เตรียมแจ้งเกิด “แบรนด์ EV แห่งชาติ” พร้อมเปิดตัวรถใหม่ 3 ตัวถัง

ปลายปีนี้รอเลย! สำหรับการเตรียมแจ้งเกิดรถไฟฟ้าแบรนด์ไทย หรือ “แบรนด์ EV แห่งชาติ” ที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงได้ เพราะนับตั้งแต่ที่ตลาดรถ EV ในไทยเติบโต และมีค่ายรถมาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงทำให้รัฐบาลมองเห็นโอกาสที่จะยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ ฮับ EV ในภูมิภาค

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์ EV แห่งชาติ นับว่าเป็นก้าวสำคัญ ของการผลิตรถไฟฟ้าแบรนด์ไทยอย่างเป็นทางการ ที่ก่อนหน้าก็มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันบ้างแล้ว ว่าจะเป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์, ค่ายรถยนต์ CHERY, KING GEN และ สวทช. เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ในภูมิภาคอาเซียน หรือเป็น H​UB ใหญ่ในภูมิภาค

โดยการจับมือร่วมกันระหว่างภาครัฐกับค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน ถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี EV รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนรถในประเทศไทย ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้า EV ในราคาที่เป็นมิตรและง่ายมากขึ้น การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย เพราะมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์และมาตรฐานของรถที่ผลิตในประเทศ

สำหรับการสร้างแบรนด์รถ EV ของไทย ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในแง่ของภาษี เพราะเมื่อเป็นรถยนต์สัญชาติไทย ก็สามารถกำหนดเพดานราคาที่เหมาะสมสำหรับการจำหน่ายยานยนต์ได้ รวมถึงการกระตุ้นห่วงโซ่การผลิตในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพราะไม่ได้มีข้อดีแค่การผลิตรถในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจ้างงานและการพัฒนาเครือข่ายและการบริการที่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่า ในเบื้องต้นช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ในปี 2568 นี้ จะเป็นช่วงที่มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ครบถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งบริษัท กิจการร่วมค้าหรือบริษัทร่วมทุน และพันธมิตรทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของทาง Chery Automobile และ KGEN ก็ได้มีการเจรจาร่วมกันแล้ว ส่วนทางรัฐบาลไทยเรายังคงต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะมาตรการต่าง ๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ

เตรียมแจ้งเกิด แบรนด์รถ EV ของไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

พร้อมเปิดตัวรถ EV แบรนด์ไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

สำหรับรถยนต์ EV แบรนด์ไทย ตามการวางแผนด้านการลงทุนนั้น จะเริ่มเดินสายการผลิตด้วยการเปิดตัวรถยนต์ 3 Segments  หรือ 3 ตัวถัง ได้แก่ รถตู้อเนกประสงค์ (MPV), รถกระบะ (Pickup) และรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) โดยรถทุกรุ่นจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศกว่า 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ทำให้ราคารถยนต์ EV แบรนด์ไทย มีราคาที่ถูกลงกว่ารถที่นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาประกอบในไทย

โดยตัวถังของรถยนต์ EV แบรนด์ไทย นับว่าเป็นตัวถังที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดรถยนต์บ้านเราพอสมควร โดยเฉพาะการเลือกใช้รถยนต์อเนกประสงค์ ที่มีพื้นที่สัมภาระที่กว้างขวาง เหมาะทั้งการใช้งานทั่วไปและการสัมภาระของ และที่ขาดไม่ได้คือ การผลิตตัวถังที่เป็น รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ก็เป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นรถยนต์ที่หลาย ๆ คนนำมาใช้ในการประกอบอาชีพและการพาณิชย์  

ภาพรวมตลาดรถ EV ในไทย และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าในไทย

จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน ที่พร้อมจะผลิตรถยนต์ EV สัญชาติไทย ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถ EV ในไทยพอสมควร เพราะตลาดรถในไทยยังถือว่ายังเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะจากการลงทุนสร้างโรงงานและการทุ่มทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ที่ทาง CHERY และ OMODA & JAECOO ได้วางแผลการลงทุนพร้อมสร้างโรงงานที่ จ.ระยอง บนเนื้อที่ 104 ไร่ ก็น่าจะทำให้เห็นภาพรวมของตลาดรถ EV ในไทยได้เป็นอย่างดี

และสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะยังเติบโต ก็คือการดูจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 (มกราคม – มิถุนายน) โดยมียอดจดทะเบียนทั้งหมด 58,590 คัน นำโดยค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD ซึ่งยอดจดทะเบียนแยกตามแบรนด์ทั้งหมด 10 อันดับแรกของปีนี้ ได้แก่

  • BYD รวม 19,677 คัน
  • MG รวม 6,437 คัน
  • GAC AION รวม 6,345 คัน
  • GWM ORA รวม 3,471 คัน
  • DEEPAL รวม 3,226 คัน
  • TESLA รวม 2,637 คัน
  • DENZA รวม 2,377 คัน
  • NETA รวม 2,191 คัน
  • CHANGAN รวม 1,515 คัน
  • GAC HYPTEC รวม 1,385 คัน

และในช่วง 7 เดือนของปีนี้ มียอดจดทะเบียนรถไฟฟ้า BEV สะสมรวมทั้งหมด 81,179 คัน เพิ่มขึ้น 35.08% (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ) ซึ่งก็น่าจะเป็นทิศทางที่สำคัญ ที่ทำให้เห็นว่ารถยนต์ EV ในไทย ยังคงเติบโตและยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันในบางกลุ่ม ที่มีการลดจำนวนการผลิตลง อาทิ รถกระบะ ที่ยอดผลิตเพื่อขายในไทยลดลง 6.54% และส่งออกลดลง 8.61% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบและความเข้มงวดของการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะ อันเป็นผลมาจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวต่ำ

นอกจากนี้ ในมุมมองของการวิจัยเอง ยังมองว่าในช่วงปี 2567 – 2569 รถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่เป็นไฟฟ้า 100% หรือกลุ่มรถ EV Fleet จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งไฟฟ้า ที่จากการคาดการณ์มองว่ามียอดจดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 96,000 คัน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่จำนวน 190,000 คัน/ปี (ที่มา : บทความวิจัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี)

ส่วนรถโดยสารไฟฟ้าและรถฟลีท ก็อาจมียอดจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,200 และ 1,200 คัน ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการลดภาระและค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง ที่ในปัจจุบันก็มีหลาย ๆ ธุรกิจที่หันมาใช้โมเดล EV Fleet Solutions แล้วเช่นกัน และในบางธุรกิจก็หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแล้วในปัจจุบันนี้

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าของไทย

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า จากการเตรียมผลิตแบรนด์รถ EV สัญชาติไทย หรือ แบรนด์ EV แห่งชาติ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าเข้าสู่ Net Zero ได้ไวมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อยานยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน ด้วยราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกลง ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค และที่ขาดไม่ได้คือ การให้บริการ EV Charger ในพื้นที่ต่าง ๆ เรียกว่า เป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยมีรากฐานการผลิตของรถอีวีที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเลยก็ว่าได้

มัดรวมไฮไลต์เด็ด Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

ในช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้ งานใหญ่สำหรับคนรักรถอย่าง Motor Expo 2025 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็เตรียมส่งไฮไลต์เด็ด ๆ พร้อมกับโปรสุดคุ้มค่าส่งท้ายปี! บอกเลยว่าปีนี้งานมหกรรมยานยนต์มาในธีม “อลังการงานแสดง” ที่มีทั้งการขนทัพรถยนต์มาใหม่ โปรออกรถ และสิทธิพิเศษมากมาย โดยงานนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ที่กำลังจะถึงนี้

ไฮไลต์ Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

Motor Expo 2025 กับธีมงาน “อลังการงานแสดง”

สำหรับงาน Thailand International Motor Expo 2025 หรืองาน มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ มาในธีมงานที่น่าสนใจอย่าง “อลังการงานแสดง The Magnificent Motor Expo” ที่จะนำแสง สี เสียง และนวัตกรรมมาไว้ในงานเดียว เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่ที่งาน Motor Expo ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องถึง 4 ทศวรรษ

