไฟ USB A 2 ตำแหน่ง, กุญแจ Central Lock นอกจากนี้ รุ่นท็อปยังมีจอแสดงข้อมุลแบบ Multi-Function แบบ Double Screen ให้ด้วย

โดยในรุ่น 3 ประตู สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 165 กม./ชาร์จ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต 11.8 kWh ส่วนในรุ่น 5 ประตู วิ่งได้ไกลสูงสุด 200 กม./ชาร์จ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต 16.5 kWh ซึ่งข้อจำกัดของ VOLT City EV คือไม่สามารถชาร์จไฟแบบ DC Charger หรือ Fast Charge ได้ รองรับเฉพาะการชาร์จแบบ AC เท่านั้น จึงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานในครัวเรือน และการวิ่งในเมืองเป็นหลัก

ราคา VOLT City EV

  • VOLT FOR-TWO Classic ราคา 325,000 บาท
  • VOLT FOR-TWO TOP ราคา 355,000 บาท
  • VOLT FOR-FOUR ราคา 385,000 บาท
  • VOLT FOR-FOUR Premium ราคา 415,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท NETA V-II

5. NETA V-II

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดไม่เกินครึ่งล้าน ก็ต้องยกให้กับ NETA V-II รถยนต์อีวีสไตล์ City Car ที่รองรับได้สูงสุด 5 ที่นั่ง ที่เปิดตัวมาในงาน Motor Show 2025 ล่าสุด พร้อมกับแนวคิด Smart & Play เน้นดีไซน์โฉบเฉี่ยว ฟังก์ชันครบครัน ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม ไฟหน้าท้ายใช้แบบ LED ทั้งหมด ส่วนภายในห้องโดยสารออกแบบในสไตล์ Hi-Tech Minimalist Concept พร้อมกับจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนต์ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อด้วยระบบ Apple CarPlay

ส่วนขุมพลังในการใช้งานก็ถือว่าเพียงพอสำหรับคนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกมาไว้ใช้งาน เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 70 kW ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า จับคู่มากับแบตเตอรี่ Lithium – ion วิ่งได้ไกลสูงสุด 382 กม./ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ EV ปี 2025 ที่น่าใช้งาน ในงบเบา ๆ ไม่เกิน 5 แสนบาทอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง

ราคา NETA V-II

  • ปรับราคาลงตั้งแต่ 1 พ.ค. 2025 เหลือเพียง 3xx,000 บาท (จากราคาที่ลดมาแล้ว 429,000 – 459,000 บาท)

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท ถือว่ามีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ AION UT คู่แข่ง BYD Dolphin ที่คาดว่าจะมีราคาไม่เกิน 5 แสนบาท และจะประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ และในตอนนี้ก็มีหลาย ๆ รุ่น ที่ประกาศลดราคากันอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ NETA V-II ที่นอกจากจะลดราคาเหลือเพียง 3 แสนกว่าในรุ่นเริ่มต้นแล้ว ยังมีโปรโมชั่นแถมฟรีประกันภัยชั้น 1 รวมถึง Wallbox อีกต่างหาก ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการหารถยนต์ EV ในราคาที่ย่อมเยา และต้องการเปรียบเทียบความคุ้มค่าในหลาย ๆ ด้าน ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว้ใช้งาน

แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้รถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญอย่าง “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็ต้องมีความพร้อมในการใช้งานเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายปัจจัยเช่นกันที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาผู้ใช้รถมาดูกันว่า แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง แล้วอาการรถไฟฟ้าแบตเสื่อมสังเกตได้อย่างไร สรุปจบง่าย ๆ สำหรับผู้ใช้รถโดยเฉพาะ

ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

6 ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

ในบรรดาปัจจัยที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว ถือว่ามีหลายสาเหตุพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิในการทำงานของแบตเตอรี่รถ รอบการใช้งาน และที่ขาดไม่ได้คือ การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพ และ Charge Cycle โดยตรง

1. อุณหภูมิการใช้งาน

โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานได้ดีที่สุดในอุณหภูมิ 30 – 60 องศาเซลเซียส หากสูงมากกว่านี้ก็จะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ เช่น ชาร์จไฟในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือการจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เซลล์แบตเตอรี่เสียหายแล้ว ยังทำให้ความจุแบตลดลงด้วย

2. รอบการใช้งาน หรือรอบการชาร์จ

ซึ่งโดยปกติจะมีรอบการชาร์จรถ EV ตั้งแต่ 3,000 รอบขึ้นไป ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10 – 20 ปี นั่นหมายความว่า ยิ่งมีรอบการชาร์จมากเท่าไหร่ อายุการใช้งานก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ควรชาร์จไฟทุกวันหากไม่จำเป็น

3. การชาร์จไฟแบตรถยนต์ EV ด้วยระบบ DC Charging

สำหรับการชาร์จด้วยระบบ DC Charging หรือ Fast Charging บ่อยเกินไป ก็ส่งผลต่อการเสื่อมของตัวแบตได้ไวเช่นกัน เพราะการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไวนั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรเลือกชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC Charging เป็นหลักจะดีกว่า ส่วนการชาร์จด่วนสามารถชาร์จได้เมื่อมีระยะเวลาจำกัด

4. ปล่อยให้แบตเหลือ 0%

การใช้รถจนแบตเหลือน้อยมาก ๆ จนเกือบจะเป็น 0% อยู่บ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมสภาพได้ไว เพราะการปล่อยให้แบตเหลือน้อย ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักมากขึ้น ตัวแบตมีความร้อนสูง จึงทำให้อายุการใช้งานแบตน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. การชาร์จไฟบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น

โดยปกติแล้วควรจะรักษาระดับแบตเอาไว้ให้อยู่ที่ระดับ 25 – 75% นั่นหมายความว่า หากแบตเตอรี่ไม่ได้เหลือน้อยก็ยังไม่จำเป็นต้องชาร์จ และหากต้องจอดรถไว้นาน ๆ ก็ควรมีการกระตุ้นไฟเข้าแบตเตอรี่ด้วยการสตาร์ทรถทิ้งไว้บ้าง เพื่อป้องกันอาการ Over Discharge

6. พฤติกรรมการใช้รถ

โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่แบบกระชาก ออกตัวแรง เร่งแรง และเบรกแรงบ่อย ๆ รวมถึงการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้น เพราะตัวแบตมีความร้อนสะสม ทำให้เสื่อมสภาพได้ไว อายุการใช้งานก็น้อยลงตามไปด้วย

จะเห็นได้เลยว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ Charge Cycle หรือ Cycle Life ของแบตเตอรี่รถยนต์ EV โดยตรง ยังไม่นับรวมการจอดรถกลางแจ้ง หรือพฤติกรรมการขับขี่ ที่ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV มีอายุการใช้งานที่น้อยลง

การดูแลรักษาและยืดอายุการใช้งานแบตรถ EV)

วิธีเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเรื่อมเสื่อม

สำหรับการเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ EV เสื่อมหรือไม่ สามารถเช็กจากอาการรถไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ในระหว่างการขับขี่ หรือจากการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ดังนี้

  • ระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดน้อยลงอย่างชัดเจน อาทิ ปกติชาร์จไฟรถ EV ไว้ที่ระดับ 80 – 90% จะสามารถขับขี่ได้ในระยะทาง 400 กม. แต่หลัง ๆ เริ่มวิ่งได้ไม่เกิน 350 กม. ให้สันนิษฐานเอาไว้ได้เลยว่านี่คืออาการแบตรถ EV เริ่มเสื่อมแน่นอน
  • ระยะเวลาการชาร์จไฟนานมากขึ้น หรือเร็วกว่าปกติ ทั้งการชาร์จแบบ AC และ DC Charging ซึ่งปกติแล้วเราจะคาดเดาได้คร่าว ๆ อยู่แล้ว ว่ารถที่ขับใช้เวลาชาร์จมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ลองสังเกตเวลาในการชาร์จไฟดู ว่าเวลาคลาดเคลื่อนจากปกติหรือไม่
  • ชาร์จไฟแล้วแบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ซึ่งอาการนี้คือการบอกว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถจัดการกับความร้อนได้ดีเท่าที่ควร
  • ประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วลดน้อยลง แต่ต้องดูควบคู่ไปกับลมยางรถยนต์ไฟฟ้า และการบรรทุกในครั้งนั้น ๆ ด้วย หากลมยางปกติ และไม่ได้บรรทุกเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของอาการแบตรถ EV เสื่อม
  • ใช้งานแบบเดิมแต่เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการนี้จะค่อนข้างชัด เพราะหมายถึงแบตเตอรี่ไม่สามารถทำงานได้ดีเหมือนเคย
วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้ยาวนาน

วิธีการถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้นาน

1. ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟให้เต็ม 100% ทุกวัน  

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จเมื่อถึงระดับที่เหมาะสม และควรรักษาช่วงการชาร์จเฉลี่ยให้อยู่ที่ 20 – 80% ของความจุแบต ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมากกว่าการชาร์จให้เต็ม 100% ทุกครั้ง และหากแบตเตอรี่ไม่ได้ลดลงมากก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จเพิ่มเสมอไป (ในรถยนต์ EV บางรุ่น จะกำหนดเอาไว้เลยว่า ให้ชาร์จไฟที่ระดับ 80% เท่านั้น)

2. อย่าปล่อยให้แบตเหลือน้อย หรือเกือบ 0% บ่อย ๆ

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ที่ค่ายรถยนต์พัฒนาขึ้นมา หลักการในการยืดอายุการใช้งานที่ดีที่สุด คือ ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยมาก ๆ หรือว่าเปอร์เซ็นต์ต่ำเกือบ 0% บ่อยเกินไป เพราะทำให้แบตทำงานหนักมากขึ้นจนเกิดความร้อนสูง และส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเช่นกัน

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

โดยหลักการนี้ครอบคลุมทั้งการจอดและการชาร์จในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ระบบการจัดการความร้อนของแบตทำงานได้ปกติ ไม่มีการรบกวนจากภายนอกเกินไป และยังรวมไปถึงการชาร์จไฟในขณะที่มีอุณหภูมิสูง ที่ไปเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในชุดแบตเตอรี่

4. ชาร์จไฟด้วย DC Charging ให้น้อยลง

อย่างที่อธิบายไปในข้างต้นว่า การชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ DC Charging คือตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อม เพราะเป็นการอัดประจุเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้น หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น แนะนำให้ชาร์จไฟแบบ AC Charging เป็นหลัก เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมไว

5. ตรวจลมยางรถ EV เสมอ ดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี

อีกหนึ่งวิธีการยืดอายุแบตเตอรี่ที่ทำได้ง่าย ๆ คือ การตรวจสอบลมยางรถยนต์ไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ ไม่ให้ลมยางต่ำเกินไปจนทำให้แบตรถ EV ทำงานหนัก และในควรใช้รถให้ถูกวิธี ไม่ขับกระชากเกินไป และควรตรวจสภาพรถตามระยะการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของระบบต่าง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน 

สรุป

สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ แบตรถ EV ไม่ให้เสื่อมไว ก็ถือว่ามีหลายวิธีที่ผู้ใช้รถไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะทำให้แบตมีอายุการใช้งานนานมากขึ้นแล้ว ยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งระบบด้วยเช่นกัน และหากใครที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ก็ควรเลือกติดตั้ง Home Charger เอาไว้ที่บ้าน เพราะนอกจากจะชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นการชาร์จไฟด้วยระบบ AC ที่ไม่ทำให้แบตเสื่อมไว และที่สำคัญคือ ไม่ต้องเสียค่าบริการที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟอีกด้วย

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อยู่ได้นานกี่ปี? พร้อมค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบต

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนรถ EV ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีประเด็นของแบตเตอรี่รถไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะประเด็นของอายุการใช้งาน และราคาค่าเปลี่ยนแบต ที่หลายคนมองว่ามีราคาสูงเกินไป จนอาจเกิดความลังเลว่า จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าดีไหม จะคุ้มค่าหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาคุณมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV กันให้มากขึ้น ว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่ แล้วการถนอมแบตมีวิธีไหนบ้าง

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ในปัจจุบันนี้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีการเรียกชื่อหลายแบบมาก ๆ ซึ่งหากจำแนกออกเป็นประเภทจริง ๆ แล้ว สามารถแบ่งออกได้ถึง 7 ประเภท ได้แก่

1. แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด

หรือ Lead – Acid Battery ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดนี้มีมาตั้งแต่ยุครถยนต์สันดาป แต่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า โดยในท้องตลาดจะมี 3 ชนิดย่อยลงไป คือ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง และแบตเตอรี่กึ่งแห้ง ซึ่งแบตชนิดนี้จะนิยมนำมาใช้เป็นแบตสำรองเท่านั้น เพราะมีอายุการใช้งานที่สั้น มีการดูแลหลายส่วน ทำให้ส่งผลต่อการบำรุงรักษาในระยะยาว

2. แบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล – เมทัลไฮไดรด์

สำหรับแบตเตอรี่ Nickel-metal Hydride / Ni-MH เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์ประเภท HEV และ PHEV หรือก็คือรถที่ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน โดยมีอายุการใช้งานที่นานกว่าแบตลิเธียม แต่ว่าเก็บพลังงานได้น้อยกว่า ซึ่งรถที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ก็มีหลายรุ่น เช่น Toyota Camry Hybrid

3. แบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม

สำหรับแบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม หรือ Nickel-Cadmium Battery / Ni-Cd เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง ค.ศ. 90 จุดเด่นคือ สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้เยอะ มีรอบการชาร์จ หรือ Cycle อยู่ที่ 500 – 1,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดคือ ต้องใช้พลังงานให้หมดก่อนถึงจะสามารถชาร์จใหม่ได้ ทั้งยังมีประเด็นเรื่องการรั่วไหลของสารแคดเมียม จึงทำกลายเป็นแบตเตอรี่ต้องห้าม และไม่มีการใช้ในรถยนต์ EV

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

4. แบตเตอรี่ลิเฮียมไอออน

แบตเตอรี่ Lithium Ion หรือ Li – ion เป็นแบตเตอรี่รถ EV ที่พบเจอกันได้บ่อยมาก ๆ และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับการใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ สมาร์ตโฟน ซึ่งข้อดีคือมีอายุการใช้งานที่มากกว่า และรองรับการชาร์จแบบเร็ว หรือ Fast Charge ทั้งยังนำกลับมาใช้ซ้ำได้  ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีรอบการชาร์จอยู่ที่ 500 – 10,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และหากมีอุณหภูมิที่ต่ำหรือสูงเกินไปก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานตามไปด้วย

5. แบตเตอรี่แบบตัวเก็บประจุไฟฟ้า

โดยแบตชนิดนี้แทบจะไม่ใช่แบตเตอรี่แบบ 100% มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าแบตอิเล็กโทรไลต์แบบเหลว มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และทนทาน ชาร์จไฟได้เร็วกว่าแบตแบบปกติมาก ทั้งยังมีรอบการชาร์จสูงถึง 100,000 – 1,000,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ จ่ายไฟไม่เสถียร เก็บพลังงานได้น้อย ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งปัจจุบันนำไปใช้เป็นแค่ตัวช่วยในการรีดอัตราเร่งเท่านั้น ยังไม่ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ EV แต่อย่างใด

6. แบตเตอรี่โซลิดสเตต

เป็นแบตเตอรี่ที่สร้างกระแสได้เยอะมาก ๆ ในวงการแบตรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งตัวแบตเป็นแบบแข็ง ให้ความจุและประสิทธิภาพสูงกว่าแบตทุกชนิด รวมถึงอิเธียมไอออนถึง 10 เท่า และที่สำคัญคือ มีโอกาสติดไฟต่ำ เพราะไม่มีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้ ยังมีความเสถียรมากกว่าแบตชนิดอื่น ส่งผลให้ชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วมากขึ้น แต่ข้อจำกัด คือ ต้นทุนการผลิตสูง และการใช้งานจริงอาจเสี่ยงต่อการแตก หัก หรือได้รับความเสียหายจากการกระแทกจากการขับขี่ได้

7. แบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน

ตัวแบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน หรือ Sodium Ion Battery / Na-Ion Battery เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แบตเกลือ” มีข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ต้นทุนการผลิตที่ถูกมากกว่า Li – Ion สามารถชาร์จไฟได้เกือบ 100% ภายในเวลาเพียง 20 นาที ทนความร้อนได้สูง มีรอบการชาร์จ 8,000 – 10,000 ครั้ง แต่ว่าข้อจำกัดคือให้พลังงานได้น้อยกว่า เพราะมี Energy Density ที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีรอบการวิ่งระยะสั้น ๆ

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้งาน)

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ได้กี่ปี?

อายุของแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV จะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตที่ใช้ รวมถึงปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่ลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานของแบตรถไฟฟ้า EV จะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10 – 20 ปี และโดยปกติแล้วผู้ให้บริการหรือค่ายรถยนต์ไฟฟ้า จะมีการรับประกันอายุการใช้งานอยู่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 – 180,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 8 ปี อย่างเช่น ค่ายรถยนต์ BYD ก็มีการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี หรือระยะทาง 160,000 กิโลเมตร

ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า!

สำหรับค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับค่ายรถที่เลือกใช้ รวมถึงประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ EV ด้วยเช่นกัน โดยทาง Plughaus จะสรุปราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ของรภยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นมาให้ดูกัน ว่าในปัจจุบันแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่บ้าง?

  • รถยนต์ไฟฟ้า NETA V ราคา 420,000 บาท
  • BYD Dolphin ราคาเริ่มต้น 309,364.49 บาท
  • BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 320,121.50 บาท
  • BYD Seal ราคาเริ่มต้น 451,289.72 บาท
  • MG ZS EV ราคา 450,000 บาท
  • ORA Good Cat ราคา 445,000 – 580,000 บาท

ทั้งนี้ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ EV รุ่นอื่น ๆ อาทิ Tesla, Deepal จากแบรนด์ใหม่อย่าง ChangAn ยังไม่มีการเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่ทางหากเป็นราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถไฟฟ้า BYD มีการปรับราคาลดลงมาตามที่ระบุไว้ข้างต้น

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า และราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า EV นั้น มีหลายชนิดมาก ๆ ซึ่งในปัจจุบันค่ายรถยนต์ก็มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาคุณภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น มีความทนทานกว่าเดิม รวมถึงการจัดแคมเปญต่าง ๆ เช่น การรับประกันแบตเตอรี่ แต่หากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต้องการความมั่นใจที่มากขึ้น ก็อาจเลือกใช้ประกันรถยนต์ EV ที่มีความครอบคลุมในหลาย ๆ ส่วนร่วมด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ ใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน หรือติดตั้ง Home Charger ไว้ที่บ้าน เพื่อลดการชาร์จแบบ Fast Charge บ่อย ๆ เพราะส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม

รีวิวรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 กับตัวเลือก 2 พลังงาน EV และ REEV

นาทีนี้เรียกว่าไม่มีใครไม่รู้จัก Deepal S05 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดส่งตรงจาก ChangAn อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่าล้านแล้ว ยังมี 2 พลังงานให้เลือก ทั้งรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เป็น BRV 100% และ REEV เพราะฉะนั้น เราจะพาคนรักรถมาดูกันว่า Deepal S05 สเปกเป็นยังไงบ้าง น่าสนใจแค่ไหน มีฟังก์ชันอะไรเด่น ๆ บ้าง รวมถึงราคาจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ หลังเปิดตัวในงาน Motor Show 2025 ที่ผ่านมา

รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

Deepal S05 รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 2 ทางเลือก

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 ที่เปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ที่ผ่านมา ก็ถือว่าสร้างเสียงฮือฮาในกลุ่มคนรักรถ EV ได้เป็นอย่างดี เพราะงานนี้เปิดตัวมาพร้อมกับตัวเลือกพลังงาน 2 รูปแบบ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV 100% และรถยนต์พลังงานทางเลือก REEV Plug – in Hybrid ที่ใช้น้ำมันควบคู่กับพลังงานไฟฟ้า ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่มากขึ้น สำหรับรถ Deepal S05 2025 ที่จำหน่ายในไทย

รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ราคาจำหน่าย Deepal S05

ราคา Deepal S05 BEV 100%

  • Deepal S05 BEV LITE ราคา 799,000 บาท
  • Deepal S05 BEV PLUS ราคา 849,000 บาท
  • Deepal S05 BEV MAX ราคา 899,000 บาท

ราคา Deepal S05 REEV

  • Deepal S05 REEV MAX ราคา 999,000 บาท
  • Deepal S05 REEV PLUS ราคา 949,000 บาท

สีตัวถัง

Deepal S05 BRV Lite

  • สีขาว Moonlight White
  • สีเทา Ganymede Grey
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีดำ

Deepal S05 BRV Plus และ REEV Plus

  • สีขาว Moonlight White
  • สีดำ Deep Space Black
  • สีเงิน Mercury Silver
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีดำ

Deepal S05 BRV Max และ REEV Max

  • สีขาว Moonlight White
  • สีดำ Deep Space Black
  • สีเงิน Mercury Silver
  • สีฟ้า Andromeda Blue
  • สีภายในห้องโดยสาร : สีส้ม
รีวิว สเปก Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

มิติตัวถัง Deepal S05

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,620 x 1,900 x 1,600 มม.
  • ระยะฐานล้อ 2,880 มม.
  • ความสูงจากใต้ท้องรถ 169 มม.
  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
  • ขนาดยาง 225/60 R18
รีวิวภายนอกรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ระยะทางวิ่งของ Deepal S05 รุ่น BEV และ REEV

สเปกและสมรรถนะการขับขี่รุ่น BEV

ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate ความจุ 56.1 kWh ให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า (PS) แรงบิดอยู่ที่ 320 นิวตัน – เมตร สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 470 กม. (มาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จไฟด้วยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC สูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ ส่วน DC อยู่ที่ 151.5 กิโลวัตต์

สเปกและสมรรถนะการขับขี่รุ่น REEV

สำหรับ Deepal S05 REEV ใช้พลังงาน 2 รูปแบบ ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซิน (Plug – in Hybrid) ที่เมื่อใช้น้ำมันรวมกับไฟฟ้าแล้วสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 1,000 กม. โดยเครื่องยนต์ใช้ Range – Extender Engine 4 สูบ 16 วาล์ว VVT ความจุ 1,497 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) ส่วนแบตเตอรี่ใช้ Lithium Iron Phosphate ความจุ 27.28 kWh ให้กำลัง 218 แรงม้า (PS) รองรับทั้งการชาร์จไฟแบบ AC และ DC Charging

อุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05

สำหรับอุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05 ในแต่ละรุ่น จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงรถรุ่น BRV และ REEV ซึ่งหากเป็นรุ่น REEV Plus จะได้อุปกรณ์เหมือน BRV Plus เช่นเดียวกับรุ่น REEV Max ที่ก็จะได้อุปกรณ์เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า BRV Max เช่นกัน โดยอุปกรณ์ภายนอกของ Deepal S05 มีดังนี้

  • ไฟส่องสว่างสําหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟหน้าปรับระดับได้
  • ไฟท้ายแบบ LED Star Wing
  • ไฟตัดหมอกหลัง
  • ประตูแบบไร้ขอบกระจก
  • กระจกบังลมหน้าแบบมีระบบไล่ฝ้าอัตโนมัติ
  • กระจกมองข้างปรับและพับแบบไฟฟ้า
  • ระบบทําความร้อนไล่ฝ้าที่กระจกมองข้าง
  • กระจกมองข้างพับอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม
  • ช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า (159 ลิตร)

โดย Deepal S05 Plus จะได้มือจับประตูไฟฟ้าด้านนอกแบบซ่อน และที่ปัดน้ำฝนด้านหลังแบบไร้โครงเพิ่มเข้ามา ส่วนถ้าเป็นรุ่น Max จะมีหลังคากระจกแบบพาโนรามา พร้อมกับม่านหลังคาไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีประตูเปิด – ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบกันหนีบ รวมถึงระบบการจดจำตำแหน่งของกระจกมองข้าง ที่สามารถปรับองศาได้อัตโนมัติ

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

อุปกรณ์ภายในของ Deepal S05

สำหรับอุปกรณ์ภายในของ Deepal S05 ก็จะมีอุปกรณ์พื้นฐานเหมือน ๆ กัน โดยรุ่น Lite จะมีอุปกรณ์ที่ครอบคลุมการใช้งาน ทั้งพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน, ช่องเสียบ USB รวมถึงระบบ Entertainment ภายในรถ ที่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน

  • พวงมาลัยแบบ Multifunction มาพร้อมกับปุ่ม Shortcut ปรับได้ 4 ทิศทาง
  • กระจกไฟฟ้า 4 บาน เปิด-ปิดแบบ One-touch พร้อมระบบกันหนีบ
  • เบาะหนังสังเคราะห์พร้อมรูระบายอากาศ โดยเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
  • พนักพิงเบาะหลังพับได้แบบ 60:40
  • แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกและไฟส่องสว่าง
  • ไฟอ่านหนังสือแบบ LED
  • จํานวนช่องเสียบ USB: USB-A 2 ตำแหน่ง / USB-C 1 ตำแหน่ง
  • ช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
  • ระบบการกรองฝุ่น PM 2.5
  • โหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort, Sport และ Customize
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 15.4 นิ้ว
  • ระบบนำทาง
  • ระบบเลือกโหมดสถานการณ์
  • ลำโพง 8 ตำแหน่ง
  • ลำโพงภายนอกแบบปรับเปลี่ยนเสียงได้
  • ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยและอังกฤษอัจฉริยะ แบบ 2 โซน
  • การเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ
  • รองรับ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย
  • กุญแจอัจฉริยะ

สำหรับรุ่น Plus จะมีอุปกรณ์ภายในที่ถูกเพิ่มมาจากรุ่น Lite ทั้งหมด 4 รายการ ได้แก่ ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า พร้อมกับระบบนำทางแบบ AR มีแอปพลิเคชันความบันเทิงแบบออนไลน์ ทั้งยังมีระบบควบคุมรถผ่านแอป และที่ขาดไม่ได้คือ สามารถควบคุมการอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านทางออนไลน์ได้ ส่วนรุ่น Max ก็จะถูกเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ เข้ามาอีกหลายอย่าง เช่น ระบบการจดจำตำแหน่งเบาะคนขับ พร้อมกับระบบ Easy Entry & Exit ทั้งยังมีไฟสร้างบรรยากาศถึง 64 สี ส่วนหน้าจอสัมผัสใช้ขนาด 15.4 นิ้ว แบบซันฟลาวเวอร์

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่ของ Deepal S05 ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากอุปกรณ์ภายในและภายนอกของ Deepal S05 ที่มีความครอบคลุมแล้ว ฟังก์ชันและระบบการช่วยเหลือการขับขี่ก็ถือว่าครบครันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำรถเข้าออกช่องจอดในแนวตรงจากระยะไกล ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบควบคุมรถให้อยู่ในกลางเลน ระบบการเตือนหากพบความเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ซึ่งระบบต่าง ๆ เหล่านี้ในรุ่น Lite และ Plus จะได้เหมือนกัน ส่วนในรุ่น Max จะถูกเพิ่มระบบการควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉินเข้ามา รวมถึงระบบการช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการชนจากด้านหลัง ฯลฯ

รีวิวภายในรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

ระบบความปลอดภัยพื้นฐานของ Deepal S05 ทุกรุ่น

ทางด้านของระบบความปลอดภัยภายในรถที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้ผู้ขับขี่ในทุก ๆ รุ่นย่อย ก็ถือว่าครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่างรุ่น Lite ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย, กล้องมองภาพ 360 องศา แบบ 3D, โหมดเฝ้าระวัง, ระบบป้องกันล้อล็อก, ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ, เสียงเตือนคนภายนอกขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมกับ Auto Hold, ระบบสัญญาณป้องกันขโมย และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบตรวจจับแรงดันลมยาง พร้อมกับอุปกรณ์การอุดการรั่วซึมแบบชั่วคราว ฯลฯ

รีวิว สเปก รถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 EV vs REEV พร้อมราคาจำหน่าย

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 ทั้งรุ่น BRV ไฟฟ้า 100% และรถยนต์พลังงานทางเลือก REEV นั้น หากไม่นับเรื่องพลังงานที่ใช้แล้ว ถือได้ว่าอุปกรณ์พื้นฐานทั้งภายในและภายนอก รวมถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ถือว่าเหมือนกันเกือบทั้งหมด เช่น อุปกรณ์ภายนอกในรุ่น BRV Max แล REEV Max ก็จะมีเหมือนกัน จะต่างกันแค่พลังงานในการขับขี่เท่านั้น เพราะฉะนั้น หากผู้ใช้รถที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าแบบ 100% ก็ต้องเลือกกลุ่ม BRV แต่หากต้องการมีความยืดหยุ่นด้านพลังงาน ก็สามารถเลือกใช้รุ่น REEV ที่มีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันได้นั่นเอง