มัดรวมรถยนต์ไฟฟ้าน่าซื้อ ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท ฉบับปี 2025

หลังจากที่ทาง Plughaus Thailand ได้แนะนำรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้ในปี 2025 แบบจัดเต็มครบทุกรุ่นดังกันไปแล้ว งานนี้เราจะมาเอาใจคนงบน้อยโดยเฉพาะ ด้วยการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท ปี 2025 เพื่อเอาใจคนรักรถ EV ที่อยากมีรถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งานในงบเบา ๆ บอกเลยว่า มีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ ที่ถึงแม้จะเป็นรถไฟฟ้าราคาถูก แต่สเปกและสมรรถนะ ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานไม่ใช่น้อย และที่สำคัญ ดีไซน์ทันสมัยในงบไม่เกินครึ่งล้าน!

รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท BYD Dolphin

1. BYD Dolphin Standard Range

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก 2025 ที่เป็นกระแสและอยู่ในงบไม่เกิน 5 แสนบาทรุ่นแรก ที่เราอยากแนะนำมากที่สุดก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin Standard Range ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 70 kW ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Blade Battery LFP ให้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 44.9 kWh มีดีไซน์ที่ทันสมัย และจัดเต็มด้วยออปชั่นการใช้งาน โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยที่ถึงแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ได้ครบทุกระบบเหมือนกับรุ่นท็อปอย่าง Extended

ส่วนดีไซน์ภายนอกออกแบบมาให้สะท้อนถึงวิถีแห่งโลมา ด้วยศิลปะแห่งท้องทะเล ให้ความรู้สึกสนุกสนานและดูปราดเปรียวในคราวเดียวกัน ทั้งยังโดดเด่นด้วยไฟท้าย Geometric Polyline LED Tail Light ทรงเลขาคณิต ที่มีความทันสมัยและโฉบเฉี่ยว ทำให้ตัวรถให้ความโดดเด่นทุกองศา เช่นเดียวกับกุญแจที่ใช้แบบ Keyless Card พร้อมระบบ Keyless Entry และ Keyless Start ที่ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายตั้งแต่เริ่มต้น

ราคา BYD Dolphin Standard Range

  • ราคาจำหน่าย 499,900 บาท (ลดราคาจาก 569,900 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท Wuling Air EV

2. Wuling Air EV

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 5 แสนบาท อีกหนึ่งรุ่นที่อยากแนะนำเลยก็คือ Wuling Air EV รถยนต์อีวีขนาดเล็ก ด้วยการเป็น Hatchback 3 ประตู 4 ที่นั่ง มีไซซ์ที่กะทัดรัด มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 40 แรงม้า มีความจุตั้งแต่ 16.3 kWh ไปจนถึง 26.7 kWh ในรุ่นท็อป โดยตัวรถมาพร้อมกับการออกแบบไฟหน้า LED ให้มีความน่ารักเข้ากับสมัยนิยม พร้อมกับโลโก้ที่ด้านหน้ารถ ใช้ดีไซน์ตามสไตล์ Kei Car ที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น มีประตู 2 บาน รวมกับประตูด้านหลังเป็น 3 บาน

สำหรับตัวรถสามารถขับขี่ได้ไกลสูงสุด 200 กม. ในรุ่น Standard Range และในรุ่น Long Range ขับขี่ได้ไกล 300 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนความเร็วสูงสุดคือ 106 กม./ชม. ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LEP รองรับการชาร์จ AC Type 2 โดยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยก็ถือว่าครบครัน อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, รถบบกระจายแรงเบรก และเซนเซอร์ช่วยจอด ส่วนกุญแจใช้ระบบ Immobilizer

ราคา Wuling Air EV

  • Wuling Air EV รุ่น Standard Range ราคา 395,000 บาท
  • Wuling Air EV รุ่น Long Range ราคา 465,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท AION UT

3. AION UT

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไซซ์มินิราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่าง AION UT ถือเป็นคู่แข่งที่ออกมาท้าชนกับ BYD Dolphin โดยเฉพาะ ที่น่าจะเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่กำลังจะถึงนี้ มาพร้อมกับขุมพลัง 2 แบบ ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 50 kWh และ 60 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 500 กม./ชาร์จ โดยตัวรถมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ หน้าจอสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว, แท่นชาร์จโทรศัพท์ Wireless Charger รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay

และที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า AION UT ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าที่แข็งแรงสูง คิดเป็น 71% ของตัวถัง พร้อมกับ Magazine Battery 2.0 ที่ปลอดภัยสูง ทนต่อแรงบิดในระดับ 180 องศาได้ โดยที่ไม่เกิดประกายความร้อน ทำให้ปลอดภัยในการขับขี่ในทุก ๆ สภาวะ รวมถึงในช่วงที่อากาศมีความร้อนสูง

ราคา AION UT

  • ราคาอย่างเป็นทางการ รถยนต์ไฟฟ้า AION UT คาดว่าเริ่มต้นที่ 499,900 บาท ในรุ่นเริ่มต้น
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท VOLT City EV

4. VOLT City EV

รถยนต์ไฟฟ้าไซซ์มินิอย่าง VOLT City EV มี 2 รุ่น คือ รุ่น 3 ประตู​ FOR – Two และรุ่น 5 ประตู FOR – Four จัดจำหน่ายโดยบริษัท EV Primus ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความร่วมมือของ 3 บริษัทชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น DongFeng Motor, Zhengzhou Nissan และ Beijing Hongrui Automotive Technology โดยมีอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน อาทิมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล, โหมดการขับขี่ Economy และ Sport, ช่องจ่ายไฟ USB A 2 ตำแหน่ง, กุญแจ Central Lock นอกจากนี้ รุ่นท็อปยังมีจอแสดงข้อมุลแบบ Multi-Function แบบ Double Screen ให้ด้วย

โดยในรุ่น 3 ประตู สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 165 กม./ชาร์จ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต 11.8 kWh ส่วนในรุ่น 5 ประตู วิ่งได้ไกลสูงสุด 200 กม./ชาร์จ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต 16.5 kWh ซึ่งข้อจำกัดของ VOLT City EV คือไม่สามารถชาร์จไฟแบบ DC Charger หรือ Fast Charge ได้ รองรับเฉพาะการชาร์จแบบ AC เท่านั้น จึงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานในครัวเรือน และการวิ่งในเมืองเป็นหลัก

ราคา VOLT City EV

  • VOLT FOR-TWO Classic ราคา 325,000 บาท
  • VOLT FOR-TWO TOP ราคา 355,000 บาท
  • VOLT FOR-FOUR ราคา 385,000 บาท
  • VOLT FOR-FOUR Premium ราคา 415,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้า 2025 ไม่เกิน 5 แสนบาท NETA V-II

5. NETA V-II

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดไม่เกินครึ่งล้าน ก็ต้องยกให้กับ NETA V-II รถยนต์อีวีสไตล์ City Car ที่รองรับได้สูงสุด 5 ที่นั่ง ที่เปิดตัวมาในงาน Motor Show 2025 ล่าสุด พร้อมกับแนวคิด Smart & Play เน้นดีไซน์โฉบเฉี่ยว ฟังก์ชันครบครัน ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม ไฟหน้าท้ายใช้แบบ LED ทั้งหมด ส่วนภายในห้องโดยสารออกแบบในสไตล์ Hi-Tech Minimalist Concept พร้อมกับจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนต์ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อด้วยระบบ Apple CarPlay

ส่วนขุมพลังในการใช้งานก็ถือว่าเพียงพอสำหรับคนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกมาไว้ใช้งาน เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 70 kW ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า จับคู่มากับแบตเตอรี่ Lithium – ion วิ่งได้ไกลสูงสุด 382 กม./ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ EV ปี 2025 ที่น่าใช้งาน ในงบเบา ๆ ไม่เกิน 5 แสนบาทอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง

ราคา NETA V-II

  • ปรับราคาลงตั้งแต่ 1 พ.ค. 2025 เหลือเพียง 3xx,000 บาท (จากราคาที่ลดมาแล้ว 429,000 – 459,000 บาท)