และในคำว่า “อลังการงานแสดง” ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวงานเท่านั้นที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังหมายรวมไปถึง การใช้พื้นที่อลังการ, มีบริษัทที่เข้าร่วมอลังการ และคนที่ซื้อของในงานก็อลังการไม่แพ้กัน เพราะในปีนี้นอกจากจะมีบริษัทเข้าร่วมมากกว่างาน Motor Expo 2024 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังการันตีได้ว่า โปรโมชันก็อลังการและจัดเต็มยิ่งกว่าปีที่แล้วทั้งหมดตามธีมงานในปีนี้  (ที่มา FB : Thailand International Motor Expo)

ไฮไลต์งาน Motor Expo อลังการงานแสดง

มัดรวมไฮไลต์ในงาน Motor Expo 2025 ปลายปีนี้

ไฮไลต์หลัก ๆ ของงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 หรือ Motor Expo 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นในปลายปีนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นโปรโมชันและกิจกรรมพิเศษ ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกกัน ทั้งการแจกรถภายในงาน ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถ และอื่น ๆ อีกมากมาย

Motor Expo 2025 แจกรถยนต์และบิ๊กไบค์

1. Motor Expo 2025 แจกใหญ่รถยนต์ 3 คัน!

ในปีนี้ทาง IMC สื่อสากล ที่เป็นผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็ได้เปิดรายละเอียดมาแล้วว่า งาน Motor Expo 2025 ปีนี้ จะมีการแจกรถยนต์ทั้งหมด 3 คัน โดยเป็นการมอบโชคคืนกำไรให้กับผู้ชมงาน ดังนี้

  • ผู้ชมหรือผู้ที่เข้าร่วมงาน ที่จองหรือซื้อรถยนต์ในงาน Motor Expo 2025 จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในกิจกรรม “ซื้อรถ…ชิงรถ” โดยมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ AVATR 11 รุ่น Standard Range รถยนต์ SUV ไฟฟ้าพรีเมียม มูลค่า 2,099,000 บาท
  • ผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชมงานมูลค่า 100 บาท จะได้สิทธิ์ชิงโชคในรายการ “ซื้อบัตร…ชิงรถ” โดยได้ลุ้นรับรางวัล Mitsubishi Xforce รุ่น Ultimate มูลค่า 1,059,000 บาท
  • ผู้ชมที่ดาวน์โหลด Motor Expo Application พร้อมลงทะเบียนและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมกับรับชมงานผ่านทางแอปฯ จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ไฟฟ้า Wuling Binguo รุ่น DC Icon มูลค่า 429,000 บาท

2. ลุ้นรับรถบิ๊กไบค์ 1 คัน เมื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ในงาน

สาวกคนรักรถมอเตอร์ไซค์ ที่เข้าร่วมงานและซื้อมอเตอร์ไซค์ภายในงาน Motor Expo ก็จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในแคมเปญ “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิ๊กไบค์” โดยจะได้รับเป็นรถจักรยานยนต์รุ่น Suzuki รุ่น GGX – 8R มูลค่า 419,000 บาท

3. เปิดตัวรถยนต์ใหม่ พร้อมนวัตกรรมที่น่าสนใจเพียบ!

อีกหนึ่งไฮไลต์หลัก ๆ ของงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็คือการเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน ทั้งรถยนต์ทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้า ที่ในปีนี้ก็น่าจะมีรถรุ่นใหม่ ๆ เปิดตัวพร้อมเตรียมตัวบุกตลาดรถยนต์ในไทยกันหลายรุ่น โดยรถยนต์ EV ที่น่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้ ก็มีหลายรุ่นที่มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง จัดเต็มทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปจากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งผู้ที่สนใจรถสามารถมาทดลองนั่ง ทดลองขับ และสัมผัสคันจริงได้ภายในงาน โดยที่มีทีมงานและเจ้าหน้าที่มืออาชีพคอยให้บริการแบบจัดเต็ม  

โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีโอกาสจะเปิดตัวในงาน ก็มีทั้ง BYD Dolphin, BYD Atto 3 Minorchange, Isuzu D-Max EV, Denza Z9 GT และ Mazda EZ – 6 ส่วนค่ายรถที่เข้าร่วมงานก็ขนทัพมาครบ ทั้งค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Honda, Mazda, Mitsubishi, Ford, Nissan, Volvo และยังมีแบรนด์รถไฟฟ้ายอดฮิตอีกเพียบ Volt, Tesla, Omoda & Jaecoo, Wiling, Aion และ Xpeng

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

สำหรับงาน Motor Expo 2025 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 โดยในรอบสื่อจะจะขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 – 22.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็คเมืองทองธานี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถซื้อบัตรเข้างานได้ ในราคาเพียง 100 บาทเท่านั้น โดยจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ www.motorexpo.co.th และที่หน้างาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารยานยนต์ หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time อย่าลืมติดตามข่าวสารจากทาง Plughaus Thailand บอกเลยว่า เราพร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารที่สดใหม่ พร้อมอัปเดตข่าวเด็ดในวงการรถยนต์ EV ให้แบบไม่มีกั๊ก เพื่อเอาใจสาย Go Green โดยเฉพาะ

แท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro ตัวช่วยเซฟตี้สำหรับ EV Charger

ปัญหาและความกังวลจากการติดตั้ง EV Charger หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ผู้ใช้รถกังวลมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นอัคคีภัย เพราะถึงแม้ว่าจะติดตั้งตามมาตรฐานแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังการใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนเช่นเดิม โดยในปัจจุบันนี้ก็มีอุปกรณ์ที่ช่วยลดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ MAUS Stixx Pro หรือแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าได้แล้ว ยังเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่าย ทำงานได้ไว และได้รับความนิยมในตอนนี้

แท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro

รู้จักแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro จากสวีเดน

MAUS Stixx Pro หรือแท่งดับเพลิงอัตโนมัติจากสวีเดน ถูกออกแบบมาให้ช่วยลดปัญหาอัคคีภัยจากต้นตอโดยตรง เพื่อลดโอกาสการลุกลามของไฟเมื่อเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งหลักการในการทำงาน ตัวแท่งดับเพลิงจะทำการปล่อยสาร Potassium Mix หรือสารโพแทสเซียมผสมออกมา หลังจากที่ตรวจจับได้ว่าอุณหภูมิในขณะนั้นสูงกว่า 180 องศาเซลเซียส ใช้งานได้ในพื้นที่ 0.1 ลูกบาศก์เมตร (m³) โดยสารที่ใช้ดับเพลิงนอกจากจะปล่อยออกมาได้แบบอัตโนมัติแล้ว ยังเป็นสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ

นอกจากนี้ แท่งดับเพลิงอัตโนมัติของ MAUS Stixx Pro ยังสามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ ป้องกันน้ำได้ 100% หมดกังวลว่าหากติดตั้งไว้แล้วเจออุทกภัยหรือน้ำท่วม แท่งดับเพลิงจะไม่ทำงาน เพราะการทำงานของแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการเกิดเพลิงไหม้เท่านั้น เพราะจะยึดตามอุณหภูมิที่สูงถึง 180 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า หากพื้นที่ที่ติดตั้งมีอุณหภูมิสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวแท่งดับเพลิงก็จะทำการปล่อยสาร Potassium Mix ออกมาทันที ถึงแม้ว่าจะยังไม่เกิดประกายไฟ

แท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro มาตรฐาน NFPA

และที่สำคัญคือ แท่งดับเพลิงอัจฉริยะ MAUS Stixx Pro ยังได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยหลายรางวัล หนึ่งในนั้นคือ NFPA (National Fire Protection Association) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของโลก ที่สนับสนุนกิจกรรมด้านการป้องกันอัคคีภัย โดยในปัจจุบันมี NFPA Member กว่า 75,000 ราย และมีองค์กรการค้าระดับนานาชาติเป็นสมาชิกกว่า 80 องค์กร จึงสามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่า แท่งดับเพลิงอัตโนมัติจะช่วยลดความเสียหายจากอัคคีภัยได้จริง และเป็นการป้องกันเหตุไฟไหม้จากต้นตอ

สำหรับอายุการใช้งานของแท่งดับเพลิงหลังการติดตั้ง MAUS Stixx Pro สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ปี และตัวอุปกรณ์สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ช่างไฟฟ้าหรือช่างผู้เชี่ยวชาญดำเนินการติดตั้งให้ ก็สามารถใช้งานแท่งดับเพลิงได้ เพียงแค่ลอกสติกเกอร์ออกแล้วติดไว้ที่ตู้เมนเบรกเกอร์ หรือตู้ไฟภายในบ้าน เพียงเท่านี้ก็สามารถติดตั้ง MAUS Stixx Pro ได้แล้ว

แน่นอนว่า ตัวแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro นี้ มีขนาดที่เล็กมาก ๆ ด้วยความยาวเพียงแค่ 9.8 ซม. และความกว้างอยู่ที่ 1.8 ซม. สูง 1 ซม. ส่วนน้ำหนักก็ถือว่าเบามาก ๆ เพราะมีน้ำหนักเพียงแค่ 26 กรัม เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักของตู้เมนเบรกเกอร์ หรือพื้นที่ที่ใช้สำหรับติดตั้งแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ

การติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

พื้นที่สำหรับติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

สำหรับการติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro นั้น เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ปิด หรืออุปกรณ์ที่มีฝาปิด ซึ่งการติดตั้งแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวงจรไฟฟ้าแม้แต่น้อย โดยการติดตั้งสามารถเลือกติดตั้งได้ทั้งตู้เมนเบรกเกอร์ ตู้ไฟ ห้องเครื่องรถยนต์ รวมถึงตู้ชาร์จของ Home Charger ฯลฯ

ราคาแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

สำหรับราคาจำหน่ายของแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro จำหน่ายเพียงแค่ 2,900 บาท จากปกติ 3,900 บาท (เฉพาะที่ Plughaus Thailand) โดยอายุการใช้งานหลังการติดตั้งคือ 5 ปี โดยลูกค้าที่ติดตั้ง Home Charger ที่ต้องการติดตั้ง MAUS Stixx Pro ไปพร้อม ๆ กัน สามารถแจ้งความต้องการกับทาง Plughaus ได้เลย

ข้อดีของการติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pr

ข้อดีของการติดตั้ง MAUS Stixx Pro

  • หมดกังวลเรื่องอัคคีภัยหรือปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรในบ้าน ที่นำไปสู่การความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
  • เป็นแท่งดับเพลิงที่ปลอดภัย ปลอดสารพิษ เป็นมิตรต่อบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ปิดหลายแบบ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านและที่อยู่อาศัยได้
  • อายุการใช้งานยาวนานถึง 5 ปี ราคาเพียง 2,900 บาท เฉลี่ยตกเพียงวันละ 1.5 บาทเท่านั้น
  • ติดตั้งเองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงลอกแผ่นสติกเกอร์ออก แล้วติดตั้งในพื้นที่ที่ต้องการเท่านั้น

ติดตั้ง EV Charger พร้อม MAUS Stixx Pro ครบ จบ ที่ Plughaus

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตาม สามารถเลือกบริการติดตั้งเครื่องชาร์จแบบครบวงจร พร้อมกับแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro ได้ที่ Plughaus Thailand ในราคาแพ็กเกจสุดคุ้ม หรือหากใครที่ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านไปแล้ว และต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านของคุณ ก็สามารถสั่งซื้อ MAUS Stixx Pro ในราคาเพียง 2,900 บาท ได้เช่นกัน พร้อมคำแนะนำการติดตั้งแบบครบ จบ ในที่เดียว

เปรียบเทียบเครื่องชาร์จ Portable กับ AC Charging แบบไหนดีกว่ากัน?

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเครื่องชาร์จ EV Charger นั้น ในปัจจุบันก็มีการแยกประเภทของเครื่องชาร์จออกเป็นหลายแบบ ทั้งการแยกตามการติดตั้ง และการแยกตามประเภทของหัวชาร์จ แต่สิ่งที่ต้องเคยได้ยินกันบ่อย ๆ คือ Portable Charger หรือเครื่องชาร์จไฟรถ EV แบบพกพา และเครื่องชาร์จแบบ AC Charging เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับเครื่องชาร์จไฟแบบพกพากันให้มากขึ้น ว่าสายชาร์จชนิดนี้ทำงานยังไง มีกี่ขนาด แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับการชาร์จแบบ AC จะแตกต่างกันมากแค่ไหน เลือกใช้แบบไหนดีกว่ากัน?​

เปรียบเทียบเครื่องชาร์จ EV Charger แบบ Portable กับ AC

เครื่องชาร์จ Portable Charger คืออะไร?

Portable Charger คือ เครื่องชาร์จไฟแบบพกพา หรือจะเรียกสายชาร์จเคลื่อนที่ก็ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จที่สามารถพกพาเอาไว้ในรถยนต์ EV ได้ เพื่อใช้นอกสถานที่หรือการเดินทาง ไม่ได้ติดตั้งกับผนังบ้านหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นกิจจะลักษณะ โดยรูปแบบการชาร์จจะเป็นแบบ Plug and Play สามารถเสียบชาร์จได้ง่าย ๆ ไม่ต้องมีการติดตั้งที่ซับซ้อน ก็สามารถชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกที่ที่ต้องการ จึงทำให้เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่หลาย ๆ คนนิยมซื้อติดรถเอาไว้

ข้อดี – ข้อจำกัด ของเครื่องชาร์จประเภท Portable Charger

ข้อดีของเครื่องชาร์จแบบ Portable Charger

  • มีราคาที่ถูกกว่าเครื่องชาร์จแบบติดผนัง อาทิ Portable Charger 7kW 32A มีราคาเฉลี่ยเพียงแค่ 3,000 – 10,000 บาท
  • มีความยืดหยุ่นในการใช้งานและมีความคล่องตัวสูง อยู่ที่ไหนก็ชาร์จไฟได้ เพียงแค่มีเต้ารับไฟเท่านั้น
  • ไม่ต้องติดตั้งเครื่องชาร์จติดผนังเหมือน Wallbox หรือ Home Charger แบบทั่วไป
  • ใช้งานได้ง่ายเพราะเป็นระบบการชาร์จแบบ Plug and Play
  • สามารถชาร์จไฟในระหว่างเดินทางได้ ลดความกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดเวลาเดินทางไกล  

ข้อจำกัดของเครื่องชาร์จ Portable Charger

  • การชาร์จไฟจะใช้เวลานานมากกว่า Home Charger ประเภท AC ที่นิยมติดตั้งไว้ที่บ้าน
  • หากความจุแบตสูงก็จะใช้เวลานานมากขึ้นในการชาร์จแต่ละครั้ง ส่งผลต่อกำลังไฟที่ใช้ภายในครัวเรือนด้วย
  • โดยปกติแล้วเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา Portable Charger ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเป็นครั้งคราว ไม่เหมาะในการใช้งานเป็นประจำทุก ๆ วัน เพราะประสิทธิภาพน้อยกว่า AC Charger  อย่างชัดเจน
  • สามารถสึกหรอได้ง่าย เพราะต้องถอดและเสียบเข้าเต้ารับทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟ รวมถึงการสึกหรอจากการกระเทือนในระหว่างการขับขี่
ข้อดี – ข้อจำกัด ของเครื่องชาร์จ AC หรือ Home Charger

เครื่องชาร์จ AC หรือ Home Charger

นอกเหนือจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV แบบพกพา Portable Charger แล้ว การชาร์จไฟอีกอย่างหนึ่งที่คนใช้รถยนต์ EV รู้จักกันดีก็คือ Home Charger หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จประเภท AC Charging หรือ Normal Charge ที่ใช้ระบบการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ พบเห็นได้ทั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านและตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ที่ให้บริการตามสถานที่ต่าง ๆ นั่นเอง

โดยเครื่องชาร์จ AC นี้ จะมีความแตกต่างกันกับ Portable Charger อย่างชัดเจน เพราะเป็นเครื่องชาร์จที่ติดตั้งเข้ากับผนังบ้านโดยตรง (บางบ้านอาจเลือกติดตั้งไว้กับเสาบ้าน หรือเสาติดตั้งเครื่องชาร์จก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้) เรียกง่าย ๆ ก็คือ Home Charger เป็นเครื่องชาร์จที่ติดตั้งอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีการเคลื่อนที่หรือพกพาออกไปใช้นอกบ้านเหมือน Portable EV Charger

ข้อดีของเครื่องชาร์จแบบ Home Charger

  • สามารถชาร์จไฟได้ทุกเวลาที่ต้องการ ในพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องชาร์จเอาไว้
  • ใช้งานง่าย มีหลายระบบให้เลือกใช้ เช่น Plug and Play เสียบแล้วชาร์จไฟได้เลย
  • ในปัจจุบันมีเครื่องชาร์จรุ่นใหม่ ๆ ที่พัฒนาให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุม เช่น การใช้ RFID
  • บางรุ่นมีแอปพลิเคชันให้ใช้งาน ตั้งเวลาการชาร์จได้ และตรวจสอบการใช้พลังงานของรถ EV ได้
  • ให้พลังงานที่มากกว่า Portable Charger เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความจุแบตสูง
  • ใช้งานได้ยาวนานมากกว่า และเป็นเครื่องชาร์จที่เหมาะกับรถยนต์ EV มากที่สุด
  • ชาร์จไฟได้อย่างสบายใจ เพราะการติดตั้ง Home Charger ไว้ที่บ้าน จะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟที่มีใบรับรอง ที่สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จให้ถูกต้องตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน. ได้
  • ในปัจจุบันเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมีหลากหลายราคาให้เลือก โดยส่วนมากเป็นแพ็กเกจค่าเครื่องที่รวมกับค่าติดตั้งเอาไว้แล้ว เช่น Teison Smart Mini ที่มีราคาเพียง 17,900 บาทเท่านั้น

ข้อจำกัดของเครื่องชาร์จไฟ Home Charger

  • การติดตั้งเครื่องชาร์จจะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตหรือใบรับรองเท่านั้น
  • เครื่องชาร์จประเภท Home Charger จะเป็นการติดตั้งกับผนังหรือเสา ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
  • ต้องมีการประเมินระบบไฟฟ้าของบ้านควบคู่กับเครื่องชาร์จที่ต้องการใช้ เช่น ไฟฟ้าวงจรที่ 2 หรือแม้กระทั่งการติดตั้งเครื่องชาร์จควบคู่กับ Solar Cell
  • หากเทียบกับ Portable Charger แล้ว เครื่องชาร์จ EV แบบติดผนัง จะมีราคาที่สูงกว่า
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีบ้านหรือที่พักอาศัยเป็นของตนเอง เพราะการติดตั้งเครื่องชาร์จ AC Charger ไว้ที่บ้าน เป็นการติดตั้งเพื่อใช้งานในระยะยาว
การเลือกใช้เครื่องชาร์จ Portable กับ AC Charger

เลือก Portable Charger กับ AC Charging แบบไหนคุ้มกว่า?

จริง ๆ แล้วการเลือกเครื่องชาร์จทั้งแบบ Portable Charger และ AC ที่เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งหากใครที่มีรถยนต์ไฟฟ้าและพักอาศัยอยู่ที่บ้าน มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จ จะเหมาะสำหรับการใช้ Home Charger เป็นหลักมากกว่า เพราะใช้เวลาชาร์จไม่นาน เสียบชาร์จทิ้งไว้ได้โดยไม่เป็นอันตราย ให้กำลังไฟมากกว่า ทั้งยังใช้งานได้ยาวนานกว่าเครื่องชาร์จแบบพกพา

และหากต้องการใช้ Portable Charger ร่วมด้วย ควรใช้เป็นเครื่องชาร์จไฟแบบพกพา เพื่อใช้งานนอกสถานที่เป็นหลัก โดยเฉพาะการเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วกังวลว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะจะไม่เพียงพอ เพราะเพียงแค่มีเต้ารับก็สามารถชาร์จไฟเข้ารถได้แล้ว ซึ่งเครื่องชาร์จประเภทนี้จะเหมาะสำหรับการใช้เป็นเครื่องชาร์จสำรองมากกว่าการใช้เป็นเครื่องชาร์จหลักที่ใช้เป็นประจำทุกวัน

ติดตั้ง EV Charger ที่มีมาตรฐานเลือก Plughaus

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ หรือช่างไฟฟ้าที่มีความชำนาญด้านการติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ สามารถเลือกติดตั้ง Home Charger กับทาง Plughaus Thailand ได้เลย โดยเรามีเครื่องชาร์จให้บริการหลากหลายรุ่นให้เลือกสรร รองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จประเภท Type 2 ทำให้ใช้กับรถยนต์ EV ได้ทุกรุ่นที่จำหน่ายในไทย และที่สำคัญคือ ก่อนการติดตั้งเราจะมีการตรวจสอบพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จให้อย่างละเอียด พร้อมให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้การใช้งานเครื่องชาร์จรถ EV ปลอดภัยมากที่สุดตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน.