เตรียมแจ้งเกิด “แบรนด์ EV แห่งชาติ” พร้อมเปิดตัวรถใหม่ 3 ตัวถัง

ปลายปีนี้รอเลย! สำหรับการเตรียมแจ้งเกิดรถไฟฟ้าแบรนด์ไทย หรือ “แบรนด์ EV แห่งชาติ” ที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงได้ เพราะนับตั้งแต่ที่ตลาดรถ EV ในไทยเติบโต และมีค่ายรถมาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงทำให้รัฐบาลมองเห็นโอกาสที่จะยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ ฮับ EV ในภูมิภาค

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์รถ EV แห่งชาติ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

แบรนด์ EV แห่งชาติ นับว่าเป็นก้าวสำคัญ ของการผลิตรถไฟฟ้าแบรนด์ไทยอย่างเป็นทางการ ที่ก่อนหน้าก็มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันบ้างแล้ว ว่าจะเป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์, ค่ายรถยนต์ CHERY, KING GEN และ สวทช. เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV ในภูมิภาคอาเซียน หรือเป็น H​UB ใหญ่ในภูมิภาค

โดยการจับมือร่วมกันระหว่างภาครัฐกับค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน ถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี EV รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนรถในประเทศไทย ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้า EV ในราคาที่เป็นมิตรและง่ายมากขึ้น การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย เพราะมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์และมาตรฐานของรถที่ผลิตในประเทศ

สำหรับการสร้างแบรนด์รถ EV ของไทย ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในแง่ของภาษี เพราะเมื่อเป็นรถยนต์สัญชาติไทย ก็สามารถกำหนดเพดานราคาที่เหมาะสมสำหรับการจำหน่ายยานยนต์ได้ รวมถึงการกระตุ้นห่วงโซ่การผลิตในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพราะไม่ได้มีข้อดีแค่การผลิตรถในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจ้างงานและการพัฒนาเครือข่ายและการบริการที่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่า ในเบื้องต้นช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ในปี 2568 นี้ จะเป็นช่วงที่มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ครบถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งบริษัท กิจการร่วมค้าหรือบริษัทร่วมทุน และพันธมิตรทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของทาง Chery Automobile และ KGEN ก็ได้มีการเจรจาร่วมกันแล้ว ส่วนทางรัฐบาลไทยเรายังคงต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะมาตรการต่าง ๆ และกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ

เตรียมแจ้งเกิด แบรนด์รถ EV ของไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

พร้อมเปิดตัวรถ EV แบรนด์ไทย ด้วยรถ 3 ตัวถัง

สำหรับรถยนต์ EV แบรนด์ไทย ตามการวางแผนด้านการลงทุนนั้น จะเริ่มเดินสายการผลิตด้วยการเปิดตัวรถยนต์ 3 Segments  หรือ 3 ตัวถัง ได้แก่ รถตู้อเนกประสงค์ (MPV), รถกระบะ (Pickup) และรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) โดยรถทุกรุ่นจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศกว่า 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ทำให้ราคารถยนต์ EV แบรนด์ไทย มีราคาที่ถูกลงกว่ารถที่นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาประกอบในไทย

โดยตัวถังของรถยนต์ EV แบรนด์ไทย นับว่าเป็นตัวถังที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดรถยนต์บ้านเราพอสมควร โดยเฉพาะการเลือกใช้รถยนต์อเนกประสงค์ ที่มีพื้นที่สัมภาระที่กว้างขวาง เหมาะทั้งการใช้งานทั่วไปและการสัมภาระของ และที่ขาดไม่ได้คือ การผลิตตัวถังที่เป็น รถกระบะไฟฟ้า 100% ที่ก็เป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นรถยนต์ที่หลาย ๆ คนนำมาใช้ในการประกอบอาชีพและการพาณิชย์  

ภาพรวมตลาดรถ EV ในไทย และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าในไทย

จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน ที่พร้อมจะผลิตรถยนต์ EV สัญชาติไทย ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถ EV ในไทยพอสมควร เพราะตลาดรถในไทยยังถือว่ายังเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะจากการลงทุนสร้างโรงงานและการทุ่มทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ที่ทาง CHERY และ OMODA & JAECOO ได้วางแผลการลงทุนพร้อมสร้างโรงงานที่ จ.ระยอง บนเนื้อที่ 104 ไร่ ก็น่าจะทำให้เห็นภาพรวมของตลาดรถ EV ในไทยได้เป็นอย่างดี

และสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะยังเติบโต ก็คือการดูจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 (มกราคม – มิถุนายน) โดยมียอดจดทะเบียนทั้งหมด 58,590 คัน นำโดยค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD ซึ่งยอดจดทะเบียนแยกตามแบรนด์ทั้งหมด 10 อันดับแรกของปีนี้ ได้แก่

  • BYD รวม 19,677 คัน
  • MG รวม 6,437 คัน
  • GAC AION รวม 6,345 คัน
  • GWM ORA รวม 3,471 คัน
  • DEEPAL รวม 3,226 คัน
  • TESLA รวม 2,637 คัน
  • DENZA รวม 2,377 คัน
  • NETA รวม 2,191 คัน
  • CHANGAN รวม 1,515 คัน
  • GAC HYPTEC รวม 1,385 คัน

และในช่วง 7 เดือนของปีนี้ มียอดจดทะเบียนรถไฟฟ้า BEV สะสมรวมทั้งหมด 81,179 คัน เพิ่มขึ้น 35.08% (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ) ซึ่งก็น่าจะเป็นทิศทางที่สำคัญ ที่ทำให้เห็นว่ารถยนต์ EV ในไทย ยังคงเติบโตและยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันในบางกลุ่ม ที่มีการลดจำนวนการผลิตลง อาทิ รถกระบะ ที่ยอดผลิตเพื่อขายในไทยลดลง 6.54% และส่งออกลดลง 8.61% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบและความเข้มงวดของการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะ อันเป็นผลมาจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวต่ำ

นอกจากนี้ ในมุมมองของการวิจัยเอง ยังมองว่าในช่วงปี 2567 – 2569 รถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่เป็นไฟฟ้า 100% หรือกลุ่มรถ EV Fleet จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งไฟฟ้า ที่จากการคาดการณ์มองว่ามียอดจดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 96,000 คัน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่จำนวน 190,000 คัน/ปี (ที่มา : บทความวิจัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี)

ส่วนรถโดยสารไฟฟ้าและรถฟลีท ก็อาจมียอดจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,200 และ 1,200 คัน ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการลดภาระและค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง ที่ในปัจจุบันก็มีหลาย ๆ ธุรกิจที่หันมาใช้โมเดล EV Fleet Solutions แล้วเช่นกัน และในบางธุรกิจก็หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแล้วในปัจจุบันนี้

การเติบโตของตลาดรถ EV และแบรนด์รถไฟฟ้าของไทย

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า จากการเตรียมผลิตแบรนด์รถ EV สัญชาติไทย หรือ แบรนด์ EV แห่งชาติ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าเข้าสู่ Net Zero ได้ไวมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อยานยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน ด้วยราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกลง ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค และที่ขาดไม่ได้คือ การให้บริการ EV Charger ในพื้นที่ต่าง ๆ เรียกว่า เป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยมีรากฐานการผลิตของรถอีวีที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเลยก็ว่าได้

มัดรวมไฮไลต์เด็ด Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

ในช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้ งานใหญ่สำหรับคนรักรถอย่าง Motor Expo 2025 หรือ มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็เตรียมส่งไฮไลต์เด็ด ๆ พร้อมกับโปรสุดคุ้มค่าส่งท้ายปี! บอกเลยว่าปีนี้งานมหกรรมยานยนต์มาในธีม “อลังการงานแสดง” ที่มีทั้งการขนทัพรถยนต์มาใหม่ โปรออกรถ และสิทธิพิเศษมากมาย โดยงานนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ที่กำลังจะถึงนี้

ไฮไลต์ Motor Expo 2025 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

Motor Expo 2025 กับธีมงาน “อลังการงานแสดง”

สำหรับงาน Thailand International Motor Expo 2025 หรืองาน มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ มาในธีมงานที่น่าสนใจอย่าง “อลังการงานแสดง The Magnificent Motor Expo” ที่จะนำแสง สี เสียง และนวัตกรรมมาไว้ในงานเดียว เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่ที่งาน Motor Expo ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องถึง 4 ทศวรรษ

และในคำว่า “อลังการงานแสดง” ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวงานเท่านั้นที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังหมายรวมไปถึง การใช้พื้นที่อลังการ, มีบริษัทที่เข้าร่วมอลังการ และคนที่ซื้อของในงานก็อลังการไม่แพ้กัน เพราะในปีนี้นอกจากจะมีบริษัทเข้าร่วมมากกว่างาน Motor Expo 2024 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังการันตีได้ว่า โปรโมชันก็อลังการและจัดเต็มยิ่งกว่าปีที่แล้วทั้งหมดตามธีมงานในปีนี้  (ที่มา FB : Thailand International Motor Expo)

ไฮไลต์งาน Motor Expo อลังการงานแสดง

มัดรวมไฮไลต์ในงาน Motor Expo 2025 ปลายปีนี้

ไฮไลต์หลัก ๆ ของงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 หรือ Motor Expo 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นในปลายปีนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นโปรโมชันและกิจกรรมพิเศษ ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกกัน ทั้งการแจกรถภายในงาน ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถ และอื่น ๆ อีกมากมาย

Motor Expo 2025 แจกรถยนต์และบิ๊กไบค์

1. Motor Expo 2025 แจกใหญ่รถยนต์ 3 คัน!

ในปีนี้ทาง IMC สื่อสากล ที่เป็นผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ก็ได้เปิดรายละเอียดมาแล้วว่า งาน Motor Expo 2025 ปีนี้ จะมีการแจกรถยนต์ทั้งหมด 3 คัน โดยเป็นการมอบโชคคืนกำไรให้กับผู้ชมงาน ดังนี้

  • ผู้ชมหรือผู้ที่เข้าร่วมงาน ที่จองหรือซื้อรถยนต์ในงาน Motor Expo 2025 จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในกิจกรรม “ซื้อรถ…ชิงรถ” โดยมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ AVATR 11 รุ่น Standard Range รถยนต์ SUV ไฟฟ้าพรีเมียม มูลค่า 2,099,000 บาท
  • ผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชมงานมูลค่า 100 บาท จะได้สิทธิ์ชิงโชคในรายการ “ซื้อบัตร…ชิงรถ” โดยได้ลุ้นรับรางวัล Mitsubishi Xforce รุ่น Ultimate มูลค่า 1,059,000 บาท
  • ผู้ชมที่ดาวน์โหลด Motor Expo Application พร้อมลงทะเบียนและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมกับรับชมงานผ่านทางแอปฯ จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ไฟฟ้า Wuling Binguo รุ่น DC Icon มูลค่า 429,000 บาท

2. ลุ้นรับรถบิ๊กไบค์ 1 คัน เมื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ในงาน

สาวกคนรักรถมอเตอร์ไซค์ ที่เข้าร่วมงานและซื้อมอเตอร์ไซค์ภายในงาน Motor Expo ก็จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในแคมเปญ “ซื้อรถมอเตอร์ไซค์…ชิงบิ๊กไบค์” โดยจะได้รับเป็นรถจักรยานยนต์รุ่น Suzuki รุ่น GGX – 8R มูลค่า 419,000 บาท

3. เปิดตัวรถยนต์ใหม่ พร้อมนวัตกรรมที่น่าสนใจเพียบ!

อีกหนึ่งไฮไลต์หลัก ๆ ของงาน Motor Expo 2025 นี้ ก็คือการเปิดตัวรถใหม่ภายในงาน ทั้งรถยนต์ทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้า ที่ในปีนี้ก็น่าจะมีรถรุ่นใหม่ ๆ เปิดตัวพร้อมเตรียมตัวบุกตลาดรถยนต์ในไทยกันหลายรุ่น โดยรถยนต์ EV ที่น่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้ ก็มีหลายรุ่นที่มีข่าวคราวมาให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง จัดเต็มทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาปจากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งผู้ที่สนใจรถสามารถมาทดลองนั่ง ทดลองขับ และสัมผัสคันจริงได้ภายในงาน โดยที่มีทีมงานและเจ้าหน้าที่มืออาชีพคอยให้บริการแบบจัดเต็ม  

โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีโอกาสจะเปิดตัวในงาน ก็มีทั้ง BYD Dolphin, BYD Atto 3 Minorchange, Isuzu D-Max EV, Denza Z9 GT และ Mazda EZ – 6 ส่วนค่ายรถที่เข้าร่วมงานก็ขนทัพมาครบ ทั้งค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Honda, Mazda, Mitsubishi, Ford, Nissan, Volvo และยังมีแบรนด์รถไฟฟ้ายอดฮิตอีกเพียบ Volt, Tesla, Omoda & Jaecoo, Wiling, Aion และ Xpeng

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

รายละเอียดและสถานที่จัดงาน Motor Expo 2025

สำหรับงาน Motor Expo 2025 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 โดยในรอบสื่อจะจะขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 – 22.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็คเมืองทองธานี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถซื้อบัตรเข้างานได้ ในราคาเพียง 100 บาทเท่านั้น โดยจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ www.motorexpo.co.th และที่หน้างาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารยานยนต์ หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Real Time อย่าลืมติดตามข่าวสารจากทาง Plughaus Thailand บอกเลยว่า เราพร้อมเสิร์ฟทุกข่าวสารที่สดใหม่ พร้อมอัปเดตข่าวเด็ดในวงการรถยนต์ EV ให้แบบไม่มีกั๊ก เพื่อเอาใจสาย Go Green โดยเฉพาะ

แท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro ตัวช่วยเซฟตี้สำหรับ EV Charger

ปัญหาและความกังวลจากการติดตั้ง EV Charger หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ผู้ใช้รถกังวลมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นอัคคีภัย เพราะถึงแม้ว่าจะติดตั้งตามมาตรฐานแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังการใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนเช่นเดิม โดยในปัจจุบันนี้ก็มีอุปกรณ์ที่ช่วยลดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ MAUS Stixx Pro หรือแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าได้แล้ว ยังเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่าย ทำงานได้ไว และได้รับความนิยมในตอนนี้

แท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro

รู้จักแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro จากสวีเดน

MAUS Stixx Pro หรือแท่งดับเพลิงอัตโนมัติจากสวีเดน ถูกออกแบบมาให้ช่วยลดปัญหาอัคคีภัยจากต้นตอโดยตรง เพื่อลดโอกาสการลุกลามของไฟเมื่อเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งหลักการในการทำงาน ตัวแท่งดับเพลิงจะทำการปล่อยสาร Potassium Mix หรือสารโพแทสเซียมผสมออกมา หลังจากที่ตรวจจับได้ว่าอุณหภูมิในขณะนั้นสูงกว่า 180 องศาเซลเซียส ใช้งานได้ในพื้นที่ 0.1 ลูกบาศก์เมตร (m³) โดยสารที่ใช้ดับเพลิงนอกจากจะปล่อยออกมาได้แบบอัตโนมัติแล้ว ยังเป็นสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ

นอกจากนี้ แท่งดับเพลิงอัตโนมัติของ MAUS Stixx Pro ยังสามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ ป้องกันน้ำได้ 100% หมดกังวลว่าหากติดตั้งไว้แล้วเจออุทกภัยหรือน้ำท่วม แท่งดับเพลิงจะไม่ทำงาน เพราะการทำงานของแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการเกิดเพลิงไหม้เท่านั้น เพราะจะยึดตามอุณหภูมิที่สูงถึง 180 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า หากพื้นที่ที่ติดตั้งมีอุณหภูมิสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวแท่งดับเพลิงก็จะทำการปล่อยสาร Potassium Mix ออกมาทันที ถึงแม้ว่าจะยังไม่เกิดประกายไฟ

แท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro มาตรฐาน NFPA

และที่สำคัญคือ แท่งดับเพลิงอัจฉริยะ MAUS Stixx Pro ยังได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยหลายรางวัล หนึ่งในนั้นคือ NFPA (National Fire Protection Association) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของโลก ที่สนับสนุนกิจกรรมด้านการป้องกันอัคคีภัย โดยในปัจจุบันมี NFPA Member กว่า 75,000 ราย และมีองค์กรการค้าระดับนานาชาติเป็นสมาชิกกว่า 80 องค์กร จึงสามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่า แท่งดับเพลิงอัตโนมัติจะช่วยลดความเสียหายจากอัคคีภัยได้จริง และเป็นการป้องกันเหตุไฟไหม้จากต้นตอ

สำหรับอายุการใช้งานของแท่งดับเพลิงหลังการติดตั้ง MAUS Stixx Pro สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ปี และตัวอุปกรณ์สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ช่างไฟฟ้าหรือช่างผู้เชี่ยวชาญดำเนินการติดตั้งให้ ก็สามารถใช้งานแท่งดับเพลิงได้ เพียงแค่ลอกสติกเกอร์ออกแล้วติดไว้ที่ตู้เมนเบรกเกอร์ หรือตู้ไฟภายในบ้าน เพียงเท่านี้ก็สามารถติดตั้ง MAUS Stixx Pro ได้แล้ว

แน่นอนว่า ตัวแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro นี้ มีขนาดที่เล็กมาก ๆ ด้วยความยาวเพียงแค่ 9.8 ซม. และความกว้างอยู่ที่ 1.8 ซม. สูง 1 ซม. ส่วนน้ำหนักก็ถือว่าเบามาก ๆ เพราะมีน้ำหนักเพียงแค่ 26 กรัม เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักของตู้เมนเบรกเกอร์ หรือพื้นที่ที่ใช้สำหรับติดตั้งแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ

การติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

พื้นที่สำหรับติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

สำหรับการติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro นั้น เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ปิด หรืออุปกรณ์ที่มีฝาปิด ซึ่งการติดตั้งแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวงจรไฟฟ้าแม้แต่น้อย โดยการติดตั้งสามารถเลือกติดตั้งได้ทั้งตู้เมนเบรกเกอร์ ตู้ไฟ ห้องเครื่องรถยนต์ รวมถึงตู้ชาร์จของ Home Charger ฯลฯ

ราคาแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro

สำหรับราคาจำหน่ายของแท่งดับเพลิงอัตโนมัติ MAUS Stixx Pro จำหน่ายเพียงแค่ 2,900 บาท จากปกติ 3,900 บาท (เฉพาะที่ Plughaus Thailand) โดยอายุการใช้งานหลังการติดตั้งคือ 5 ปี โดยลูกค้าที่ติดตั้ง Home Charger ที่ต้องการติดตั้ง MAUS Stixx Pro ไปพร้อม ๆ กัน สามารถแจ้งความต้องการกับทาง Plughaus ได้เลย

ข้อดีของการติดตั้งแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pr

ข้อดีของการติดตั้ง MAUS Stixx Pro

  • หมดกังวลเรื่องอัคคีภัยหรือปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรในบ้าน ที่นำไปสู่การความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
  • เป็นแท่งดับเพลิงที่ปลอดภัย ปลอดสารพิษ เป็นมิตรต่อบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ปิดหลายแบบ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านและที่อยู่อาศัยได้
  • อายุการใช้งานยาวนานถึง 5 ปี ราคาเพียง 2,900 บาท เฉลี่ยตกเพียงวันละ 1.5 บาทเท่านั้น
  • ติดตั้งเองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงลอกแผ่นสติกเกอร์ออก แล้วติดตั้งในพื้นที่ที่ต้องการเท่านั้น

ติดตั้ง EV Charger พร้อม MAUS Stixx Pro ครบ จบ ที่ Plughaus

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตาม สามารถเลือกบริการติดตั้งเครื่องชาร์จแบบครบวงจร พร้อมกับแท่งดับเพลิง MAUS Stixx Pro ได้ที่ Plughaus Thailand ในราคาแพ็กเกจสุดคุ้ม หรือหากใครที่ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านไปแล้ว และต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านของคุณ ก็สามารถสั่งซื้อ MAUS Stixx Pro ในราคาเพียง 2,900 บาท ได้เช่นกัน พร้อมคำแนะนำการติดตั้งแบบครบ จบ ในที่เดียว

เปรียบเทียบเครื่องชาร์จ Portable กับ AC Charging แบบไหนดีกว่ากัน?

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเครื่องชาร์จ EV Charger นั้น ในปัจจุบันก็มีการแยกประเภทของเครื่องชาร์จออกเป็นหลายแบบ ทั้งการแยกตามการติดตั้ง และการแยกตามประเภทของหัวชาร์จ แต่สิ่งที่ต้องเคยได้ยินกันบ่อย ๆ คือ Portable Charger หรือเครื่องชาร์จไฟรถ EV แบบพกพา และเครื่องชาร์จแบบ AC Charging เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับเครื่องชาร์จไฟแบบพกพากันให้มากขึ้น ว่าสายชาร์จชนิดนี้ทำงานยังไง มีกี่ขนาด แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับการชาร์จแบบ AC จะแตกต่างกันมากแค่ไหน เลือกใช้แบบไหนดีกว่ากัน?​

เปรียบเทียบเครื่องชาร์จ EV Charger แบบ Portable กับ AC

เครื่องชาร์จ Portable Charger คืออะไร?

Portable Charger คือ เครื่องชาร์จไฟแบบพกพา หรือจะเรียกสายชาร์จเคลื่อนที่ก็ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จที่สามารถพกพาเอาไว้ในรถยนต์ EV ได้ เพื่อใช้นอกสถานที่หรือการเดินทาง ไม่ได้ติดตั้งกับผนังบ้านหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นกิจจะลักษณะ โดยรูปแบบการชาร์จจะเป็นแบบ Plug and Play สามารถเสียบชาร์จได้ง่าย ๆ ไม่ต้องมีการติดตั้งที่ซับซ้อน ก็สามารถชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกที่ที่ต้องการ จึงทำให้เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่หลาย ๆ คนนิยมซื้อติดรถเอาไว้

ข้อดี – ข้อจำกัด ของเครื่องชาร์จประเภท Portable Charger

ข้อดีของเครื่องชาร์จแบบ Portable Charger

  • มีราคาที่ถูกกว่าเครื่องชาร์จแบบติดผนัง อาทิ Portable Charger 7kW 32A มีราคาเฉลี่ยเพียงแค่ 3,000 – 10,000 บาท
  • มีความยืดหยุ่นในการใช้งานและมีความคล่องตัวสูง อยู่ที่ไหนก็ชาร์จไฟได้ เพียงแค่มีเต้ารับไฟเท่านั้น
  • ไม่ต้องติดตั้งเครื่องชาร์จติดผนังเหมือน Wallbox หรือ Home Charger แบบทั่วไป
  • ใช้งานได้ง่ายเพราะเป็นระบบการชาร์จแบบ Plug and Play
  • สามารถชาร์จไฟในระหว่างเดินทางได้ ลดความกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดเวลาเดินทางไกล  

ข้อจำกัดของเครื่องชาร์จ Portable Charger

  • การชาร์จไฟจะใช้เวลานานมากกว่า Home Charger ประเภท AC ที่นิยมติดตั้งไว้ที่บ้าน
  • หากความจุแบตสูงก็จะใช้เวลานานมากขึ้นในการชาร์จแต่ละครั้ง ส่งผลต่อกำลังไฟที่ใช้ภายในครัวเรือนด้วย
  • โดยปกติแล้วเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา Portable Charger ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเป็นครั้งคราว ไม่เหมาะในการใช้งานเป็นประจำทุก ๆ วัน เพราะประสิทธิภาพน้อยกว่า AC Charger  อย่างชัดเจน
  • สามารถสึกหรอได้ง่าย เพราะต้องถอดและเสียบเข้าเต้ารับทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟ รวมถึงการสึกหรอจากการกระเทือนในระหว่างการขับขี่
ข้อดี – ข้อจำกัด ของเครื่องชาร์จ AC หรือ Home Charger

เครื่องชาร์จ AC หรือ Home Charger

นอกเหนือจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV แบบพกพา Portable Charger แล้ว การชาร์จไฟอีกอย่างหนึ่งที่คนใช้รถยนต์ EV รู้จักกันดีก็คือ Home Charger หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จประเภท AC Charging หรือ Normal Charge ที่ใช้ระบบการชาร์จไฟด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ พบเห็นได้ทั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านและตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ที่ให้บริการตามสถานที่ต่าง ๆ นั่นเอง

โดยเครื่องชาร์จ AC นี้ จะมีความแตกต่างกันกับ Portable Charger อย่างชัดเจน เพราะเป็นเครื่องชาร์จที่ติดตั้งเข้ากับผนังบ้านโดยตรง (บางบ้านอาจเลือกติดตั้งไว้กับเสาบ้าน หรือเสาติดตั้งเครื่องชาร์จก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้) เรียกง่าย ๆ ก็คือ Home Charger เป็นเครื่องชาร์จที่ติดตั้งอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีการเคลื่อนที่หรือพกพาออกไปใช้นอกบ้านเหมือน Portable EV Charger

ข้อดีของเครื่องชาร์จแบบ Home Charger

  • สามารถชาร์จไฟได้ทุกเวลาที่ต้องการ ในพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องชาร์จเอาไว้
  • ใช้งานง่าย มีหลายระบบให้เลือกใช้ เช่น Plug and Play เสียบแล้วชาร์จไฟได้เลย
  • ในปัจจุบันมีเครื่องชาร์จรุ่นใหม่ ๆ ที่พัฒนาให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุม เช่น การใช้ RFID
  • บางรุ่นมีแอปพลิเคชันให้ใช้งาน ตั้งเวลาการชาร์จได้ และตรวจสอบการใช้พลังงานของรถ EV ได้
  • ให้พลังงานที่มากกว่า Portable Charger เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความจุแบตสูง
  • ใช้งานได้ยาวนานมากกว่า และเป็นเครื่องชาร์จที่เหมาะกับรถยนต์ EV มากที่สุด
  • ชาร์จไฟได้อย่างสบายใจ เพราะการติดตั้ง Home Charger ไว้ที่บ้าน จะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟที่มีใบรับรอง ที่สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จให้ถูกต้องตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน. ได้
  • ในปัจจุบันเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมีหลากหลายราคาให้เลือก โดยส่วนมากเป็นแพ็กเกจค่าเครื่องที่รวมกับค่าติดตั้งเอาไว้แล้ว เช่น Teison Smart Mini ที่มีราคาเพียง 17,900 บาทเท่านั้น

ข้อจำกัดของเครื่องชาร์จไฟ Home Charger

  • การติดตั้งเครื่องชาร์จจะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตหรือใบรับรองเท่านั้น
  • เครื่องชาร์จประเภท Home Charger จะเป็นการติดตั้งกับผนังหรือเสา ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
  • ต้องมีการประเมินระบบไฟฟ้าของบ้านควบคู่กับเครื่องชาร์จที่ต้องการใช้ เช่น ไฟฟ้าวงจรที่ 2 หรือแม้กระทั่งการติดตั้งเครื่องชาร์จควบคู่กับ Solar Cell
  • หากเทียบกับ Portable Charger แล้ว เครื่องชาร์จ EV แบบติดผนัง จะมีราคาที่สูงกว่า
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีบ้านหรือที่พักอาศัยเป็นของตนเอง เพราะการติดตั้งเครื่องชาร์จ AC Charger ไว้ที่บ้าน เป็นการติดตั้งเพื่อใช้งานในระยะยาว
การเลือกใช้เครื่องชาร์จ Portable กับ AC Charger

เลือก Portable Charger กับ AC Charging แบบไหนคุ้มกว่า?

จริง ๆ แล้วการเลือกเครื่องชาร์จทั้งแบบ Portable Charger และ AC ที่เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งหากใครที่มีรถยนต์ไฟฟ้าและพักอาศัยอยู่ที่บ้าน มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จ จะเหมาะสำหรับการใช้ Home Charger เป็นหลักมากกว่า เพราะใช้เวลาชาร์จไม่นาน เสียบชาร์จทิ้งไว้ได้โดยไม่เป็นอันตราย ให้กำลังไฟมากกว่า ทั้งยังใช้งานได้ยาวนานกว่าเครื่องชาร์จแบบพกพา

และหากต้องการใช้ Portable Charger ร่วมด้วย ควรใช้เป็นเครื่องชาร์จไฟแบบพกพา เพื่อใช้งานนอกสถานที่เป็นหลัก โดยเฉพาะการเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วกังวลว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะจะไม่เพียงพอ เพราะเพียงแค่มีเต้ารับก็สามารถชาร์จไฟเข้ารถได้แล้ว ซึ่งเครื่องชาร์จประเภทนี้จะเหมาะสำหรับการใช้เป็นเครื่องชาร์จสำรองมากกว่าการใช้เป็นเครื่องชาร์จหลักที่ใช้เป็นประจำทุกวัน

ติดตั้ง EV Charger ที่มีมาตรฐานเลือก Plughaus

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ หรือช่างไฟฟ้าที่มีความชำนาญด้านการติดตั้ง EV Charger โดยเฉพาะ สามารถเลือกติดตั้ง Home Charger กับทาง Plughaus Thailand ได้เลย โดยเรามีเครื่องชาร์จให้บริการหลากหลายรุ่นให้เลือกสรร รองรับการชาร์จด้วยหัวชาร์จประเภท Type 2 ทำให้ใช้กับรถยนต์ EV ได้ทุกรุ่นที่จำหน่ายในไทย และที่สำคัญคือ ก่อนการติดตั้งเราจะมีการตรวจสอบพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จให้อย่างละเอียด พร้อมให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้การใช้งานเครื่องชาร์จรถ EV ปลอดภัยมากที่สุดตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน.  

รถยนต์ไฟฟ้า EV ใหม่ 2025 – 2026 เตรียมเปิดตัวในไทยไม่เกินปลายปีนี้

ส่องลิสต์รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 2025 – 2026 ที่เตรียมเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ ไม่เกินปลายปีนี้ ว่ามีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ กับรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เตรียมบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในปลายปี เพราะฉะนั้น มาส่องกันให้ไว กับรถใหม่ที่เตรียมเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย สรุปให้ทั้งดีไซน์ สเปก และออปชั่นแบบเข้าใจง่าย พร้อมราคาจำหน่ายรถไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ เพื่อคนรักรถ EV โดยเฉพาะ

ส่อง 5 รถยนต์ EV ใหม่ 2025 – 2026 ในไทย

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 202

1. BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 2025

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal 5 DM-I Super Hybrid 2025 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขุมพลัง Plug – in Hybrid ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมกับประกาศราคาจำหน่ายเฉพาะในช่วง Eary Bird เพียง 699,900 บาท เท่านั้น โดยตัวรถถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้า BEV แบบ 100% แต่ก็เป็นรถยนต์ที่ใช้แบตตอรี่ที่ให้ระยะทางในการขับขี่ที่ไกล ไม่แพ้กับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

โดยสมรรถนะของตัวรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร ส่งกำลัง 98 แรงม้า กับแรงบิด 122 นิวตันเมตร เมื่อรวมกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถให้พละกำลังถึง 218 แรงม้า ส่วนตัวแบตเตอรี่ใช้ Lithium – ion (LFP) Blade Batter ความจุสูงสุดรุ่น Premium 18.3 kWh รองรับการชาร์จไฟแบบ AC Charging Type 2 สูงสุด 6.6 kW และหากใช้เฉพาะไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 120 กม. (มาตรฐาน NEDC) แต่หากรวมกับน้ำมัน (E20) สามารถให้ระยะทางรวม 1,000 กม.

หมายเหตุ : ในรุ่น Standard ความจุ 13.08 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้สูงสุดที่ 80 กม. (NEDC)

โดยฟังก์ชันในการใช้งาน ก็ถือว่ามีความครบครันไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบกุญแจแบบ Digital Key (NFC Card), ระบบ Keyless Entry, รองรับการอัปเดต Software แบบ OTA, ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ส่วนระบบด้านความปลอดภัยก็ถือว่ามีความครบครันตามสไตล์ BYD เช่นเดิม

รุ่นย่อย และราคาจำหน่าย

  • BYD Seal 5 DM-i Standard แบตเตอรี่ 13.08 kWh (ยังไม่เปิดเผยราคา)  
  • BYD Seal 5 DM-i Premium แบตเตอรี่ 18.3 kWh ราคา Early Bird 699,900 บาท (จากปกติ 769,900 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Jaecoo 5 EV 2025

2. Jaecoo 5 EV 2025

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เตรียมจ่อคิวรถเปิดตัวในเมืองไทยในปีนี้ ก็ต้องยกให้กับรถยนต์ไฟฟ้า Jaecoo 5 EV 2025 รถยนต์ไฟฟ้าไซซ์ B – SUV ส่งตรงจาก Omoda & Jaecoo Thailand ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีดีไซน์พรีเมียม เน้นความ Luxury ในทุก ๆ มิติ พร้อมกับสเปกที่คาดการณ์ว่าจะสามารถให้ระยะทางวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 461 กม.

สำหรับรุ่นย่อยคาดว่ามีทั้งหมด 2 รุ่น คือ รุ่นปกติ และรุ่นที่เน้นการใช้งานแบบ Off – Road โดยการออกแบบภายนอกจะใช้รูปทรงเหลี่ยม ดูทันสมัย เหมาะกับการใช้งานทั้งสายลุยและการใช้ในครอบครัว เพราะมีตัวถังขนาดใหญ่ กับความยาว 4,380 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,6550 มม. ส่วนระยะความสูงใต้ท้องรถยังอยู่ที่ 174 มม.

แต่ที่ต้องยอมรับเลยว่า Jaecoo 5 EV 2025 มีความพิเศษและโดดเด่นก็คือ กระจังหน้าแบบโปร่งใสพร้อมกับชื่อแบรนด์ J A E C O O ที่ช่วยทำให้ตัวรถดูเด่นมากขึ้น เส้นสายเน้นความเรียบหรูและทันสมัย  มีการติดตั้งดิฟฟิวเซอร์สีดำ ทำให้ตัวรถมีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และพื้นที่สัมภาระด้านท้ายยังมีความจุอยู่ที่ 480 ลิตร โดยที่สามารถขยายได้ถึง 1,284 ลิตร ในกรณีที่พับเบาะด้านหลัง

ส่วนขุมพลังสามารถให้กำลังสูงสุดที่ 211 แรงม้า แรงบิด 288 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 7.7 วินาที มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 60.9 kWh ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 470 กม. ตามมาตรฐานระยะทาง NEDC ส่วนราคาจำหน่ายในไทยนั้น เบื้องต้นคาดว่าราคา Jaecoo 5 EV 2025 จะไม่เกิน 6.9 แสนบาท

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Jaecoo 6T 2025

3. Jaecoo 6T 2025

สำหรับรถใหม่ในไทยปี 2025 ที่น่าจับตาอีกหนึ่งรุ่น ส่งตรงจากค่าย Omoda & Jaecoo Thailand เช่นกันก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า Jaecoo 6T 2025 (เจคู 6 ที) หรือ J6 T ที่มาพร้อมกับตัวถังไซซ์บึกบึน กับพื้นฐานที่ใช้ร่วมกับ Jaecoo 6 แต่มีความดุดันและดูเท่มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ซุ้มโป่งล้อขนาดใหญ่ พร้อมการปรับกระจังหน้าไฟฟ้า ไฟหน้า ชุดกันชน ทำให้มีความแตกต่างจากรุ่นเดิม เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV สายลุย ที่น่าจะถูกใจสายซิ่งที่อยากได้รถไซซ์​ Off – Road มาใช้งานสักคัน

และแน่นอนว่า ตัวรถหากยึดตามสเปกในเบื้องต้น จะเป็นรถที่มีมิติตัวถัง ยาว x กว้าง x สูง อยู่ที่ 4,380 x 1,916 x 1741 มม. ระยะฐานล้อ 2,715 มม. ที่มีการจัดสรรพื้นที่ภายในห้องโดยสารมาอย่างพิถีพิถัน มีพื้นที่ใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน โดยฟังก์ชันภายในตัวรถ ใช้มาตรวัดขนาด 9.2 นิ้ว พร้อมกับหน้าจอควบคุมส่วนกลางขนาด 15.6 นิ้ว รองรับ Muti – Touch รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง I – VA ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 8155 พร้อมระบบเสียงจาก Infinity (เฉพาะรุ่น 4WD)

สำหรับขุมพลังใช้มอเตอร์เดี่ยว 135 kW ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง และอีกหนึ่งรุ่นใช้มอเตอร์คู่ 205 kW ให้กำลัง 279 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยในการชาร์จหากชาร์จด้วย DC ใช้เวลาเพียง 30 นาที ส่วนแบตเตอรี่ใช้ลิเธียมไอรอน ฟอสเฟส (LEP) กับความจุ 69.77 kWh ให้ระยะทางสูงสุดที่ 591 กม.

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย BYD Dolphin 2025

4. BYD Dolphin 2025

และในปีนี้รถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในแวดวงคนใช้รถยนต์ EV ก็ต้องยกให้กับเจ้า BYD Dolphin 2025 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ล่าสุด ที่ในประเทศจีนมีรุ่นย่อยให้เลือกถึง 3 รุ่น โดยสเปกของรุ่นที่จะจำหน่ายในเมืองไทย คาดว่าอาจมีเพียง 2 รุ่น คือรุ่นที่ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า และรุ่น 204 แรงม้า ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 ในปลายปีนี้

  • รุ่น 95 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 44.928 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 420 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
  • รุ่น 177 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 44.9 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 401 กม. ตามมาตรฐาน CLTC (เฉพาะในจีน)
  • รุ่น 204 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 60.48 kWh วิ่งได้ไกลสูงสุด 520 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

สำหรับการชาร์จไฟสามารถใช้ DC Charging ได้สูงสุดที่ 80 kW และที่ขาดไม่ได้คือ ระบบ Vehicle – to – Load หรือ V2L ที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ภายนอกได้ ส่วนภายในห้องโดยสารก็ยังคงคอนเซ็ปต์มีอุปกรณ์ครบครันตามสไตล์ของ BYD เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น การอัปเกรดหน้าจอที่มีขนาด 8.8 นิ้วใหม่ ให้คมชัดและละเอียดมากขึ้น พร้อมกับหน้าจอ Infotainment ขนาด 12.8 นิ้วตรงกลางรถ รองรับการเชื่อมต่อ 5G และนอกจากนี้ ยังมีตู้เย็นขนาดเล็กตรงกลาง ที่ปรับอุณหภูมิได้ต่ำสุดที่ -6 องศาเซลเซียส

รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในไทย Isuzu D-Max EV 2025

5. Isuzu D-Max EV 2025

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV 2025 ที่น่าจับตามาก ๆ ในปีนี้ก็คือ รถกระบะไฟฟ้า Isuzu D-Max EV 2025 ที่ก็น่าจะมาบุกตลาดในไทยเช่นกัน หลังจากที่รถปิกอัพ Riddara RD6 เปิดตัวไปแล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาด เพราะนอกจากจะเป็นรถกระบะไฟฟ้าคันแรกในไทยแล้ว ยังเป็นรถกระบะสายออฟโรดที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เต็มสมรรถนะ และแน่นอนว่าเจ้าตลาดรถกระบะอย่าง Isuzu D-Max ก็น่าจะส่งรถ EV มาบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเช่นกัน หลังจากที่เผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน Motor Show 2024

โดยจากข่าวล่าสุดนั้น เจ้า Isuzu D-Max EV ได้เริ่มต้นผลิตในไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นรุ่นที่จำหน่ายในยุโรปเป็นหลัก ด้วยสเปกที่น่าสนใจ เพราะใช้แบตเตอรี่ 66.9 kWh สามารถวิ่งได้ไกลถึง 361 กม. (มาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จเร็วแบบ DC สูงสุดที่ 50 kW และในปลายปีนี้รถกระบะ Isuzu D-Max EV ก็จะเริ่มผลิตรุ่นพวงมาลัยขวาแล้วเช่นกัน

ส่วนสเปกของ Isuzu D-Max EV 2025 จะเป็นรถกระบะที่คงความสามารถของการลากจูง และการสัมภาระเทียบเท่ากับรถดีแม็คซ์ที่ใช้น้ำมัน เพราะสามารถลากจูงได้ถึง 3.5 ตัน รองรับน้ำหนักได้ถึง 1 ตัน ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full Time 4D ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเฟืองท้ายแบบ eAxle ที่เป็นการพัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งในปัจจุบันการผลิต D-Max EV เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรปและตลาดอื่น ๆ ส่วนในไทยก็ต้องลุ้นกันต่อว่าในปีนี้จะเปิดตัวพร้อมจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2025 นี้หรือไม่

สรุป

สำหรับรถใหม่ 2025-2026 หรือรถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นใหม่ล่าสุดทั้ง 5 รุ่น ที่เตรียมเปิดตัวและวางจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ก็นับว่ามีหลาย ๆ รุ่น ที่มีทั้งสเปกที่น่าสนใจ และราคาจำหน่ายที่ก็น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ EV คึกคักมาก ๆ ไม่แพ้กัน และนอกจาก 5 รุ่น ที่ทาง Plughaus Thailand เอามารีวิวกันแล้ว ก็ยังมีรุ่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน อาทิ ZEEKR 5X รถยนต์ SUV ไฟฟ้า 100% หรือแม้แต่ Volvo EX30 Cross Country 2025 ที่ก็น่าจะมาบุกตลาดไทยพร้อมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2025 นี้เช่นกัน

มิเตอร์ TOU คืออะไร มีกี่แบบ กี่ขนาด สรุปพร้อมราคาติดตั้งล่าสุด

ในปัจจุบันนี้เชื่อว่าหลายคนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ต่างก็ต้องเคยได้ยินคำว่า “มิเตอร์ TOU” กันมาไม่มากก็น้อย ซึ่งในปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้าหลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าใช้ในครัวเรือน ต่างก็หันมาติดตั้งมิเตอร์ TOU กันมากขึ้น เพื่อเป็นตัวช่วยลดอัตราค่าไฟภายในบ้าน เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาเจาะลึกสิ่งน่าที่รู้ของ มิเตอร์ TOU กัน ว่าคืออะไร เป็นมิเตอร์แบบไหน แตกต่างจากมิเตอร์ทั่วไปยังไง แล้วการติดตั้งมิเตอร์ชนิดนี้ช่วยให้ประหยัดไฟได้จริงหรือไม่

ทำความรู้จัก มิเตอร์ TOU คืออะไร

มิเตอร์ TOU คือ?

มิเตอร์ TOU มาจากคำว่า Time of Use Traffic หรือ Time of Use Rate หมายถึง มิเตอร์ไฟฟ้าที่มาในรูปแบบดิจิทัล โดยจะคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาในการใช้งาน ซึ่งเวลาในการใช้งานจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือเวลา On – Peak และ Off – Peak ซึ่งการใช้มิเตอร์ TOU จะนิยมใช้ในเวลา Off – Peak เป็นหลัก เพราะมีค่าไฟที่ถูกมากกว่า เหมาะสำหรับการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ใช้กำลังไฟสูง หรือบ้านที่มีการใช้ไฟในเวลา Off – Peak มากกว่าเวลา On – Peak เพราะอัตราค่าไฟคิดในเรทที่แตกต่างกัน

เวลา On – Peak และ Off – Peak ของมิเตอร์ TOU

  • เวลา On – Peak นับเวลา 09.00 – 20.00 น. ของวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันพืชมงคล
  • เวลา Off – Peak นับเวลา 22.00 – 09.00 น. ของวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันพืชมงคล และในเวลา 00.00 – 24.00 น. ของวันเสาร์ – อาทิตย์ วันแรงงานแห่งชาติ วันหยุดราชการตามปกติ (ไม่รวมวันพืชมงคลและวันหยุดชดเชย)

หมายเหตุ : ในช่วงเวลา Off – Peak จะมีอัตราค่าไฟที่ถูกกว่า เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำ เนื่องจากความต้องการในการใช้ไฟฟ้าต่ำ ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาต่ำมาผลิตไฟฟ้าได้นั่นเอง

มิเตอร์ TOU มีกี่ประเภท และมีกี่แบบ? 

สำหรับมิเตอร์ TOU หากใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟส สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ตามขนาดของมิเตอร์ที่ใช้สำหรับติดตั้งกับที่พักอาศัย ดังนี้

  • มิเตอร์ TOU ขนาด 15 แอมแปร์ 15(45)A สามารถรองรับการโหลดได้สูงสุดถึง 45 แอมแปร์
  • มิเตอร์ TOU ขนาด 30 แอมแปร์ 30(100)A สามารถรองรับการโหลดได้สูงสุดที่ 100 แอมแปร์
อัตราค่าไฟของมิเตอร์ TOU ปี 2568

อัตราค่าไฟของมิเตอร์ TOU อัปเดตล่าสุด ปี 2025

ค่าไฟมิเตอร์ TOU การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

  • แรงดัน 22 – 33 กิโลโวลท์ ราคาค่าไฟฟ้า On – Peak อยู่ที่ 5.1135 บาท/หน่วย และเวลา Off – Peak อยู่ที่ 2.6037 บาท/หน่วย
  • แรงดันต่ำกว่า 22 กิโลโวลท์ ราคาค่าไฟฟ้า On – Peak อยู่ที่ 5.7982 บาท/หน่วย และเวลา Off – Peak อยู่ที่ 2.6369 บาท/หน่วย

ค่าไฟมิเตอร์ TOU การไฟฟ้านครหลวง

  • แรงดัน 12 – 24 กิโลโวลท์ ราคาค่าไฟฟ้า On – Peak อยู่ที่ 5.1135 บาท/หน่วย และเวลา Off – Peak อยู่ที่ 2.6037 บาท/หน่วย
  • แรงดันต่ำกว่า 12 กิโลโวลท์ ราคาค่าไฟฟ้า On – Peak อยู่ที่ 5.7982 บาท/หน่วย และเวลา Off – Peak อยู่ที่ 2.6369 บาท/หน่วย

ที่มา : ประกาศจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ลงวันที่ 18 เมษายน 2566) และเว็บไซต์ของการไฟฟ้านครหลวง (เผยแพร่ล่าสุดวันที่ 13 มกราคม 2566) โดยเป็นราคาที่ยังไม่รวมกับค่า FT, VAT และค่าบริการต่าง ๆ

การติดตั้งมิเตอร์ TOU สำหรับ Home Charger

ใครบ้างที่เหมาะกับมิเตอร์ TOU?

สำหรับการติดตั้งมิเตอร์ TOU ให้คุ้มค่าและเหมาะกับการใช้งานจริง ๆ จะต้องดูจากพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนเป็นหลัก โดยมิเตอร์ TOU จะเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้ไฟในเวลากลางวันมากเท่าไหร่นัก แต่ใช้ไฟในเวลากลางคืนบ่อย ซึ่งบางคนก็อาจจะเลือกติดตั้งมิเตอร์ TOU ควบคู่ไปกับระบบโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ที่ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น

เพราะในเวลากลางวันใช้ไฟจากโซลาร์เซลล์หรือพลังงานจากแสงแดด ส่วนในเวลากลางคืนใช้ไฟจากมิเตอร์ TOU คิดอัตราค่าไฟจากเวลา Off – Peak เพราะฉะนั้น หากใครที่สำรวจตัวเองแล้วว่า พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเหมาะกับการติดตั้งมิเตอร์ TOU ที่บ้าน ก็สามารถทำเรื่องขอติดตั้งกับการไฟฟ้านครหลวงหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามพื้นที่ที่บ้านตั้งอยู่ได้เลย 

ราคาติดตั้งมิเตอร์ TOU และเอกสารที่ต้องใช้

การติดตั้งมิเตอร์ TOU ในปัจจุบันนี้ จะอัตราค่าบริการหลัก ๆ 2 รายการ คือ ค่าเปลี่ยนมิเตอร์ 700 บาท และค่ามิเตอร์อีก 6,000 บาท แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ด้วย ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นคำร้องขอเปลี่ยนมิเตอร์ ได้แก่

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งมิเตอร์ TOU
  • หากดำเนินการแทนเจ้าของบ้านต้องมีเอกสารเพิ่มเติม อาทิ สัญญาซื้อขาย หรือใบมอบอำนาจ
  • บิลค่าไฟฟ้า
  • ใบคำขอใช้ไฟฟ้าของ PEA หรือ MEA
การติดตั้งมิเตอร์ TOU สำหรับการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า

สรุป

สำหรับการเลือกใช้มิเตอร์ TOU นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน หรือ Home Charger ไว้ใช้งานโดยไม่ต้องพึ่งพาการชาร์จไฟที่สถานีชาร์จรถไฟฟ้าเสมอไป และสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถ EV ที่มีมาตรฐาน พร้อมเปลี่ยนมาใช้วงจรที่ 2 ก็สามารถเลือกใช้บริการการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ EV กับทาง Plughaus Thailand ได้เช่นกัน ด้วยบริการแบบครบวงจร พร้อมออกแบบวงจรไฟฟ้าที่บ้านของคุณให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ตรงตามมาตรฐานที่ กฟผ. และ กฟน. กำหนด

3 เหตุผล ที่ควรติดตั้ง EV Charger จากผู้เชี่ยวชาญของ Plughaus

การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน นับว่ามีข้อดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความสะดวกสบาย และการประหยัดเวลาในการชาร์จไฟแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะไม่ต้องเสียเวลาชาร์จตามที่ชาร์จไฟสาธารณะ หรือตาม EV Charging Station ทุกครั้งที่ต้องการชาร์จไฟ ซึ่งการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน สิ่งที่ผู้ใช้รถอยากรู้ไม่แพ้การเลือกเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับตัวรถก็คือ สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จเองได้ไหม โดยทาง Plughaus Thailand จะมาไขข้อข้องใจให้กับผู้ใช้รถ EV กัน ว่าการติดตั้ง Home Charger ทำเองได้หรือไม่ แล้วแตกต่างจากให้ผู้เชี่ยวชาญมากแค่ไหน?

ติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน จากผู้เชี่ยวชาญของ Plughaus

ติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ทำเองได้หรือไม่?

ในปัจจุบันนี้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ คน ก็คงมองหา Home Charger ที่เหมาะสมกับการใช้งาน และมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของตัวเองเช่นกัน ซึ่งหลายคนก็มองว่าสามารถสั่งซื้อเครื่องชาร์จมาติดตั้งเองได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการใช้บริการบริษัทรับติดตั้ง EV Charger ที่บ้านพอสมควร โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ด้านระบบไฟฟ้าหรือเป็นช่างไฟฟ้าอยู่แล้ว ที่ต้องการติดตั้ง EV Charger ด้วยตัวเอง

แน่นอนว่า การติดตั้งเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยตัวเองนั้นสามารถทำได้ หากดำเนินการติดตั้งตามมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ที่ทาง PEA และ MEA กำหนด โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยในด้านต่าง ๆ ทั้งการเดินสายไฟ การติดตั้งเบรกเกอร์ รวมถึงการเชี่อมต่อเข้ากับระบบไฟฟ้าของบ้าน และที่สำคัญคือ ควรติดตั้งโดยช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตเท่านั้น เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย และใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมต่องานระบบทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การต้องการติดตั้ง EV Charger สามารถเลือกซื้อเครื่องชาร์จที่มาพร้อมบริการติดตั้งได้ หรือหากผู้ให้บริการนั้น ๆ ไม่มีเครื่องชาร์จในรุ่นที่ต้องการ ก็สามารถซื้อเครื่องชาร์จรถ EV แล้วชำระแค่ค่าบริการการติดตั้งก็ได้เช่นกัน ซึ่งข้อดีของการติดตั้งกับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ นอกจากจะช่วยให้ติดตั้งเครื่องชาร์จได้ตามมาตรฐานแล้ว ยังได้รับข้อมูลและคำแนะนำที่ครบถ้วนด้วยเช่นกัน อาทิ การขอเพิ่มขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมถึงการติดตั้งวงจรที่ 2 ในบางกรณี เป็นต้น 

เลือกติดตั้งเครื่องชาร์จกับ Plughaus ดีกว่าอย่างไร

เลือกติดตั้งเครื่องชาร์จกับ Plughaus ดีกว่าอย่างไร?  

1. มีความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง Plughaus สิ่งที่ผู้ใช้บริการจะได้รับคือ การติดตั้ง EV Charger ตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ทางการ PEA และ MEA กำหนดอย่างครบถ้วน ช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการวางงานระบบไม่ถูกต้อง หรือแม้กระทั่งการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่หากเกิดปัญหาขึ้นอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

แน่นอนว่า การติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้านของทาง Plughaus จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD) ร่วมด้วย ในกรณีที่เครื่องชาร์จไม่มีระบบตัดไฟภายในตัว ทั้งยังมีอุปกรณ์เสริม เช่น MAUS STIXX PRO หรือแท่งดับเพลิงอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถได้มากขึ้นต่อการเกิดอัคคีภัย เป็นต้น

2. ตรวจเช็กความพร้อม ก่อนเริ่มต้นติดตั้งจริง

โดยการติดตั้งเครื่องชาร์จ ทีมงานจะตรวจเช็กระบบไฟฟ้าของบ้านว่าเป็นระบบไฟฟ้ากี่เฟส ระหว่าง 1 เฟส และ 3 เฟส และมีกำลังไฟฟ้าเท่าไหร่ ควรเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าหรือไม่ หรือควรเดินระบบไฟฟ้าแบบวงจรที่ 2 มากกว่า และทีมงานจะตรวจสอบพื้นที่สำหรับติดตั้งให้อย่างละเอียด ว่าควรติดตั้ง EV Charger บริเวณไหนเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกที่สุด โดยจะประเมินตามพื้นที่หน้างานอย่างละเอียด

โดยการประเมินพื้นที่สำหรับการติดตั้ง ทีมงานจะประเมินควบคู่ไปกับการเดินสายไฟของที่พักอาศัย และการติดตั้ง Consumer Unit หรือตู้ไฟ นอกจากนี้ หากต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถ EV เพื่อใช้งานร่วมกับ Solar Cell ทางทีมงานก็จะประเมินและให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกเครื่องชาร์จที่เหมาะสมในการใช้งาน สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้าร่วมกับระบบโซลาร์เซลล์ได้

รีวิวงานติดตั้ง Home Charger จาก Plughaus

3. มีแพ็กเกจหลายแบบ พร้อมราคาติดตั้งเครื่องชาร์จ

ด้วยความหลากหลายของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนรถยนต์ EV ที่จำหน่ายในประเทศไทย เราจึงมีตัวเลือกแพ็กเกจให้ผู้ใช้งานได้เลือกตามความต้องการและตามงบประมาณที่มี โดยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งราคาเครื่องเปล่า และราคาเครื่องพร้อมบริการติดตั้ง โดยมีทั้งการติดตั้งด้วยระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส และที่ขาดไม่ได้คือ เรามีบริการติดตั้งเครื่องชาร์จพร้อมกับระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ให้ด้วยเช่นกัน

4. ให้ความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชม.

หลังจากที่ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานก็ยังมั่นใจได้มากกว่า ด้วยบริการหลังการติดตั้ง ที่เรามีทั้งการรับประกันและการให้คำแนะนำเมื่อเกิดปัญหาในการใช้งาน พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม. นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการบำรุงรักษาเครื่องชาร์จ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุด

5. ความคุ้มค่าแบบครบ จบ ในที่เดียว

บริการการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เราเป็นบริการรับติดตั้ง EV Charger ที่บ้านแบบ One Stop Service ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่การให้คำแนะนำในการเลือกเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับตัวรถ การออกแบบงานระบบไฟฟ้าของตัวบ้าน การบริการหลังการติดตั้งเครื่องชาร์จ พร้อมกับการรับประกันแบบครบวงจร อาทิ การเคลมสินค้า การสนับสนุนและให้ข้อมูลทางเทคนิคจากทีมงานที่มากประสบการณ์โดยตรง และที่สำคัญ มีตัวเลือกของ Home Charger หลากหลายรุ่นที่นำเข้าจากต่างประเทศ และมีมาตรฐานสากลรับรองคุณภาพ อาทิ CE, UL หรือแม้กระทั่ง TÜV

บริการหลังการติดตั้ง EV Charger จากทีมงานของ Plughaus และ Evolt

ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่บ้านวันนี้ เริ่มต้นเพียง 25,900.- เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ด้วย Home Charger ที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับประกันคุณภาพ และรองรับหัวชาร์จประเภท Type 2 สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จกับทาง Plughaus Thailand ได้แล้ววันนี้ ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียงแค่ 25,900 บาท เท่านั้น โดยมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Teison Smart Mini, EN+ Caro Series และ EN+ Caro Pro ที่รองรับระบบไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 3 เฟส พร้อมกำลังการชาร์จที่สูงถึง 22 kW  

How – To วิธีดูว่าบ้านเราใช้ไฟกี่เฟส ก่อนติดตั้ง EV Charger

ทุกครั้งที่จะติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger สิ่งที่ผู้ใช้รถได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คงหนีไม่พ้นอย่างแน่นอนก็คือ ระบบไฟฟ้าของบ้าน ใช้ไฟ 1 เฟส หรือ 3 เฟส เพื่อให้เลือกเครื่องชาร์จรถอีวีที่เหมาะสมกับบ้าน และสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาการใช้ไฟฟ้าเกินความสามารถของระบบไฟฟาที่มีอยู่ หรือก็คือการ Overload นั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจะพาคนใช้รถ EV มาดูกันว่า ระบบไฟฟ้าที่บ้านเรานั้นใช้ไฟกี่เฟส แล้วไฟ 1 เฟส กับ 3 เฟส มีความแตกต่างกันยังไง ต้องดูตรงไหนบ้าง?

วิธีดูว่าบ้านใช้ไฟฟ้ากี่เฟส ดูยังไงบ้าง

วิธีดูว่าบ้านใช้ไฟฟ้ากี่เฟส ดูยังไงบ้าง?

โดยปกติแล้วการดูว่าไฟฟ้าที่บ้านเป็นระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส หรือ 3 เฟส สามารถดูได้ 2 วิธี คือ สายไฟที่เข้าบ้านและหน้าจอมิเตอร์ไฟฟ้า ที่จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. การดูจากสายไฟฟ้าที่เข้าบ้านว่ามีกี่สาย

  • ระบบไฟฟ้า 1 เฟส จะใช้สายไฟเข้าบ้านจำนวน 2 เส้น โดยแยกเป็นสายไลน์ 1 เส้น และสายเส้นศูนย์ 1 เส้น
  • ระบบไฟฟ้า 3 เฟส จะใช้สายไฟทั้งหมด 4 เส้น โดยมีสายไลน์จำนวน 3 เส้น และสายเส้นศูนย์ 1 เส้น

2. การดูจากหน้าจอมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้าน

  • ระบบไฟฟ้า 1 เฟส มิเตอร์ไฟฟ้าจะเขียนว่า Single – Phase 2 – Wire โดยมิเตอร์ที่ใช้จะมีแรงดันไฟฟ้า 220 – 230 โวลต์
  • ระบบไฟฟ้า 3 เฟส มิเตอร์ไฟฟ้าจะเขียนว่า Three – Phase 4 – Wire โดยมีแรงดันไฟฟ้าตั้งแต่ 380 – 400 โวลต์
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส สำหรับติดตั้ง EV Charger

ข้อดี – ข้อจำกัด ของไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จ

ระบบไฟฟ้า 1 เฟส

สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส เป็นระบบไฟฟ้าของบ้านเรือนที่นิยมใช้มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งบ้านที่ใช้ระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส จะเหมาะกับเครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟประมาณ 7.4 kW เช่น Teison Smart Mini และ EN+ Caro Series ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จที่ให้กำลังไฟเพียงพอกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป

  • ข้อดี : มีราคาถูกกว่าการติดตั้งเครื่องชาร์จแบบ 3 เฟส ทำให้ติดตั้งได้ง่ายกว่า
  • ข้อจำกัด : ใช้เวลาในการชาร์จไฟนานกว่าระบบไฟฟ้าแบบ 3 เฟส และไม่สามารถชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าที่มีกำลังไฟฟ้าสูงได้

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส

โดยปกติแล้วเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 3 เฟส จะให้กำลังไฟการชาร์จที่มากกว่า มีตั้งแต่ 11 kW ไปจนถึง 22 kW เช่น หากติดตั้งเครื่องชาร์จรุ่น EN+ Caro Pro 22 kW กำลังไฟของบ้านจะต้องไม่ต่ำกว่า 30 kW เป็นต้น

  • ข้อดี : ใช้เวลาในการชาร์จไฟที่เร็วกว่าระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส เหมาะสำหรับบ้านที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูง แบตลูกใหญ่ และมีรถยนต์ EV หลายคัน เช่น การทำ Home Office
  • ข้อจำกัด : มีราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส และมีความยากของงานระบบมากกว่า ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญติดตั้งให้เท่านั้น

หมายเหตุ : วิธีคำนวณกำลังไฟฟ้าทั้งหมดของบ้าน ให้นำกำลังไฟฟ้าของเครื่องชาร์จ + กำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในบ้านที่ใช้งานเป็นประจำ

เช็กระบบไฟฟ้าที่บ้าน ระหว่าง 1 เฟส และ 3 เฟส

หากบ้านใช้ไฟ 1 เฟส ติดตั้ง EV Charger ได้หรือไม่?

เมื่อรู้แล้วว่าระบบไฟฟ้าที่บ้านใช้ไฟ 1 เฟส หรือ 3 เฟส ลำดับต่อมาที่หลายคนสงสัยคือ หากบ้านใช้ไฟ 1 เฟส จะสามารถติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ที่บ้านได้หรือไม่ ซึ่งตามปกติแล้วสามารถติดตั้งได้ แต่ต้องเป็นเครื่องชาร์จที่รองรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส เท่านั้น เพราะตัวเครื่องชาร์จจะมีกำลังไฟในการชาร์จที่แตกต่างกัน หากติดตั้งเครี่องชาร์จที่มีกำลังไฟมากกว่าที่ระบบไฟฟ้าที่รองรับได้ ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่อระบบและวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน โดยเฉพาะการ Overload นั่นเอง

สำหรับมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ที่บ้านหรือที่พักอาศัย ตามมาตรฐานของ MEA และ PEA เพื่อให้รองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จนั้น หากระบบไฟฟ้าเดิมไม่เพียงพอต่อการติดตั้ง สามารถขอเพิ่มขนาดมิเตอร์เดิมได้เลย โดยเปลี่ยนจากระบบ Single – Phase ขนาด 32A (7.4 kW) เพิ่มเป็นมิเตอร์เป็น Single – Phase ขนาด 30(100)A โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไฟบ้านเป็น 3 เฟส ทั้งยังสามารถขอติดตั้งมิเตอร์เครื่องที่ 2 หรือเลือกติดตั้งสายเมนวงจรที่ 2 แทนก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความเหมาะสมต่อระบบไฟฟ้าของที่พักอาศัย

เพราะการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ต้องดูจากการใช้งานไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้านร่วมด้วย ซึ่งผู้ที่ต้องการติดตั้ง EV Charger สามารถให้ทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการติดตั้ง เข้าไปตรวจเช็กระบบไฟฟ้าที่บ้านก่อนการติดตั้งได้เช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าหากติดตั้งเครื่องชาร์จแล้ว จะสามารถใช้งานได้โดยไม่เกิดปัญหาต่อระบบไฟฟ้าในขณะที่ชาร์จไฟ

ติดตั้ง Home Charger กับ Plughaus ด้วยระบบไฟฟ้ส 1 เฟส และ 3 เฟส

สรุป

การติดตั้ง Home Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสำรวจระบบไฟฟ้า ว่าเพียงพอต่อเครื่องชาร์จที่ต้องการติดตั้งหรือไม่ หากรถมีขนาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ ต้องใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟสูง ก็ต้องเปลี่ยนมิเตอร์ให้เหมาะสมก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จตามมาตรฐานของ กฟผ. และ กฟน.  เช่นเดียวกับทาง Plughaus Thailand ที่นอกจากจะมีความเชี่ยวชาญด้านงานระบบแล้ว เรายังช่วยออกแบบพร้อมตรวจสอบพื้นที่สำหรับติดตั้งให้ก่อนทุกครั้ง และที่สำคัญ มีการรับประกันหลังการติดตั้งให้แบบครบวงจร  

รีวิวเครื่องชาร์จรถอีวี EN+ Caro Pro กำลังไฟ 22 kW พร้อม IP65

ในบรรดาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่รองรับระบบไฟฟ้า 3 เฟส ถือว่ามีจำนวนน้อยกว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟสพอสมควร ซึ่งเครื่องชาร์จรถ EV ที่ออกแบบมาเพื่อระบบไฟฟ้า 3 เฟส อย่าง “EN+ Caro Pro” ก็นับว่าเป็นหนึ่งใน Home Charger ที่น่าสนใจ ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย ฟังก์ชันจัดเต็ม ทั้งยังเป้นเครื่องชาร์จที่ใช้งานได้ง่าย เพราะฉะนั้น PlugHaus จะพาคุณมาดูกันว่า เครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่รถยนต์รุ่นนี้มีสเปกอย่างไร แล้วมีฟังก์ชันอะไรบ้างที่น่าสนใจ พร้อมสรุปราคาค่าเครื่องและบริการติดตั้งแบบครบวงจรในบทความเดียว

รีวิวเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro

จุดเด่นของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro

สำหรับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro เป็นเครื่องชาร์จประเภท Wall Charger หรือ Wallbox ที่ออกแบบมาให้รองรับการติดตั้งกับผนังโดยเฉพาะ แต่มีความพิเศษคือ การออกแบบที่เน้นความหรูหรา ทันสมัย และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยเป็นรุ่นที่มีกำลังไฟสูงถึง 22 kW ถูกเพิ่มมาจากรุ่น EN+ Caro Series ที่ให้กำลังไฟอยู่ที่ 7.4 kW เท่านั้น และใช้ได้เฉพาะกับระบบไฟฟ้า 1 เฟส

ในขณะที่เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro ให้กำลังไฟที่มากขึ้น และสามารถติดตั้งกับบ้านหรือที่พักอาศัยที่ใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟสโดยเฉพาะ จึงทำให้เป็นเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการใช้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น หรือเป็นบ้านที่มีรถยนต์ EV หลายคัน ต้องการเครื่องชาร์จที่ให้กำลังไฟสูง โดยที่ยังคงเป็นการชาร์จแบบปกติ หรือ Normal Charge อยู่ ไม่ส่งผลกระทบต่อแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว

นอกจากนี้ เครื่องชาร์จ EN+ Caro Pro ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Dynamic Load Management ที่ช่วยทำให้การควบคุมการชาร์จไฟสะดวกยิ่งขึ้น และเมื่อบวกกับการรองรับการใช้งานผ่านการเชื่อมต่อทั้ง Wi – Fi และ Bluetooth ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องชาร์จรถ EV ที่ใช้งานได้ครบวงจร ทั้งยังสะดวกในหลาย ๆ ด้าน

รีวิวสเปก และฟังก์ชันการใช้งานของเครื่องชาร์จ EN+ Caro Pro

สเปกและฟังก์ชันการใช้งานของเครื่องชาร์จ EN+ Caro Pro

  • ให้กำลังการชาร์จไฟที่ 22 kW  
  • รองรับการใช้งานสำหรับระบบไฟฟ้า 3 เฟส
  • ความยาวสายไฟสูงสุด 7 เมตร
  • ใช้หัวชาร์จประเภท Type 2
  • รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Wi – Fi / 4G / Ethernet และ Bluetooth
  • สามารถคอนโทรลการใช้งานผ่านทาง Application EV Chargo ได้ เช่น การตั้งเวลา  
  • มีระบบ RFID สำหรับกำหนดผู้ใช้งานเครื่องชาร์จรถ EV ได้
  • สามารถเริ่มต้นชาร์จได้ง่าย ๆ ทั้งแบบ Plug to Play, RFID Card และ Application
  • รองรับการใช้งานเมื่อติดตั้งร่วมกับ Solar Cell
  • ใช้ร่วมกับบ้านที่มีมิเตอร์ไฟ TOU ในการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV
  • มีระบบ Load Balance ช่วยทำให้การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • ใช้ระบบไฟแบบ Multi – Coloured RGB Light Indication
รีวิวเครื่องชาร์จ EN+ Caro Pro

ระบบความปลอดภัยของตัวเครื่อง

  • มีมาตรฐานการป้องกันฝุ่นและน้ำที่ระดับ IP65 และการกระแทก IK10   
  • มีระบบการป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว
  • มีระบบการป้องกันรีเลย์ค้าง (Relay – Sticking Protection)
  • รองรับการใช้งานที่อุณหภูมิต่ำสุดที่ -30 องศาเซลเซียส และสูงสุดที่ 50 องศาเซลเซียส

ตัวเลือกสีเครื่องชาร์จ EV

  • สีขาวมุก
  • สีดำสเปซแบล็ค

ราคาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro จาก PlugHaus

  • ราคาเครื่องชาร์จรถ EV พร้อมบริการติดตั้ง ราคา 46,900 บาท
  • ราคาเครื่องพร้อมบริการติดตั้ง และระบบไฟฟ้าวงจรที่ 2 ราคา 60,800 บาท
ราคาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EN+ Caro Pro จาก PlugHaus

ติดตั้ง Home Charger ที่มีมาตรฐาน เลือก PlugHaus Thailand

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 3 เฟส ที่มีมาตรฐานอย่าง EN+ Caro Pro สามารถเลือกติดตั้งกับทางทีมงานของ PlugHaus Thailand ได้ง่าย ๆ โดยที่สามารถเลือกได้ว่า จะติดตั้งแบบยึดติดผนังหรือยึดพื้น ทั้งยังเลือก Custom สีตัวเครื่องได้ตามที่ต้องการ (ตามตัวเลือกสีที่มี) นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่สำหรับติดตั้ง Home Charger ตลอดจนบริการหลังการขาย ที่นอกจากเราจะมีทีมงานที่มากประสบการณ์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีมาตรฐานตามที่ MEA และ PEA กำหนดแล้ว ยังมีการรับประกันหลังการติดตั้งให้แบบครบวงจรให้อีกด้วย

ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV มีค่าบำรุงรักษาอะไรบ้างที่ต้องจ่าย?

การใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ถึงแม้จะไม่มีรายการเช็กระยะบางอย่างเหมือนกับรถน้ำมัน แต่การเมนเทนและการบำรุงรักษารถ EV ก็ยังเป็นหนึ่งใน Check List ที่คนใช้รถต้องทำ แน่นอนว่า ค่าบำรุงรักษารถ EV ก็จะมีความแตกต่างจากรถยนต์น้ำมันพอสมควร เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาดูกันว่า การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ามีอะไรบ้างที่สำคัญ แล้วต้องจ่ายค่าเซอร์วิสเท่าไหร่บ้างของแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BYD, Tesla, GWM และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ที่มีจำหน่ายในไทย

การบำรุงรักษารถ EV มีอะไรบ้าง

การบำรุงรักษารถ EV มีอะไรบ้างที่ต้องเช็ก?

ก่อนที่จะไปดูราคา ค่าบำรุงรักษารถ EV ก่อนอื่นเราต้องมาดูกันก่อนว่า โดยปกติแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีรายการอะไรบ้างที่ต้องเช็กในการนำรถเข้าไปเช็กระยะ เพื่อตรวจสอบระบบและการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ โดยปกติแล้วการเช็กระยะของรถยนต์ EV จะมีตารางระบุอย่างชัดเจน โดยการตรวจเช็กระยะนั้น ประกอบไปด้วย

  • ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า
  • ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่รถ EV
  • ระบบกรองอากาศภายในรถ
  • ระบบเบรก และยางรถยนต์ไฟฟ้า

โดยทั้ง 4 ระบบนี้ เป็นระบบหลักของการเช็กระยะรถยนต์ EV ที่จะต้องตรวจเช็กทุกครั้งที่นำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งหากระบบใดระบบหนึ่งมีปัญหา ก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของตัวรถเช่นกัน อาทิ หากระบบระบายความร้อนทำงานได้ไม่ดี ก็จะส่งผลต่อตัวแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตามไปด้วย

การเช็กระยะ และค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ปี 2025

สำหรับอัตราค่าบริการของการเช็กระยะ หรือการบำรุงรักษารถยนต์ EV จะขึ้นอยู่กับระยะทางที่ต้องนำรถเข้าไปเช็กระยะ โดยทางแบรนด์รถยนต์ส่วนมากจะแบ่งการเข้ารับบริการเช็กระยะรถยนต์ไฟฟ้าออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันครั้งแรก และการบำรุงรักษาเชิงป้องกันถัดไปทุก ๆ 12 เดือน โดยทาง Plughaus จะมาสรุปให้ดูกันว่า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์ มีค่าเช็กระยะเท่าไหร่บ้าง

ค่าเช็กระยะ และตารางบำรุงรักษารถ BYD

1. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า BYD

แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า BYD จะมีการตรวจเช็กระยะตามตารางบำรุงรักษา โดยการเช็กระยะในครั้งแรกคือรอบ 3 เดือน หรือระยะ 5,000 กม. ซึ่งการเช็กระยะครั้งแรกจะเป็นการตรวจเช็กระบบของรถโดยภาพรวม ว่าสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ มีระบบไหนที่ทำงานผิดปกติ หรือมีปัญหาไหม หากมีก็จะได้แก้ไขทันที โดยการตรวจเช็กระยะรถยนต์ไฟฟ้า BYD สามารถแบ่งได้ตามระยะ ดังนี้

  • ระยะ 3 เดือน หรือ 5,000 กม.
  • 12 เดือน (1 ปี) หรือ 20,000 กม.
  • 24 เดือน (2 ปี) หรือ 40,000 กม.
  • 36 เดือน (3 ปี) หรือ 60,000 กม.
  • 48 เดือน (4 ปี) หรือ 80,000 กม.
  • 60 เดือน (5 ปี) หรือ 100,000 กม.
  • 72 เดือน (6 ปี) หรือ 120,000 กม.
  • 84 เดือน (7 ปี) หรือ 140,000 กม.
  • 96 เดือน (8 ปี) หรือ 160,000 กม.

โดยค่าบำรุงรักษาของทาง BYD ผู้ใช้รถจะไม่ได้ชำระค่าแรงและค่าอะไหล่ในการบำรุงรักษา (เฉพาะในรายการที่กำหนด) โดยจะไม่รวมกับอะไหล่สิ้นเปลือง อะไหล่ที่ใช้งานหนัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดจากการใช้รถ หรือการเปลี่ยนอะไหล่ที่ไม่ตรงตามระยะการบริการ โดยเฉลี่ยแล้วค่าบำรุงรักษาจะอยู่ที่ 3,000 – 10,000 บาท/ปี

ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า GWM

2. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า GWM

ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง GWM ก็เป็นค่ายที่มีบริการ GWM CARE Service Inclusive (GCSI) ด้วยแพ็กเกจฟรีค่าแรงสำหรับการบำรุงรักษาตามระยะทางสูงสุด 10 ครั้ง ตลอด 5 ปี ระยะทางไม่เกิน 75,000 กม. นอกจากนี้ ยังมีการรับประกันแบตเตอรี่รถ EV ให้ตลอดระยะเวลา 8 ปี หรือ 180,000 กม. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้รถ ว่าจะไม่ได้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากจนเกินไป โดยเฉพาะกรณีที่เกิดปัญหาจากตัวรถ ซึ่งการเช็กระยะของรถยนต์ไฟฟ้า GWM จะเริ่มที่ระยะ 12 เดือน หรือ 15,000 กม. ดังนี้

  • ระยะ 12 เดือน หรือ 15,000 กม.
  • ระยะ 24 เดือน หรือ 30,000 กม.
  • ระยะ 36 เดือน หรือ 45,000 กม.
  • ระยะ 48 เดือน หรือ 60,000 กม.
  • ระยะ 60 เดือน หรือ 75,000 กม.
  • ระยะ 72 เดือน หรือ 90,000 กม.
  • ระยะ 84 เดือน หรือ 105,000 กม.
  • ระยะ 96 เดือน หรือ 120,000 กม.
  • ระยะ 108 เดือน หรือ 135,000 กม.
  • ระยะ 120 เดือน หรือ 150,000 กม.

สำหรับอัตราค่าบริการรถยนต์ไฟฟ้า GWM ยกตัวอย่างในรุ่น ORA Good Cat / GT จะมีค่าบำรุงรักษาตามระยะทางที่กำหนดเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,000 – 2,000 บาท แต่จะมีเพียงในระยะ 60,000 กม. และ 120,000 กม. จะมีราคาค่าบำรุงรักษาอยู่ที่ประมาณ 5,560 บาท ซึ่งสาเหตุที่มีราคาสูงกว่าระยะอื่น ๆ เนื่องจากการชำระค่าน้ำยาหม้อน้ำ น้ำมันเกียร์ และแหวนรองเกียร์ที่เพิ่มเข้ามา นอกเหนือจากค่าแรงและการเปลี่ยนไส้กรองแอร์

ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า Tesla

3. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า Tesla

การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ไม่ว่าจะเป็นโมเดลไหน ๆ ก็ตาม จะมีระยะการตรวจเช็กที่เหมือน ๆ กันคือ ในทุก 4 ปี จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกเสมอ และในทุก ๆ ปี จะต้องมีการทำความสะอาดและหล่อลื่นก้ามปูเบรก (Brake Caliper) ตามมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla และที่ขาดไม่ได้คือ ในทุก ๆ 10,000 กม. จะต้องสลับยางรถ EV ทุกครั้ง หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง กรณีที่พบว่าความลึกของดอกยางแตกต่างกันมากกว่า 1.5 มม.

นอกจากนี้ การบำรุงรักษารถยนต์ของทางเทสล่า ตามการเข้าเช็กระยะ ยังรวมไปถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบัน ในกรณีที่ผู้ใช้รถยังไม่ได้อัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งโดยปกติแล้วตัวรถจะสามารถอัปเดตได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการส่งข้อมูลผ่านทางเดียวเทียม เพียงแค่เชื่อมต่อ Wi – Fi และใช้แอปมือถือ Tesla เท่านั้น

หมายเหตุ: การเช็กระยะและบำรุงรักษาของรถยนต์ Tesla ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขแบบตายตัวแต่อย่างใด แต่จากการเปิดเผยข้อมูลจากผู้ใช้จริง พบว่าค่าซ่อมแซมเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 15,000 บาท (หรืออาจน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับโมเดลและแพ็กเกจการเมนเทนรถยนต์ EV)

สรุป

จากข้อมูลอัตราค่าบริการสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า EV ทั้งจากของ GWM, BYD และ Tesla เอง สามารถอนุมานได้ในเบื้องต้นว่า หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะมีค่าบำรุงรักษาสูงกว่าค่ายรถยนต์สัญชาติจีน ในขณะที่ทาง GWM และ BYD มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,000 – 3,000 บาท สำหรับการเช็กระยะทั่ว ๆ ไป แต่จะมีเพียงบางระยะที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาราว ๆ 2 – 3 เท่าจากเดิม

ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะการเปลี่ยนถ่ายของเหลว และอุปกรณ์บางอย่างของตัวรถตามอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับทางรถยนต์ไฟฟ้า NETA V และ V – II ที่มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 – 2,000 บาท ในรอบเช็กระยะปกติ แต่หากเป็นรอบระยะทาง 40,000 กม. และ 80,000 กม. จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3,800 บาท ซึ่งแบรนด์อื่น ๆ ก็น่าจะมีอัตราค่าบริการและค่าเช็กระยะที่ใกล้เคียงกัน อาทิ GAC, Wuling หรือแม้แต่ Changan