สรุป

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท ถือว่ามีหลายรุ่นมาก ๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ AION UT คู่แข่ง BYD Dolphin ที่คาดว่าจะมีราคาไม่เกิน 5 แสนบาท และจะประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ และในตอนนี้ก็มีหลาย ๆ รุ่น ที่ประกาศลดราคากันอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ NETA V-II ที่นอกจากจะลดราคาเหลือเพียง 3 แสนกว่าในรุ่นเริ่มต้นแล้ว ยังมีโปรโมชั่นแถมฟรีประกันภัยชั้น 1 รวมถึง Wallbox อีกต่างหาก ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการหารถยนต์ EV ในราคาที่ย่อมเยา และต้องการเปรียบเทียบความคุ้มค่าในหลาย ๆ ด้าน ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว้ใช้งาน

แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้รถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญอย่าง “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็ต้องมีความพร้อมในการใช้งานเช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีหลายปัจจัยเช่นกันที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาผู้ใช้รถมาดูกันว่า แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง แล้วอาการรถไฟฟ้าแบตเสื่อมสังเกตได้อย่างไร สรุปจบง่าย ๆ สำหรับผู้ใช้รถโดยเฉพาะ

ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

6 ปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่รถ EV ลดน้อยลง

ในบรรดาปัจจัยที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว ถือว่ามีหลายสาเหตุพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิในการทำงานของแบตเตอรี่รถ รอบการใช้งาน และที่ขาดไม่ได้คือ การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพ และ Charge Cycle โดยตรง

1. อุณหภูมิการใช้งาน

โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานได้ดีที่สุดในอุณหภูมิ 30 – 60 องศาเซลเซียส หากสูงมากกว่านี้ก็จะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ เช่น ชาร์จไฟในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป หรือการจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เซลล์แบตเตอรี่เสียหายแล้ว ยังทำให้ความจุแบตลดลงด้วย

2. รอบการใช้งาน หรือรอบการชาร์จ

ซึ่งโดยปกติจะมีรอบการชาร์จรถ EV ตั้งแต่ 3,000 รอบขึ้นไป ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10 – 20 ปี นั่นหมายความว่า ยิ่งมีรอบการชาร์จมากเท่าไหร่ อายุการใช้งานก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ควรชาร์จไฟทุกวันหากไม่จำเป็น

3. การชาร์จไฟแบตรถยนต์ EV ด้วยระบบ DC Charging

สำหรับการชาร์จด้วยระบบ DC Charging หรือ Fast Charging บ่อยเกินไป ก็ส่งผลต่อการเสื่อมของตัวแบตได้ไวเช่นกัน เพราะการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไวนั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรเลือกชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC Charging เป็นหลักจะดีกว่า ส่วนการชาร์จด่วนสามารถชาร์จได้เมื่อมีระยะเวลาจำกัด

4. ปล่อยให้แบตเหลือ 0%

การใช้รถจนแบตเหลือน้อยมาก ๆ จนเกือบจะเป็น 0% อยู่บ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมสภาพได้ไว เพราะการปล่อยให้แบตเหลือน้อย ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักมากขึ้น ตัวแบตมีความร้อนสูง จึงทำให้อายุการใช้งานแบตน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. การชาร์จไฟบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น

โดยปกติแล้วควรจะรักษาระดับแบตเอาไว้ให้อยู่ที่ระดับ 25 – 75% นั่นหมายความว่า หากแบตเตอรี่ไม่ได้เหลือน้อยก็ยังไม่จำเป็นต้องชาร์จ และหากต้องจอดรถไว้นาน ๆ ก็ควรมีการกระตุ้นไฟเข้าแบตเตอรี่ด้วยการสตาร์ทรถทิ้งไว้บ้าง เพื่อป้องกันอาการ Over Discharge

6. พฤติกรรมการใช้รถ

โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่แบบกระชาก ออกตัวแรง เร่งแรง และเบรกแรงบ่อย ๆ รวมถึงการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้น เพราะตัวแบตมีความร้อนสะสม ทำให้เสื่อมสภาพได้ไว อายุการใช้งานก็น้อยลงตามไปด้วย

จะเห็นได้เลยว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ Charge Cycle หรือ Cycle Life ของแบตเตอรี่รถยนต์ EV โดยตรง ยังไม่นับรวมการจอดรถกลางแจ้ง หรือพฤติกรรมการขับขี่ ที่ส่งผลต่อการทำงานของแบตเตอรี่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้แบตเตอรี่รถ EV มีอายุการใช้งานที่น้อยลง

การดูแลรักษาและยืดอายุการใช้งานแบตรถ EV)

วิธีเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเรื่อมเสื่อม

สำหรับการเช็กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ EV เสื่อมหรือไม่ สามารถเช็กจากอาการรถไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ในระหว่างการขับขี่ หรือจากการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ดังนี้

  • ระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลดน้อยลงอย่างชัดเจน อาทิ ปกติชาร์จไฟรถ EV ไว้ที่ระดับ 80 – 90% จะสามารถขับขี่ได้ในระยะทาง 400 กม. แต่หลัง ๆ เริ่มวิ่งได้ไม่เกิน 350 กม. ให้สันนิษฐานเอาไว้ได้เลยว่านี่คืออาการแบตรถ EV เริ่มเสื่อมแน่นอน
  • ระยะเวลาการชาร์จไฟนานมากขึ้น หรือเร็วกว่าปกติ ทั้งการชาร์จแบบ AC และ DC Charging ซึ่งปกติแล้วเราจะคาดเดาได้คร่าว ๆ อยู่แล้ว ว่ารถที่ขับใช้เวลาชาร์จมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ลองสังเกตเวลาในการชาร์จไฟดู ว่าเวลาคลาดเคลื่อนจากปกติหรือไม่
  • ชาร์จไฟแล้วแบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ซึ่งอาการนี้คือการบอกว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถจัดการกับความร้อนได้ดีเท่าที่ควร
  • ประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วลดน้อยลง แต่ต้องดูควบคู่ไปกับลมยางรถยนต์ไฟฟ้า และการบรรทุกในครั้งนั้น ๆ ด้วย หากลมยางปกติ และไม่ได้บรรทุกเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของอาการแบตรถ EV เสื่อม
  • ใช้งานแบบเดิมแต่เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการนี้จะค่อนข้างชัด เพราะหมายถึงแบตเตอรี่ไม่สามารถทำงานได้ดีเหมือนเคย
วิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้ยาวนาน

วิธีการถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้นาน

1. ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟให้เต็ม 100% ทุกวัน  

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จเมื่อถึงระดับที่เหมาะสม และควรรักษาช่วงการชาร์จเฉลี่ยให้อยู่ที่ 20 – 80% ของความจุแบต ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมากกว่าการชาร์จให้เต็ม 100% ทุกครั้ง และหากแบตเตอรี่ไม่ได้ลดลงมากก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จเพิ่มเสมอไป (ในรถยนต์ EV บางรุ่น จะกำหนดเอาไว้เลยว่า ให้ชาร์จไฟที่ระดับ 80% เท่านั้น)

2. อย่าปล่อยให้แบตเหลือน้อย หรือเกือบ 0% บ่อย ๆ

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ที่ค่ายรถยนต์พัฒนาขึ้นมา หลักการในการยืดอายุการใช้งานที่ดีที่สุด คือ ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยมาก ๆ หรือว่าเปอร์เซ็นต์ต่ำเกือบ 0% บ่อยเกินไป เพราะทำให้แบตทำงานหนักมากขึ้นจนเกิดความร้อนสูง และส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเช่นกัน

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

โดยหลักการนี้ครอบคลุมทั้งการจอดและการชาร์จในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ระบบการจัดการความร้อนของแบตทำงานได้ปกติ ไม่มีการรบกวนจากภายนอกเกินไป และยังรวมไปถึงการชาร์จไฟในขณะที่มีอุณหภูมิสูง ที่ไปเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในชุดแบตเตอรี่

4. ชาร์จไฟด้วย DC Charging ให้น้อยลง

อย่างที่อธิบายไปในข้างต้นว่า การชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ DC Charging คือตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ตัวเซลล์แบตเตอรี่เสื่อม เพราะเป็นการอัดประจุเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้น หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น แนะนำให้ชาร์จไฟแบบ AC Charging เป็นหลัก เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมไว

5. ตรวจลมยางรถ EV เสมอ ดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี

อีกหนึ่งวิธีการยืดอายุแบตเตอรี่ที่ทำได้ง่าย ๆ คือ การตรวจสอบลมยางรถยนต์ไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ ไม่ให้ลมยางต่ำเกินไปจนทำให้แบตรถ EV ทำงานหนัก และในควรใช้รถให้ถูกวิธี ไม่ขับกระชากเกินไป และควรตรวจสภาพรถตามระยะการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของระบบต่าง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน 

สรุป

สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ แบตรถ EV ไม่ให้เสื่อมไว ก็ถือว่ามีหลายวิธีที่ผู้ใช้รถไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะทำให้แบตมีอายุการใช้งานนานมากขึ้นแล้ว ยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งระบบด้วยเช่นกัน และหากใครที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ก็ควรเลือกติดตั้ง Home Charger เอาไว้ที่บ้าน เพราะนอกจากจะชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นการชาร์จไฟด้วยระบบ AC ที่ไม่ทำให้แบตเสื่อมไว และที่สำคัญคือ ไม่ต้องเสียค่าบริการที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟอีกด้วย

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อยู่ได้นานกี่ปี? พร้อมค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบต

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” ก็คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนรถ EV ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีประเด็นของแบตเตอรี่รถไฟฟ้ามาให้ติดตามกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะประเด็นของอายุการใช้งาน และราคาค่าเปลี่ยนแบต ที่หลายคนมองว่ามีราคาสูงเกินไป จนอาจเกิดความลังเลว่า จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าดีไหม จะคุ้มค่าหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ทาง Plughaus Thailand จะพาคุณมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV กันให้มากขึ้น ว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่ แล้วการถนอมแบตมีวิธีไหนบ้าง

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ในปัจจุบันนี้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีการเรียกชื่อหลายแบบมาก ๆ ซึ่งหากจำแนกออกเป็นประเภทจริง ๆ แล้ว สามารถแบ่งออกได้ถึง 7 ประเภท ได้แก่

1. แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด

หรือ Lead – Acid Battery ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดนี้มีมาตั้งแต่ยุครถยนต์สันดาป แต่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า โดยในท้องตลาดจะมี 3 ชนิดย่อยลงไป คือ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง และแบตเตอรี่กึ่งแห้ง ซึ่งแบตชนิดนี้จะนิยมนำมาใช้เป็นแบตสำรองเท่านั้น เพราะมีอายุการใช้งานที่สั้น มีการดูแลหลายส่วน ทำให้ส่งผลต่อการบำรุงรักษาในระยะยาว

2. แบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล – เมทัลไฮไดรด์

สำหรับแบตเตอรี่ Nickel-metal Hydride / Ni-MH เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์ประเภท HEV และ PHEV หรือก็คือรถที่ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน โดยมีอายุการใช้งานที่นานกว่าแบตลิเธียม แต่ว่าเก็บพลังงานได้น้อยกว่า ซึ่งรถที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ก็มีหลายรุ่น เช่น Toyota Camry Hybrid

3. แบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม

สำหรับแบตเตอรี่นิเกิล – แคดเมียม หรือ Nickel-Cadmium Battery / Ni-Cd เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง ค.ศ. 90 จุดเด่นคือ สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้เยอะ มีรอบการชาร์จ หรือ Cycle อยู่ที่ 500 – 1,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดคือ ต้องใช้พลังงานให้หมดก่อนถึงจะสามารถชาร์จใหม่ได้ ทั้งยังมีประเด็นเรื่องการรั่วไหลของสารแคดเมียม จึงทำกลายเป็นแบตเตอรี่ต้องห้าม และไม่มีการใช้ในรถยนต์ EV

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

4. แบตเตอรี่ลิเฮียมไอออน

แบตเตอรี่ Lithium Ion หรือ Li – ion เป็นแบตเตอรี่รถ EV ที่พบเจอกันได้บ่อยมาก ๆ และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับการใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ สมาร์ตโฟน ซึ่งข้อดีคือมีอายุการใช้งานที่มากกว่า และรองรับการชาร์จแบบเร็ว หรือ Fast Charge ทั้งยังนำกลับมาใช้ซ้ำได้  ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีรอบการชาร์จอยู่ที่ 500 – 10,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และหากมีอุณหภูมิที่ต่ำหรือสูงเกินไปก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานตามไปด้วย

5. แบตเตอรี่แบบตัวเก็บประจุไฟฟ้า

โดยแบตชนิดนี้แทบจะไม่ใช่แบตเตอรี่แบบ 100% มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าแบตอิเล็กโทรไลต์แบบเหลว มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และทนทาน ชาร์จไฟได้เร็วกว่าแบตแบบปกติมาก ทั้งยังมีรอบการชาร์จสูงถึง 100,000 – 1,000,000 ครั้ง แต่ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดคือ จ่ายไฟไม่เสถียร เก็บพลังงานได้น้อย ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งปัจจุบันนำไปใช้เป็นแค่ตัวช่วยในการรีดอัตราเร่งเท่านั้น ยังไม่ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ EV แต่อย่างใด

6. แบตเตอรี่โซลิดสเตต

เป็นแบตเตอรี่ที่สร้างกระแสได้เยอะมาก ๆ ในวงการแบตรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งตัวแบตเป็นแบบแข็ง ให้ความจุและประสิทธิภาพสูงกว่าแบตทุกชนิด รวมถึงอิเธียมไอออนถึง 10 เท่า และที่สำคัญคือ มีโอกาสติดไฟต่ำ เพราะไม่มีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้ ยังมีความเสถียรมากกว่าแบตชนิดอื่น ส่งผลให้ชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วมากขึ้น แต่ข้อจำกัด คือ ต้นทุนการผลิตสูง และการใช้งานจริงอาจเสี่ยงต่อการแตก หัก หรือได้รับความเสียหายจากการกระแทกจากการขับขี่ได้

7. แบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน

ตัวแบตเตอรี่โซเดียม – ไอออน หรือ Sodium Ion Battery / Na-Ion Battery เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แบตเกลือ” มีข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ต้นทุนการผลิตที่ถูกมากกว่า Li – Ion สามารถชาร์จไฟได้เกือบ 100% ภายในเวลาเพียง 20 นาที ทนความร้อนได้สูง มีรอบการชาร์จ 8,000 – 10,000 ครั้ง แต่ว่าข้อจำกัดคือให้พลังงานได้น้อยกว่า เพราะมี Energy Density ที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีรอบการวิ่งระยะสั้น ๆ

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้งาน)

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ได้กี่ปี?

อายุของแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV จะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตที่ใช้ รวมถึงปัจจัยที่ทำให้อายุแบตเตอรี่ลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานของแบตรถไฟฟ้า EV จะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10 – 20 ปี และโดยปกติแล้วผู้ให้บริการหรือค่ายรถยนต์ไฟฟ้า จะมีการรับประกันอายุการใช้งานอยู่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 – 180,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 8 ปี อย่างเช่น ค่ายรถยนต์ BYD ก็มีการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี หรือระยะทาง 160,000 กิโลเมตร

ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า!

สำหรับค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับค่ายรถที่เลือกใช้ รวมถึงประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์ EV ด้วยเช่นกัน โดยทาง Plughaus จะสรุปราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ของรภยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นมาให้ดูกัน ว่าในปัจจุบันแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่บ้าง?

  • รถยนต์ไฟฟ้า NETA V ราคา 420,000 บาท
  • BYD Dolphin ราคาเริ่มต้น 309,364.49 บาท
  • BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 320,121.50 บาท
  • BYD Seal ราคาเริ่มต้น 451,289.72 บาท
  • MG ZS EV ราคา 450,000 บาท
  • ORA Good Cat ราคา 445,000 – 580,000 บาท

ทั้งนี้ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ EV รุ่นอื่น ๆ อาทิ Tesla, Deepal จากแบรนด์ใหม่อย่าง ChangAn ยังไม่มีการเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่ทางหากเป็นราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถไฟฟ้า BYD มีการปรับราคาลดลงมาตามที่ระบุไว้ข้างต้น

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า และราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า EV นั้น มีหลายชนิดมาก ๆ ซึ่งในปัจจุบันค่ายรถยนต์ก็มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาคุณภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานมากขึ้น มีความทนทานกว่าเดิม รวมถึงการจัดแคมเปญต่าง ๆ เช่น การรับประกันแบตเตอรี่ แต่หากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต้องการความมั่นใจที่มากขึ้น ก็อาจเลือกใช้ประกันรถยนต์ EV ที่มีความครอบคลุมในหลาย ๆ ส่วนร่วมด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ ใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน หรือติดตั้ง Home Charger ไว้ที่บ้าน เพื่อลดการชาร์จแบบ Fast Charge บ่อย ๆ เพราะส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม